ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 473 อสูรศักดิ์สิทธิ์
ตอนที่ 473 อสูรศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเกิดเหตุการณ์ผิดปกติเช่นนี้ขึ้น หนิวโหย่วเต้าทะยานออกไปคนแรก คนที่เหลือก็เหินทะยานตาไป ด้วยอยากดูว่าเกิดอะไรขึ้น
หนิวโหย่วเต้าร่อนลงข้างกายหยวนฟาง เหลือบมองเข้าไปในตำหนักเล็กน้อย จากนั้นก็นิ่งงันไป
หยวนกังที่วิ่งมาถึงเป็นคนสุดท้ายเข้ามารวมตัวกับพวกก่วนฟางอี๋ ทันทีที่มองเข้าไปก็เป็นเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ตัวแข็งทื่ออยู่ตรงหน้าประตูกันหมด
เฉาเซิ่งไหวนอนฟุบอยู่ด้านข้างตำหนัก ยังคงสลบอยู่ ต่อให้รอบข้างเกิดเรื่องใหญ่ครึกโครมมากเพียงใดก็ยังแน่นิ่งอยู่
เพราะถูกลงผนึกไว้ หากไม่มีผู้ใดคลายผนึกให้ก็ไม่ตื่น
ปัญหาสำคัญไม่ได้อยู่ที่เฉาเซิ่งไหวที่ถูกทิ้งไว้ในตำหนัก หากแต่เป็นศาลาแปดเหลี่ยมที่อยู่ท่ามกลางเสาทองแดงทั้งแปดต้น ศาลาแปดเปลี่ยนที่เบ่งบานราวดอกบัวเปิดกางอยู่บนพื้นอย่างสมบูรณ์ สิ่งที่อยู่ภายในศาลาแปดเหลี่ยมจึงเผยต่อสายตาทุกคน
เป็นเก้าอี้ตัวหนึ่ง เป็นตัวอี้หยกขาวตัวหนึ่ง เปล่งประกายระยิบระยับอยู่ภายใต้แสงดาวที่ส่องลอดเข้ามาในตำหนัก ลวดลายที่แกะสลักดูประณีตงดงาม เหมือนดั่งบัลลังก์หยก
เดิมทีบนเก้าอี้น่าจะมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ และบางทีคนที่นั่งบนเก้าอี้ก็น่าจะถูกผลึกให้หลับใหลอยู่ภายในศาลาแปดเหลี่ยม
มีคนผู้หนึ่งอยู่จริงๆ เป็นคนผู้หนึ่งที่ร่างกายเปลือยเปล่า หันหน้าเข้าหาบัลลังก์หยก มือเกาะอยู่ที่พนักบัลลังก์หยก หันหลังให้กลุ่มคนนอกประตู
คนผู้นั้นร่างกายผอมบาง เปลือยเปล่าล้อนจ้อน เอวคอดเพรียวบาง สะโพกกลมกลึงดึงดูดคน สองขาเรียวยาว ผิวขาวกระจ่าง แผ่นหลังงามทรงเสน่ห์ ดูเหมือนจะเป็นสาวงามคนหนึ่ง
เพียงแต่บนแผ่นหลังคล้ายมีเกราะกระดูกสีเงินแข็งๆ ปูดนูนขึ้นมาคล้ายตัวอักษรเฟย[1] ส่วนกระดูกตรงบริเวณสะบักไหล่ทั้งสองข้างมีรอยแยกสองเส้น มีแสงสีเงินแผ่ออกมาจากรอยแยกทั้งสองเส้น สาดประกายระยิบระยับ
เส้นผมสีเงินที่ยุ่งเหยิงทั่วศีรษะดูราวกับสารปรอท นิ้วมือที่เกาะอยู่บนบัลลังก์มีกรงเล็บสีเงินทั้งห้านิ้ว กระดูกแข็งบนต้นแขนและปลายแขนที่เรียวเล็กดูคล้ายกล้ามเนื้อที่มีลายเส้นเห็นเด่นชัด สองขาเรียวงามเองก็เป็นเช่นนี้ด้วย เต็มไปด้วยความงดงามที่ดูน่ากลัว
ร่างเปลือยเปล่าที่เกาะบัลลังก์อยู่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ยังไม่ทันมองเห็นใบหน้าที่ชัดเจนก็เชิดหน้าขึ้นพลางเปล่งเสียงดัง “ฮื้อ…” ที่ฟังดูหม่นหมองแว่วดังไปไกล ไม่รู้ว่าถ่ายทอดข้อความอันใดออกไป แต่สะเทือนจิตใจคน
ขณะที่เสียงหม่นหมองแว่วดังขึ้น เส้นผมสีเงินทั่วศีรษะพลันส่ายไหวแม้จะไร้ลม ปลิวไสวอย่างไม่เป็นระเบียบ ดูสับสนวุ่นวาย
แสงสีเงินที่ส่องลอดจากรอยแยกสองเส้นที่อยู่บนสะบักก็เจิดจ้าขึ้นเช่นกัน คล้ายว่ากำลังจะมีบางสิ่งเริ่มงอกออกมาช้าๆ
ในไม่ช้าทุกคนที่อยู่นอกประตูก็ได้เห็นชัดๆ ว่าเป็นสิ่งใดที่งอกออกมา มันเป็นปีกคู่หนึ่ง ปีกผีเสื้อคู่หนึ่งกำลังงอกออกมาอย่างเชื่องช้า ค่อยๆ แผ่กางออกมา ปีกแผ่แสงสีเงินเย้ายวนคน
“อสูรศักดิ์สิทธิ์…” ก่วนฟางอี๋พึมพำเสียงสั่น เอ่ยการคาดเดาที่อยู่ในใจของทุกคนออกมา
ตั้งแต่ชั่วขณะที่มองเห็นชัดๆ ว่าเป็นสิ่งใด ทุกคนล้วนตระหนักได้แล้วว่ามนุษย์ประหลาดผมเงินคนนั้นน่าจะเป็นราชันแห่งแดนความฝันผีเสื้อในตำนานที่เล่าขานกันมา น่าจะเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน โดยเฉพาะในตอนที่ปีกผีเสื้อคู่นั้นงอกออกมาก็ยิ่งทำให้พวกเขามั่นใจขึ้นไปอีก
ไม่มีใครคิดถึง รวมไปถึงหนิวโหย่วเต้าด้วย พวกเขาล้วนคิดไม่ถึงเลยว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ในตำนานจะถูกผนึกเอาไว้ในศูนย์กลางของค่ายกล
ก่อนหน้านี้เตรียมการเฝ้าระวังมาตลอด แต่วิ่งไปวิ่งมาก็ยังไม่เห็น เลยทำให้พวกเขาคิดกันไปว่าต่อให้ตำนานเป็นความจริง อสูรศักดิ์สิทธิ์อันใดที่เล่าขานกันก็น่าจะตายไปแล้ว ต่อให้อยู่ในฝันก็ไม่เคยคาดคิดว่ามันจะยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นยังซ่อนตัวอยู่ในศูนย์กลางของค่ายกลด้วย
ก่อนหน้านี้คิดเพียงแต่จะตามหาศูนย์กลางของค่ายกลเพื่อเปิดเส้นทาง ตอนนี้ตามหาศูนย์กลางของค่ายกลพบและเปิดทางได้แล้ว แต่ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นการเปิดทางให้ผู้ใดกันแน่
เปิดทางให้พวกเขา หรือว่าคลายผนึกเปิดทางให้อสูรศักดิ์สิทธิ์กันแน่?
สำหรับหนิวโหย่วเต้าแล้ว เขารู้สึกว่าค่ายกลนี้ค่อนข้างอ่อนโยน ไม่ใช่ค่ายกลสำหรับสังหารอันใด มิใช่ค่ายกลที่มุ่งหมายจะเข่นฆ่าจนถึงที่สุด ขอเพียงไม่ดันทุรังทำอะไร อย่างมากก็แค่ถูกขังไว้ ไม่มีวี่แววว่าจะสังหารอย่างไร้ความปรานีอันใด
ตอนนี้เพิ่งจะตระหนักได้ว่าตนถูกหลอกเสียแล้ว ในศูนย์กลางของค่ายกลสำหรับเปิดทางกลับแอบซ่อนสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังทัดเทียมกับระดับจิตทารกเอาไว้ตัวหนึ่ง ส่วนตนกลับเป็นคนปลดปล่อยสัตว์ประหลาดเช่นนี้ออกมาเอง สรุปแล้วต้องการเปิดทางให้คนรอดชีวิตไปได้…หรือว่าจะบีบคนที่เปิดค่ายกลไปสู่ความตายกันเล่า?
หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองเฉาเซิ่งไหวที่สลบอยู่เล็กน้อย ไม่มีเวลาไปสนใจคนผู้นั้นแล้ว เขากระซิบพลามส่งสัญญาณมือ “หนี!”
ไม่มีข้อมูลใดเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดที่อยู่เบื้องหน้าเลย ไม่สามารถวิเคราะห์อันใดออกมาได้ ก่อนที่จะทราบแน่ชัดว่าสัตว์ประหลาดตนนี้เป็นมิตรหรือไม่ หนิวโหย่วเต้าไม่กล้าเสี่ยงเดิมพันส่งเดช หาวิธีถอยหนีไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน หลังจากทราบสถานการณ์แน่ชัดแล้วค่อยวางแผนก็ยังไม่สาย艾琳小說
ทุกคนค่อยๆ ถอยหนีออกมา พยายามไม่ส่งเสียงดัง
พอถอยห่างมาไกลเล็กน้อย หนิวโหย่วเต้าก็ส่งสัญญาณให้ก่วนฟางอี๋ช่วยดูแลหยวนกัง ทั้งกลุ่มทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว เตรียมจะออกจากพระราชวังนี้แห่งนี้ให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ฟุ่บ! แสงสีเงินสายหนึ่งพุ่งผ่านเหนือศีรษะทุกคนไป รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ผ่านไปในชั่วพริบตา ทุกคนตกใจจนร่อนลงสู่พื้นแล้วไม่กล้าเดินหน้าต่อ
สตรีผมเงินมีปีกคนหนึ่งกระพือปีกที่ส่องแสงสีเงินงามระยับเย้ายวน ร่อนลงบนพื้นแผ่วเบา ร่อนลงที่ริมสระน้ำแห่งหนึ่ง
น้ำในสระเป็นสายน้ำที่ไหลลงมาจากขุนเขา ไหลหลากตลอดปี
เมื่อร่อนลงริมสระน้ำ หญิงสาวผมเงินยืดคอมองไปยังผิวน้ำ เส้นผมสีเงินปลิวไสวยุ่งเหยิง นางยกมือข้างหนึ่งขึ้นแตะใบหน้าของตนเบาๆ ท่าทางดูสงสารเงาที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำ
ในเวลานี้เอง ทุกคนถึงได้เห็นใบหน้าของนางชัดๆ จุดสงวนบนร่างคล้ายจะได้รับการปกป้องโดยเกราะกระดูกสีเงินที่มีมาแต่กำเนิด
ดวงหน้าของนางมองครั้งแรกดูค่อนข้างเย้ายวน ใบหน้าเรียวแหลม หน้าผากและสันจมูกล้วนมีเกราะกระดูกสีเงินหุ้มไว้ เขี้ยวยาวสองซี่ยื่นโผล่ออกมาด้านล่างปาก มีลวดลายสีเงินตามใบหน้า ภายใต้แสงสะท้อนจากปีก ลวดลายสีเงินนั้นดูราวกับปรอทที่ไหลวนเวียน ยิ่งขับเน้นให้ความรู้สึกแปลกพิสดาร แล้วก็มีความรู้สึกชั่วร้าย
ทำให้ทุกคนรู้สึกว่านี่สิถึงจะเป็นรูปลักษณ์ของมารร้าย
ติ๋ง! มีเสียงหยดน้ำแว่วดังชัดเจน
ดูเหมือนอสูรศักดิ์สิทธิ์ตนนี้จะร้องไห้อยู่ อย่างน้อยก็มองเห็นน้ำตาที่ไหลออกมาชัดเจน น้ำตาหยดหนึ่งตกกระทบน้ำในสระ ทำให้เกิดระลอกน้ำเพื่อมไหวเป็นวง
พวกหนิวโหย่วเต้ามองกันไปมองกันมา ล้วนไม่เข้าใจว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ตนนี้ร้องไห้ด้วยเหตุใด หรือเป็นเพราะถูกขังมาหลายร้อยปี ในที่สุดก็หลุดพ้น จึงดีใจจนร่ำไห้?
อสูรศักดิ์สิทธิ์มองเงาตนในสระน้ำ ก่อนจะหงายฝ่ามือขึ้นมาอย่างแผ่วเบา ใช้มือที่มีกรงเล็บงอกยาวรองรับน้ำตาอีกหยดที่ไหลย้อยลงมาจากแก้มอีกด้าน หยดน้ำตากลางฝ่ามือใสดังผลึกแก้ว ภายใต้แสงสีเงินจากสองปีกที่ส่องกระทบลงมา น้ำตาหยดนั้นเปล่งประกายแวววาว
“ผู้ใดบอกข้าได้บ้างว่าเหตุข้าจึงร้องไห้?”
“ผู้ใดบอกข้าได้บ้างว่าเหตุใดข้าถึงเศร้าหมอง?”
น้ำเสียงคล้ายแว่วมาจากความว่างเปล่า เสียงใสกระจ่างเสนาะหูคล้ายจะก้องกังวานไปทั่วพระราชวัง
พวกหนิวโหย่วเต้าหันมองไปรอบๆ มีเพียงอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ริมสระน้ำกำลังขยับปากพูดอยู่ ปลายนิ้วแตะคราบน้ำตาบนใบหน้าเบาๆ แววตาเจือความสับสน คล้ายพยายามนึกย้อนถึงอะไรบางอย่าง
อสูรศักดิ์สิทธิ์ตนนี้พูดภาษามนุษย์ได้อย่างนั้นหรือ? ทั้งห้าคนมองหน้ากันเหลอหลา แต่ไม่มีผู้ใดสามารถตอบคำถามของอีกฝ่ายได้เช่นกัน
ภายใต้สัญญาณมือจากหนิวโหย่วเต้า ทั้งห้าคนค่อยๆ ถอยไปทางด้านขวา หยั่งเชิงท่าทีของอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ริมสระตนนั้น
หลังจากแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีอันใด ทั้งห้าพลันหันหลังทะยานออกไปทันที
“นี่คือเมืองของข้าหรือ?”
“ข้าจำได้ ดูเหมือนจะเป็นเมืองของข้า เหตุใดถึงบุกรุกเข้ามาในเมืองของข้า?”
ทั้งห้าคนลอยตัวอยู่กลางอากาศ เสียงที่คล้ายก้องสะท้อนไปทั่วพระราชวังแว่วกังวานชัดเจนอยู่ในหูของพวกเขาเช่นกัน
ประกายสีเงินสายหนึ่งพุ่งผ่านอากาศเข้ามา อสูรศักดิ์สิทธิ์กระพือปีกร่อนลงบนกำแพงพระราชวังอย่างเชื่องช้า ประจันหน้ากับทั้งห้าที่ทะยานเข้ามา
ออกตัวทีหลังแต่มาถึงก่อน แซงหน้าทุกคนได้ในชั่วพริบตา ขวางทางทั้งห้าคนเอาไว้ จ้องมองมนุษย์ห้าคนที่รีบร่อนลงสู่พื้น ดวงตาค่อยๆ ฉายแววดุร้ายขึ้นมา จากนั้นเปล่งเสียงดังก้องที่คล้ายมิได้ออกมาจากปากของนาง “พวกต่างเผ่า เหตุใดถึงบุกรุกเข้ามาในเมืองของข้า?”
ท่าทีของอีกฝ่ายค่อยๆ ดูเป็นอริขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ทั้งห้ากระวนกระวายเป็นอย่างมาก
ขณะที่หนิวโหย่วเต้ากำลังครุ่นคิดหาแผนการรับมืออยู่ ผู้ใดจะทราบว่าอวิ๋นจีพลันตะโกนออกไปว่า “ที่นี่ไม่ใช่เมืองของเจ้า!”
“ไม่ใช่เมืองของข้าหรือ?” อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนกำแพงสูงมีสีหน้าฉงน ถามออกไปว่า “เช่นนั้นเป็นเมืองของผู้ใด?”
อวิ๋นจีตอบว่า “เมืองของซางซ่ง เป็นพระราชวังของซางซ่ง!”
“ซางซ่งหรือ?” อสูรศักดิ์สิทธิ์ก้มหน้าครุ่นคิด หลังจากใคร่ครวญอยู่สักพักก็พึมพำออกมา “ดูเหมือนจะเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ซางซ่งคือผู้ใด?” นางมองอวิ๋นจีแล้วถามออกไป
หนิวโหย่วเต้าและหยวนกังสื่อสารกันผ่านสายตา เหตุใดถึงรู้สึกว่าความทรงจำของปีศาจตนนี้เหมือนจะมีปัญหาเล่า?
อวิ๋นจีตะโกนออกไป “ซางซ่งคือนายของเจ้า ยังมีหลีเกอด้วย พวกเขาล้วนเป็นนายของเจ้า พวกเราคือสหายของนายเจ้า”
เห็นได้ชัดว่านางก็สังเกตเห็นว่าความทรงจำของอีกฝ่ายมีปัญหา จึงคิดจะหลอกอีกฝ่าย
ผู้ใดจะทราบว่าพอเอ่ยวาจานี้ออกไป น้ำเสียงของอสูรศักดิ์สิทธิ์พลันเย็นชาลง “นายหรือ? ผู้ใดจะมาเป็นนายของข้าได้? เจ้ากำลังหลอกข้า!”
ทุกคนใจหายวาบ ตระหนักได้ว่าราชันอสูรผีเสื้อตนนี้มีความหยิ่งทระนงฝังลึกอยู่ในกระดูก แล้วก็ตระหนักได้ว่าอวิ๋นจีอาจจะทำให้เสียเรื่องแล้ว
อวิ๋นจีกระซิบออกมาทันที “จะมาติดอยู่ที่นี่กันหมดไม่ได้ ขออภัยด้วย ข้าต้องออกไปก่อนแล้ว บางทีอาจจะดึงความสนใจให้พวกเจ้าได้”
ทางนี้เพิ่งจะเอ่ยจบก็เกิดเสียงฟุ่บดังขึ้น ด้านหน้าพลันเกิดแสงจ้า ทำเอาพวกหนิวโหย่วเต้าสะดุ้งโหยง พากันถอยกรูดไปด้วยความตกใจ
อสูรศักดิ์สิทธิ์ลงมาจากกำแพง มายืนอยู่เบื้องหน้าอวิ๋นจีในชั่วพริบตา ทำให้นางไม่ทันได้ตั้งตัว
อวิ๋นจีค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สบตากับปีศาจที่อยู่ในระยะประชิด ลองถอยหลังอย่างช้าๆ ก้าวหนึ่ง
อสูรศักดิ์สิทธิ์เอ่ยว่า “เจ้ากำลังหลอกข้า”
“ข้าไม่ได้หลอกเจ้า ข้าจะให้เจ้าดูของสิ่งหนึ่งแล้วเจ้าจะรู้เอง” พอพูดจบ ลำคอของอวิ๋นจีพลันขยับขึ้นลง คายเอาไข่มุกสีทองเม็ดหนึ่งออกมาใส่ฝ่ามือ เป็นไข่มุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์ที่กลืนเข้าไปก่อนหน้านี้
พวกหนิวโหย่วเต้าที่ค่อยๆ ถอยหลบไปอย่างช้าๆ สบตากัน รู้ดีว่าอวิ๋นจีกำลังจะใช้พลังของมุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์สร้างผลกระทบต่ออสูศักดิ์สิทธิ์เพื่อหาโอกาสหนี
หนิวโหย่วเต้าสงสายตาให้คนรอบข้างอีกครั้งหนึ่ง ทั้งสามคนที่อยู่รอบตัวพยักหน้าเล็กน้อย เข้าใจความหมายของเขา หากว่ามุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์ส่งผลต่ออสูรศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ให้ทุกคนจะฉวยโอกาสหนีทันที
มุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์ที่อยู่กลางฝ่ามืออวิ๋นจีค่อยๆ เปล่งแสงสีแดงออกมา หมอกโลหิตที่มารวมตัวกันสายแล้วสายเล่าล่องลอยอยู่ในแสงสีแดง ลอยเข้าไปหาอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงข้าม
อสูรศักดิ์สิทธิ์จ้องมอง จ้องหมอกโลหิตที่ลอยเข้ามาวนเวียนอยู่รอบกายตนช้าๆ สีหน้าไม่มีความผิดปกติใดๆ
กลับเป็นตัวอวิ๋นจีเองที่ดูหมือนจะได้รับผลกระทบจากมุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์ นางสะบัดหน้าไปมาแรงๆ
อสูรศักดิ์สิทธิ์ยกมือขึ้นมา กรงเล็บตะปบเข้าไปที่ฝ่ามือของอวิ๋นจี แม้แต่มุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์ก็ถูกกำเอาไว้ด้วย กรงเล็บสองนิ้วจิกแทงลงในฝ่ามืออวิ๋นจี ตวัดชิงมุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์เข้าสู่มือตนแล้วหยิบออกไป “สิ่งนี้ทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เจ้าให้ข้าดู มันเป็นของข้าหรือ?”
ทันทีที่หลุดออกไปจากมืออวิ๋นจี มุกก็สูญเสียการควบคุมไป แสงสีแดงและหมอกโลหิตพลันหดกลับไปในมุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์
พวกหนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออก มุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อราชันอสูรผีเสื้อตนนี้สักนิด แผนฉวยโอกาสหลบหนีเรียกได้ว่าพังทลายลงแล้ว
แต่ในเวลานี้เอง อวิ๋นจีฉวยโอกาสลอบโจมตี ซัดฝ่ามือเข้าใส่ทรวงอกของอสูรศักดิ์สิทธิ์ เรียกได้ว่าทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อโจมตี หมายจะฉวยโอกาสเอาชีวิตอีกฝ่ายตอนที่ไม่ทันระวัง
ตูม! ฝ่ามือกระแทกเข้าอย่างจัง โจมตีอสูรศักดิ์สิทธิ์โดยไม่ทันตั้งตัวจริงๆ
ลมรุนแรงระเบิดออกไปรอบทิศ ขณะที่อสูรศักดิ์สิทธิ์เซถอยหลังไป ร่างกายของมันก็สะบัดเล็กน้อย ปีกข้างหลังที่อยู่ด้านหลังกระพือเข้าใส่ปานพายุโหมกระหน่ำ ฟาดเข้าใส่ร่างของอวิ๋นจี
ตูม! อวิ๋นจีลอยละลิ่วออกไปดุจว่าวที่สายป่านขาด กระอักเลือดรุนแรงกลางอากาศ กระเด็นออกไป
แต่ในขณะที่สตรีนางนี้กำลังจะร่วงกระแทกพื้น นางได้ซัดฝ่ามือใส่แผ่นหินปูพื้น
แผ่นหินแตกกระจาย ดินโคลนปลิวว่อน อวิ๋นจีบิดตัวเล็กน้อย มุดลงไปใต้ดิน ดำดินหายลับไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา
แสงเงินสายหนึ่งพุ่งเข้ามาดุจดาวตก กระแทกพื้นดังตูม มุดลงไปใต้ดินเช่นกัน
……………………………………………………………
[1]ตัวอักษรเฟย ในภาษาจีนคือ 非