ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 474 สมาชิกไร้สมอง
ตอนที่ 474 สมาชิกไร้สมอง
แผ่นหินที่ระเบิดขึ้นมา ดินโคลนที่กระจ่ายปลิวว่อน เกิดเสียงหล่นกระทบดังไปทั่ว
จากนั้นหน้าดินพลันปูดนูนปริแยกเชื่อมโยงกันไป มีเสียงทึบๆ ดังสนั่นมาจากใต้ดินอย่างต่อเนื่อง เรือนหลังหนึ่งที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงพังถล่มลงมาเพราะหน้าดินที่เดี๋ยวยุบเดี๋ยวนูน ถล่มลงดังครืน
“หนี!” หนิวโหย่วเต้ารีบร้องบอก
หากไม่มีหนีตอนนี้แล้วจะรอไปถึงเมื่อไร ทั้งสี่คนทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว
แต่เพิ่งจะทะยานข้ามกำแพงวังไปก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเดิม มีอสูรผีเสื้อมากมายอยู่เบื้องหน้า
อสูรผีเสื้อจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนเข้ามาปิดล้อมพระราชวังแห่งนี้เป็นวงกว้าง อสูรโลหิตที่กระพือปีกที่เปล่งแสงสีแดงฉานก็มีอยู่ไม่รู้เท่าไร ไกลออกไปยังคงมีอสูรผีเสื้อบินเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
แต่พวกมันก็ไม่ได้เข้าใกล้พระราชวัง อสูรผีเสื้อจำนวนมหาศาลหยุดอยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากพระราชวังออกไปร้อยจั้ง บ้างก็ร่อนลงสู่พื้น บ้างก็ลอยอยู่กลางอากาศ คล้ายกำลังรอเรียกระดมพล
อสูรผีเสื้อที่มากมายมหาศาลขนาดนี้ อสูรโลหิตจำนวนมากขนาดนี้ ทำให้พวกหนิวโหย่วเต้าขนหัวลุกขึ้นมา
เริ่มแรกหนิวโหย่วเต้ายังคิดจะใช้วิธีแยกย้ายกันหลบหนี หนีได้กี่คนก็เท่านั้น อสูรศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางตามไล่ล่าหลายทิศทางพร้อมกันได้ เพิ่มโอกาสในการหนีรอดให้มากขึ้น แต่สุดท้ายความคิดนี้ก็ถูกทำลายลงอีกครั้ง เนื่องจากคราบเลือดที่หยวนกังพ่นใส่ร่างพวกเขาดูเหมือนจะไม่ส่งผลต่ออสูรโลหิตมากนัก ตัวเขายังพอว่า แต่สำหรับหยวนฟางและก่วนฟางอี๋นับว่าอันตรายเกินไป สุดท้ายก็ต้องตัดสินใจให้หยวนกังเป็นผู้นำกลุ่ม
ภาพที่ปรากฏตรงเบื้องหน้าคือการตกอยู่ในวงล้อมของกองทัพอสูรผีเสื้อ เขาจึงไม่มีความคิดที่จะแยกย้ายกันหนีอีกต่อไป ทำได้เพียงฝ่าวงล้อมออกไป
“เจ้าลิง ไหวหรือเปล่า?” หนิวโหย่วเต้าตะโกนถามหยวนกัง
“ต้องลองดู!” นี่คือคำตอบของหยวนกัง
เขาเองก็ไม่มีทางเลือกแล้วเช่นกัน กว่าจะสยบอสูรโลหิตตัวหนึ่งได้ก็ค่อนข้างเต็มกลืนแล้ว เผชิญหน้ากับอสูรโลหิตมากมายปานนี้ นอกจากลองดูแล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก
หนิวโหย่วเต้ายิ้มเจื่อน ก็ทำได้แค่ลองดูเท่านั้น ไม่อย่างนั้นยังจะทำอะไรได้อีก การกระทำหุนหันพลันแล่นของอวิ๋นจีได้ยั่วยุโทสะของอสรูศักดิ์สิทธิ์เข้าแล้ว พวกมันจะยอมเชื่อพวกเขาอีกหรือ? อย่างน้อยทางนี้ก็ยังมีความหวังกับอิทธิพลของหยวนกังอยู่
ส่วนกลิ่นอายของหยวนกังจะส่งผลต่ออสูรศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่นั้น หนิวโหย่วเต้าไม่มีความหวังเลยแม้แต่นิดเดียว ก็อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ กว่าจะสยบอสูรโลหิตตัวหนึ่งได้ก็ค่อนข้างเต็มกลืนแล้ว หากจะบอกว่าสามารถข่มขู่อสูรศักดิ์สิทธิ์ได้ เกรงว่าแม้แต่ตัวหยวนกังเองก็คงไม่กล้าเชื่อเช่นกัน
“กี้ด!”
เสียงร้องโกรธเกรี้ยวดังสะท้อนอยู่ทั่วฟ้าดิน
ทั้งสี่คนหันไปมอง เห็นว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นโผล่ออกมาจากพื้นดินแล้ว กระพือปีกลอยตัวอยู่เหนือพระราชวัง แสงเงินส่องเรืองรอง
เสียงโครมครามจากการต่อสู้เงียบสงบลงแล้ว ทางนี้ก็ไม่ทราบว่าอวิ๋นจีหนีรอดภัยไปได้หรือว่าสิ้นใจตายแล้ว
เมื่อเสียงของอสูรศักดิ์สิทธิ์ดังขึ้น อสูรผีเสื้อทั้งหมดที่ล้อมอยู่ด้านนอกต่างศิโรราบทันที ท่าทางดูยอมรับเชื่อฟัง
ดูจากภาพนี้แล้ว อสูรศักดิ์สิทธิ์มีอิทธิพลต่ออสูรผีเสื้อเพียงใด ต่อให้ใช้หัวแม่เท้าคิดดูก็รู้แล้ว หนิวโหย่วเต้าร้อนใจขึ้นมาทันที กังวลว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์จะระดมกองทัพอสูรผีเสื้อให้มาโจมตีพวกเขา
เรื่องราวค่อนข้างเหนือความคาดหมาย กองทัพอสูรผีเสื้อเมินเฉยต่อพวกหนิวโหย่วเต้าที่ทะยานเข้ามา ไม่ตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น สายตาของทุกตัวจ้องมองราชินีที่สองแสงเจิดจ้าอยู่เหนือพระราชวัง
“ไป!” หนิวโหย่วเต้าตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง เรียกให้พวกพ้องที่พะว้าพะวงอยู่เดินหน้าต่อไป พุ่งฝ่าออกจากวงล้อมของอสูรผีเสื้อต่อไป
ทั้งกลุ่มทะยานแหวกฝ่ากองทัพอสูรผีเสื้อออกไป เกิดความวุ่นวายเล็กน้อย แต่อสูรผีเสื้อเหล่านี้ก็ไม่ได้สนใจพวกเขาเท่าไร ส่วนใหญ่ยังคงจ้องมองไปทางราชินีโดยไม่ขยับเขยื้อน
อสูรผีเสื้อมากมายถึงเพียงนี้กลับดูเรียบร้อยเชื่อฟังถึงขนาดนี้ พวกหนิวโหย่วเต้าเองก็เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก หากว่ากันในอีกแง่หนึ่งแล้ว นี่ก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงสถานะของอสูรศักดิ์สิทธิ์ในแดนความฝันผีเสื้อ ทำให้รู้สึกว่าหากอสูรศักดิ์สิทธิ์ไม่สั่งการ อสูรผีเสื้อตรงหน้าก็จะไม่กล้าขยับเขยื้อน
ขณะที่ทั้งสี่คนเพิ่งจะฝ่าออกมาจากวงล้อมของอสูรผีเสื้อ พวกเขาก็สังเกตเห็นว่าอสูรผีเสื้อที่บินเข้ามาทางเบื้องหน้าดูผิดปกติไปเล็กน้อย ทิศทางดูผิดปกติ พวกเขาจึงหันกลับไปมอง พวกว่าอสูรผีเสื้อที่ล้อมเป็นวงอยู่ด้านหลังก็เปลี่ยนทิศทางแล้วเช่นกัน อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือพระราชวังหายไปแล้ว
ทั้งสี่คนใจหายวาบ เงยหน้ามองขึ้นไป เป็นอย่างที่คิดจริงๆ อสูรศักดิ์สิทธิ์กระพือปีกส่องแสงเจิดจ้าไล่ตามพวกเขามาแล้ว บินขนานอยู่ด้านบนพวกเขา
อีกฝ่ายเองก็ไม่คิดจะเล่นสนุกต่อไป ปีกไหวกระพือเร็วขึ้นกว่าเดิม ประกายแสงสีเงินสว่างวาบ บินไปลอยอยู่เบื้องหน้า ขวางทางพวกเขาเอาไว้
ทั้งกลุ่มหักเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางทันที แสงสีเงินวาบผ่านไป อสูรศักดิ์สิทธิ์พุ่งลงมาจากด้านบน ขวางหน้าพวกเขาเอาไว้ เปล่งเสียงกระจ่างชัดก้องกังวาน “พวกต่างเผ่าจอมโกหก คิดหนีหรือ?” ในวาจาแฝงความโกรธเกรี้ยวไว้ชัดเจน
ทั้งกลุ่มถูกบีบให้ต้องร่อนลงพื้น หนิวโหย่วเต้าจ้องมองอสูรศักดิ์สิทธิ์ จู่ๆ ก็ตะโกนขึ้นมาว่า “หงเหนียง พาพวกเขาสองคนไปซะ ข้าจะไปล่อนาง!”
เหตุผลที่เรียกชื่อหงเหนียงเป็นเพราะระดับสภาวะของหงเหนียงเพียงพอจะพาหยวนกังที่เหินทะยานไม่เป็นจากไปได้ ยิ่งเมื่อมียันต์อาคมของหงเหนียงและกลิ่นกายของหยวนกัง ขอเพียงออกจากที่นี่ไปได้ย่อมมีความหวังที่จะหนีรอด
“เต้าเหยี่ย!”
“เต้าเหยี่ย!””
“เต้าเหยี่ย!””
ทั้งสามแทบจะตะโกนออกมาพร้อมกัน ในใจต่างตกตะลึง
หยวนกังยังพอว่า รู้ดีหนิวโหย่วเต้าเป็นคนอย่างไร เมื่อถึงเวลาที่สมควรเสียสละตัวเองก็จะทำโดยไม่ลังเลเลย นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขายอมภักดีติดตามหนิวโหย่วเต้าเสมอมา
แต่ในใจของก่วนฟางอี๋และหยวนฟางกลับตกตะลึงจนหน้าเปลี่ยนสีไป คิดไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต้าจะยอมสละตัวเองเพื่อปกป้องพวกเขา
ในเวลานี้ ภายในใจของทั้งสองฝาดเฝื่อนนัก ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้
คนบางคน ยามที่เผชิญหน้ากับปัญหาขึ้นมาจริงๆ ถึงจะได้เห็นธาตุแท้ที่แท้จริง โดยเฉาะในยามที่เผชิญหน้ากับอันตราย
“รีบไปซะ!” หนิวโหย่วเต้ากันกลับไปตะโกนใส่ จากนั้นกระซิบเบาๆ ว่า “ความทรงจำของราชินีปีศาจตนนี้ไม่ค่อยชัดเจน ข้าจะรับมือเอง หากพวกเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไม่สามารถเกลี้ยกล่อมนางได้ พวกเจ้าอยู่ที่นี่มีแต่จะเป็นภาระของข้า เจ้าลิง รีบพาพวกเขาไปซะ!” กับเรื่องบางเรื่อง เขาเองก็ไม่มีความมั่นใจเช่นกัน
มุมปากหยวนกังกระตุกขึ้นมาอย่างแรง พลันตวาดใส่ก่วนฟางอี๋และหยวนฟาง “ไป!”
“ฉวยโอกาสตอนที่ความคิดนางยังเลอะเลือนไม่ได้สั่งล้อมโจมตี รีบหนีไปซะ!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเร่งอีกครั้ง
“ไป!” หยวนกังลากหยวนฟางวิ่งออกไปก่อน
“เต้าหยี่ย!” ก่วนฟางอี๋ตะโกนเรียกอย่างยากลำบาก ไม่เคยเอ่ยเรียกอีกฝ่ายด้วยความจริงใจเช่นนี้มาก่อน ทว่าด้วยสายตาดุดันของหนิวโหย่วเต้า สุดท้ายนางก็ได้แต่ต้องไล่ตามหยวนกังไป ยามที่ร่อนแตะลงพื้นได้คว้าตัวหยวนกังเอาไว้แล้วทะยานออกไปด้วยกัน หยวนฟางทะยานไล่ตามไปทันที
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองเป็นใคร? รู้หรือไม่ว่าของในมือคือสิ่งใด?”
พอเห็นว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์เหลือบมองพวกหยวนกังที่หลบหนีไป หนิวโหย่วเต้าจึงตะโกนถามออกไปทันที ขณะเดียวกันก็ชี้มุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์ที่อีกฝ่ายกุมไว้ในมือ ดึงดูดความสนใจของอสูรศักดิ์สิทธิ์
อสูรศักดิ์สิทธิ์คล้ายจะสงสัยในเรื่องนี้อยู่เช่นกัน ค่อยๆ ก้มหน้ามองไข่มุกสีทองในมือ
แต่ในเวลานี้เอง จู่ๆ ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ในตอนที่หยวนกังที่ถูกก่วนฟางอี๋พาตัวทะยานออกไปเฉียดผ่านข้างกายอสูรผีเสื้อตัวหนึ่ง จู่ๆ เขาก็ชักดาบออกมา ตวัดดาบฟันใส่ร่างอสูรผีเสื้อตัวหนึ่งที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศจนร่วงลงไป เสียงร้อง ‘กี้ด’ ดังโหยฉวน
ก่วนฟางอี๋และหยวนฟางล้วนค่อนข้างมึนงง ฝั่งอสูรผีเสื้อไม่มาสร้างปัญหาให้พวกตนก็ดีมากพอแล้ว เจ้ากลับเป็นฝ่ายไปสร้างปัญหาขึ้น หน่ายจะมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง?
อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปพลันได้สติกลับมา หันกลับไปมองทันที พอเห็นว่าพวกพ้องของนางถูกทำร้าย ก็ดูเหมือนจะทำให้นางโมโหขึ้นมาในทันที สองปีกขยับกระพือ บินพุ่งออกไปทันที
หนิวโหย่วเต้าหันขวับกลับไปมอง โมโหจนตาแทบจะลุกเป็นไฟ ก่อนหน้านี้ไม่เข้าใจสถานการณ์แน่ชัด อวิ๋นจีก็บุ่มบ่ามลงมือจนทำให้อสูรศักดิ์สิทธิ์โกรธเกรี้ยว ไม่เหลือช่องให้เจรจา ตอนนี้หยวนกังกลับเอาอีกแล้ว เท่ากับว่าลงมือทำร้ายคนของอีกฝ่ายซึ่งๆ หน้า แล้วยังจะเจรจายังไงอีก!
“เต้าเหยี่ย รีบหนีเร็ว!” หยวนกังที่ตวัดดาบฟาดฟันตะโกนออกไปในทันใด
ในที่สุดก่วนฟางอี๋และหยวนกังก็เข้าใจเจตนาที่จู่ๆ เขาก็ลงมือแล้ว มีความตั้งใจเช่นเดียวกับหนิวโหย่วเต้า เพียงสลับเป็นทางฝั่งนี้เสียสละเพื่อให้หนิวโหย่วเต้าหลบหนีไปเท่านั้น
ทั้งสองเองก็ไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือควรจะชื่นชมดี รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้แต่ไร้ซึ่งน้ำตา
ไม่จำเป็นต้องเอ่ยเตือนเลย พอเห็นเขาลงมือ หนิวโหย่วเต้าก็รู้แล้วว่าเขาคิดจะทำอะไร
ในเวลานี้หนิวโหย่วเต้าอยากจะผ่ากะโหลกหยวนกังออกมาดูสักหน่อยว่าในสมองเขาใส่อะไรไว้ ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แล้วยังไม่รู้จักแยกแยะระหว่างอารมณ์กับเหตุผลอีกหรือ ข้าไม่อาจข่มขู่อสูรโลหิตให้หวาดกลัวได้ มาบอกให้ข้ารีบหนี? จะให้หนีไปไหน?
ตอนนี้หยวนกังไม่ได้มีเหตุผลอะไรมากมายนัก มีเพียงความบ้าดีเดือดเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ถึงได้ลงมือตามอารมณ์
เขารู้เพียงว่าด้วยความสามารถของเต้าเหยี่ย ขอเพียงสร้างโอกาสให้ได้ เต้าเหยี่ยก็จะมีโอกาสหนีรอด
ชิ้ง! ประกายกระบี่สว่างวาบขึ้นมา หนิวโหย่วเต้าชักกระบี่ออกจากฝัก สีหน้าเหี้ยมเกรียม รีบทะยานมุ่งหน้าไปทางหยวนกัง
ก็เหมือนอย่างที่เขาเคยพูดเอาไว้ เขาไม่ชอบการสังหารฆ่าฟัน
หากอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต้องลงมือได้ ส่วนใหญ่เขาจะไม่มีทางลงมือ น้อยครั้งนักที่จะชักกระบี่ใส่ศัตรู น้อยครั้งนักที่จะเผยฝีมือออกมา
แต่ถ้าเกิดเขาชักกระบี่ออกมาแล้ว หากไม่เห็นโลหิต กระบี่แทบจะไม่มีทางกลับเข้าฝัก!
อสูรศักดิ์สิทธิ์คล้ายจะยังไม่ชินกับการควบคุมอสูรผีเสื้อ ส่วนยามที่อสูรผีเสื้ออยู่ต่อหน้านาง หากไม่ได้รับคำสั่งจากนาง พวกมันก็คล้ายจะไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร สงบเสงี่ยมเชื่อฟัง แม้ว่าจะถูกหยวนกังสังหารพวกพ้องร่วมเผ่าพันธุ์ไปตัวหนึ่ง อสูรผีเสื้อตัวอื่นๆ ก็ยังสงบเสงี่ยมอยู่ ไม่ได้ลงมือขัดขวางพวกหยวนกัง
แต่อสูรศักดิ์สิทธิ์กลับไล่ตามมาแล้ว เข้าขัดขวางด้วยตัวเอง
อันที่จริงตัวนางเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดพอตนเห็นอสูรผีเสื้อตัวอื่นถูกสังหารแล้วถึงได้โกรธแค้นขึ้นมา เป็นอย่างที่หนิวโหย่วเต้าวิเคราะห์ไว้ ความคิดของตัวนางในยามนี้ยังคงสับสนวุ่นวายอยู่ ยังไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร แต่เมื่อเห็นพวกพ้องถูกสังหาร ความโกรธเกรี้ยวก็ปรากฏขึ้นมาตามสัญชาตญาณที่ฝังลึกอยู่ในกระดูก
แล้วก็เป็นเพราะความบุ่มบ่ามของอวิ๋นจีและความหุนหันพลันแล่นของหยวนกัง ทำให้ความเป็นไปได้ที่หนิวโหย่วเต้าจะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้มาเจรจากับอสูรศักดิ์สิทธิ์ถูกตัดขาดไปอย่างสิ้นเชิง หนิวโหย่วเต้าเพิ่งจะเข้าใจถึงความรู้สึกที่อยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตาอย่างแท้จริง เวลานี้มีเพียงประโยคเดียวที่บรรยายถึงความรู้สึกของหนิวโหย่วเต้าในยามนี้ได้ ‘ไม่กลัวศัตรูแข็งแกร่ง กลัวก็แต่สมาชิกไร้สมอง!’
“หนีไป!”
พอเห็นว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ไล่ตามมาแล้ว เมื่อเทียบกับความเร็วของอีกฝ่ายแล้ว ถึงจะหลบหนีก็ไม่มีทางหนีพ้น ก่วนฟางอี๋จึงโยนตัวหยวนกังออกไปพร้อมกันตะโกนบอกหยวนฟาง
ยันต์กระบี่สวรรค์แผ่นหนึ่งถูกดึงออกมา นางหมุนตัวกลางอากาศ ตวัดมือปล่อยลำแสงสายหนึ่งออกไปหาอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งเข้ามา
ปราณกระบี่เลือนรางสายหนึ่งพุ่งขึ้นสู่นภา ราวกับภาพมายา แล้วก็ดูคล้ายแก้วผลึกที่จับต้องได้จริง ปราณกระบี่มีความกว้างหนึ่งจั้งกว่า และมีความยาวสิบจั้งเศษ
หวึ่ง! ชั้นอากาศสั่นสะเทือน กระบี่สังหารพุ่งออกไปราวสายฟ้าฟาด ฟันใส่อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่โผเข้ามา
อสูรศักดิ์สิทธิ์พลันหุบปีกไว้ด้านหลัง ตวัดกรงเล็บแหวกอากาศ เงากรงเล็บสีเงินก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า ต้านรับปราณกระบี่อันทรงพลังเอาไว้
ตูม! เสมือนเสียงฟ้าผ่าช่วงกลางวันแสกๆ ปราณกระบี่พังทลาย อสูรศักดิ์สิทธิ์พุ่งทะลุผ่านปราณกระบี่ออกมา
ครั้งนี้อสูรศักดิ์สิทธิ์มีการเตรียมตัวมา เมื่อเทียบกับตอนที่ถูกอวิ๋นจีโจมตีโดยไม่ทันได้ตั้งตัวแล้ว ครั้งนี้เรียกได้ว่าความน่ากลัวแตกต่างกันเหมือนเป็นคนละคน
ก่วนฟางอี๋ที่อยู่ท่ามกลางคลื่นเงาถาโถมถูกพลังงานจำนวนมหาศาลพยุงไว้กลางอากาศ สองมือสะบัดชี้ออกไปอย่างต่อเนื่อง ชี้นำพลังที่ขยายตัวออกมาอย่างรุนแรงจากในยันต์ ปราณกระบี่พุ่งขึ้นไปบนฟ้าสายแล้วสายเล่า ยันต์กระบี่สวรรค์สิบสองเล่มต่างฟันไปยังเป้าหมายเดียวกัน อสูรศักดิ์สิทธิ์!
แต่ร่างกายของอสูรศักดิ์สิทธิ์มีความสามารถในการป้องกันที่แข็งแกร่งจนมนุษย์ยากจะจินตนาการได้ แล้วก็ไม่แปลกที่อวิ๋นจีทุ่มสภาวะทั้งหมดโจมตีใส่นางแล้ว แต่ก็ยังทำให้นางบาดเจ็บไม่ได้
พลังโจมตีของนางยิ่งน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง กรงเล็บทั้งสองข้างตวัดโจมตีทำลายปราณกระบี่สายแล้วสายเล่า ทะลวงฝ่าปราณกระบี่เข้ามาได้อย่างง่ายดาย
…………………………………………………………………..