ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 478 จับไม่ปล่อย
ตอนที่ 478 จับไม่ปล่อย
ภายใต้แสงดาวพราวทั่วฟ้า หลังจากรับรู้ได้ว่าปราณปีศาจประหลาดในร่างของอีกฝ่ายถูกขจัดออกไปพอสมควรแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็ค่อยๆ ชักมือตนกลับมา
ไม่สามารถขจัดทั้งหมดไปจนสิ้นซากอย่างสมบูรณ์ได้ หนิวโหย่วเต้าเองก็เคยคิดจะสลายทิ้งให้นางจนหมดสิ้น แต่ไม่เป็นผล ดูเหมือนในร่างของอสูรศักดิ์สิทธิ์จะเป็นต้นกำเนิดปราณปีศาจประหลาดนั้น ถึงกำจัดไปหมดสิ้นแล้วก็จะค่อยๆ หลั่งไหลออกมาอีกครั้ง ราวกับหมอกควันที่ปรากฏขึ้นเลือนราง
หนิวโหย่วเต้าหมดหนทางแล้วจริงๆ ถึงได้ปล่อยมือแล้วถอยหลังไปสองก้าวอย่างช้าๆ มองพินิจสตรีตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า
อสูรศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อยๆ ลดมือของตนลง แต่ไม่ได้อยู่ในรูปลักษณ์ราชินีปีศาจแล้ว เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
เกราะกระดูกสีเงินบนร่างหายไปแล้ว ผิวพรรณนวลเนียนดั่งหยกมันแพะ ไม่มีใบหูเรียวแหลมอีกต่อไป เส้นผมสีเงินทั่วศีรษะกลายเป็นเรือนผมยาวสลวยดำขลับ ใบหน้าแบบอสูรผีเสื้อที่มีลวดลายสีเงินชั่วร้ายกลายเป็นใบหน้ามนุษย์ธรรมดา ไร้เดียงสายวนใจคน ตาโตใสกระจ่าง ริมฝีปากงามจิ้มลิ้ม
เขี้ยวยาวที่ปากหายไปแล้ว กรงเล็บอันแหลมคมที่มือและเท้ากลายเป็นมือเท้าแบบมนุษย์ปกติ กระดูกแข็งที่งอกอยู่ตามตัวก็หายไปเช่นกัน กลายเป็นมนุษย์เพศหญิงอย่างแท้จริง เป็นสตรีตัวเปล่าเปลือย ทรวดทรงเพรียวบางอ้อนแอ้น งดงามไร้ที่ติ
หน้าอกและร่างกายเบื้องล่างที่ไม่มีเกราะแข็งคอยปิดบัง เปลือยเปล่าจนทำให้คนมองหน้าแดง
สิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ก็คือปีกเรืองแสงสีเงินคู่นั้น ขับเน้นให้เรือนร่างงามยวนตานั้นดูราวกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ทำให้คนไม่กล้าเกิดความคิดหยามเกียรติ
ก่อนหน้านี้มีรูปลักษณ์ดุดันแฝงความชั่วร้าย แต่รูปลักษณ์ในตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง สองปีกที่ทอแสงสีเงินให้ความรู้สึกพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์
ดวงตากลมโตของอสูรศักดิ์สิทธิ์พลันวูบไหว ท่าทางคล้ายสงสัยเป็นอย่างมาก จ้องมองหนิวโหย่วเต้าอยู่ตลอด ให้พวกรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
หยวนกังมองร่างของสตรีตรงหน้าซ้ำไปซ้ำมา ถึงแม้จะแปลกใจกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของอีกฝ่าย แต่ในใจกลับไร้ซึ่งเจตนาชั่วร้าย ยังคงตั้งดาบพาดขวางเฝ้าระวังเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์หรือสตรีร่างเปลือยเปล่า เขาก็ยังจ้องมองอยู่เช่นเดิม
สำหรับเขาแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่เคยพบเห็นผู้หญิงมาก่อน ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ต่อให้น่าดูแค่ไหน ต่อให้เย้ายวนแค่ไหน นั่นก็ยังเป็นปีศาจตนหนึ่ง
ภายในใจของหนิวโหย่วเต้าก็ไร้ซึ่งเจตนาชั่วร้ายเช่นกัน เพราะว่าในเวลาแบบนี้ ต่อให้ดูดีแค่ไหนก็ไม่มีความน่าสนใจอยู่ดี แต่เขาค่อนข้างคิดมาก ดังนั้นจึงค่อนข้างกระอักกระอ่วน รีบเบือนหน้าออกไปทางด้านหนึ่ง ท่าทางคล้ายไม่อยากมองสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร เกรงว่าจะยั่วโทสะอีกฝ่ายจนถูกอีกฝ่ายชกตายในหมัดเดียวเข้า ไม่อาจไปหาเรื่องราชินีปีศาจตนนี้ได้จริงๆ
พอเหลือบไปเห็นท่าทางของหยวนกังที่คล้ายจ้องมองทะลุความงามเข้าไปในกระดูก หนิวโหย่วเต้าจึงกระแอม “แค่กๆ” เล็กน้อยเพื่อเตือนสติ หยวนกังที่แววตาเต็มไปด้วยความระแวดระวังถึงได้เบือนหน้าออกไป แต่กลับยังคงเงี่ยหูฟังด้วยท่าทางระแวดระวัง
“เช่นนั้น…” หนิวโหย่วเต้าเปิดปากพูด แต่ไม่รู้ว่าสมควรเรียกขานอีกฝ่ายอย่างไรดี จะเรียกอสูรศักดิ์สิทธิ์หรือราชินีปีศาจก็ดูไม่ค่อยเหมาะ จึงทำได้เพียงเปลี่ยนคำเรียกไปว่า “ผู้อาวุโส ทางเราไม่มีเจตนาจะล่วงเกินจริงๆ…”
จู่ๆ แสงสีเงินก็พลันดับลงไป ทำให้ชายทั้งสองต้องหันกลับมามองอีกครั้ง
อสูรศักดิ์สิทธิ์หุบปีกสองข้างที่อยู่ด้านหลังเข้าหากัน พับเก็บเข้าไปแล้ว เรือนร่างเปลือยเปล่าดูเย้ายวนยิ่งกว่าเดิม นางเดินเท้าเปล่าเข้ามาหยุดตรงหน้าหนิวโหย่วเต้า ยื่นมือออกไปคว้าเสื้อของหนิวโหย่วเต้าไว้
“…..” หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออก เขาระแวดระวัง เฝ้าระวังขั้นสูงสุด แต่เมื่อดูจากท่าทางของอีกฝ่าย ดูเหมือนจะไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่ไม่ค่อยเข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร “ผู้อาวุโส ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันจริงๆ ไม่มีเจตนาจะล่วงเกินจริงๆ…”
เขาเอ่ยชี้แจงไปเป็นคุ้งเป็นแคว แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายฟังเข้าหูบ้างหรือไม่ ยังเอาแต่จับเสื้อเขาไว้ไม่ปล่อย มองเขาตาแป๋ว ท่าทางดูน่าสงสารเล็กน้อย
หนิวโหย่วเต้ารู้สึกเหมือนที่พร่ำพูดไปนานสองนานไม่มีประโยชน์เลย อสูรศักดิ์สิทธิ์ไม่เอ่ยวาจาแม้แต่ประโยคเดียว เอาแต่มองเขาเงียบๆ เช่นนั้น ราวกับไม่ได้ฟังคำพูด แต่มองเขาพูดแทน
หยวนกังกระชับดาบสามคำรามในมือ ไม่กล้าผลีผลามเช่นกัน
นี่มันหมายความว่ายังไงกัน! อย่าเล่นแบบนี้ได้หรือเปล่า หนิวโหย่วเต้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ สับสนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลองพูดออกไปว่า “หากว่าผู้อาวุโสไม่มีคำสั่งอื่นใดแล้ว พวกเราก็มิบังอาจจะอยู่รบกวนความสงบของผู้อาวุโสอีก พวกเราไปได้หรือยัง?”
อสูรศักดิ์สิทธิ์ยังคงไม่ตอบโต้ใดๆ หนิวโหย่วเต้าค่อนข้างสงสัย เช่นนี้คืออนุญาตให้พวกเราไปแล้ว หรือว่าไม่อนุญาตให้พวกเราไปกันเล่า เจ้าช่วยพูดมาสักประโยคได้หรือเปล่า!
ทั้งสามคนยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเช่นนี้เป็นเวลาพักใหญ่
สุดท้าย หนิวโหย่วเต้าเองหมดหนทางแล้วจริงๆ อีกทั้งมองเจตนาของอีกฝ่ายไม่ออก จึงพยายามประสานมือแล้วเอ่ยว่า “ขอลาก่อน…”
เขาถอยหลังออกไปช้าๆ เฝ้าสังเกตสีหน้าท่าทางของอีกฝ่าย หยั่งเชิงท่าทีของอีกฝ่าย
แต่ที่เลวร้ายคือพอเขาเดินหนึ่งก้าว อสูรศักดิ์สิทธิ์ก็จะเดินตามมาหนึ่งก้าว ยังคงจับเสื้อเขาไว้ไม่ยอมปล่อย ราวกับเขาไปที่ไหนนางก็จะตามไปที่นั่นด้วย
หยวนกังที่มีสีหน้าไร้อารมณ์มาโดยตลอด ยามนี้ใบหน้ากระตุกขึ้นมาเล็กน้อย艾琳小說
ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน? หนิวโหย่วเต้าเหงื่อตกแล้ว “ผู้อาวุโส โปรดชี้แจงด้วย”
ไหนเลยจะมีคำชี้แจงให้ อสูรศักดิ์สิทธิ์ยังคงมองเขาตาแป๋ว
“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?” หยวนกังเอ่ยเสียงขรึม เขาไม่เหมือนหนิวโหย่วเต้า พูดจาค่อนข้างเถรตรง
พอเขาเปิดปากพูดผนวกกับกลิ่นอายจากร่างเขา ดูเหมือนอสูรศักดิ์สิทธิ์จะค่อนข้างกลัวเขา มือยังจับเสื้อหนิวโหย่วเต้าไว้ไม่ปล่อย ทว่าตัวคนกลับไปหลบอยู่ด้านหลังหนิวโหย่วเต้าอย่างอ่อนแอไร้ทางสู้
“……” หยวนกังอ้าปากค้าง คนที่ต่อยเพียงหมัดเดียวก็ทลายหุบเขาได้กลับแสร้งทำตัวอ่อนแออย่างนั้นหรือ?
“…..” หนิวโหย่วเต้าก็พูดไม่ออกเช่นกัน ได้แต่มองหน้าหยวนกัง
แววตาหนิวโหย่วเต้าวูบไหว ค่อยๆ หันหลังไป ทำใจกล้าสบตากับอสูรศักดิ์สิทธิ์ตรงๆ เอ่ยถามไปว่า “เจ้าเป็นใคร?”
ในที่สุดอสูรศักดิ์สิทธิ์ก็มีการตอบสนอง นางส่ายหน้า
หนิวโหย่วเต้าถามต่อ “เจ้าชื่ออะไร?”
อสูรศักดิ์สิทธิ์ยังคงส่ายหน้า
หนิวโหย่วเต้าหันไปสบตากับหยวนกังเล็กน้อย หันกลับมาอีกครั้ง ยื่นมือไปจับเสื้อตนที่ถูกจับไว้ ทดลองดึงออกมาจากมือของอีกฝ่าย
อสูรศักดิ์สิทธิ์ยื่นมือสองข้างออกมาดึงเสื้อไว้ทันที จับเอาไว้แน่น ส่ายหน้าไปมาอยู่ตรงนั้นอย่างน่าสงสาร ไม่ยอมปล่อยมือ
ครึก! หนิวโหย่วเต้ายกมือขึ้น ต่อไหล่ที่หลุดของตนให้กลับเข้าที่ก่อน ไม่อย่างนั้นหากปล่อยไว้เช่นนี้มันทรมานเกินไป หลังจากนั้นจึงเริ่มทดสอบหยั่งเชิงนาง
ผ่านไปพักใหญ่ หนิวโหย่วเต้าและหยวนกังพอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว ก่อนหน้านี้อสูรศักดิ์สิทธิ์ดูค่อนข้างสับสนเลอะเลือน แต่อสูรศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้กลับเป็นเสมือนกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง ดูเหมือนจะจำอะไรไม่ได้เลย
พอถามว่านางได้สังหารอวิ๋นจีหรือไม่ นางก็มีสีหน้ามึนงง
แต่พอมองดูอสูรผีเสื้อที่อยู่รอบๆ พวกมันก็คล้ายว่ายังเคารพเทิดทูนอสูรศักดิ์สิทธิ์ตนนี้อยู่เหมือนเดิม หากไม่ถูกเรียกก็จะไม่ขยับเขยื้อน
สุดท้ายหยวนกังก็ขยับเข้ามาใกล้พลางเอ่ยถาม “เต้าเหยี่ย ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้?
หนิวโหย่วเต้าก็ไม่เข้าใจเช่นกัน เพียงแต่บุรุษตัวโตสองคนมายืนคุยกับสตรีร่างเปลือยเปล่านั้นดูไม่ค่อยเหมาะจริงๆ อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่เปรียบเสมือนกระดาษขาวแผ่นหนึ่งยังคงไม่รู้เรื่องอะไร แต่เขาจะทำตัวไม่รู้เรื่องด้วยไม่ได้ ดังนั้นจึงยกสองมือขึ้นมาปลดเสื้อคลุมตัวยาวของตนออก
อสูรศักดิ์สิทธิ์เหมือนกลัวเขาจะหนีไป พอถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกก็เปลี่ยนเป้าหมายทันที จับเสื้อตัวในของหนิวโหย่วเต้าเอาไว้
ไฉนเจ้าถึงเอาแต่เกาะข้าไว้ไม่ยอมปล่อยกันเล่า? หนิวโหย่วเต้าไม่มีทางเลือก ไม่รู้ว่าราชินีปีศาจตนนี้ซื่อบื้อไปแล้วจริงๆ หรือว่าแสร้งทำ ถึงอย่างไรก็ไม่อาจบุ่มบ่ามได้ เขากางเสื้อคลุมตัวยาวห่มลงบนร่างอสูรศักดิ์สิทธิ์
สองมือของอสูรศักดิ์สิทธิ์ยึดจับเสื้อเขาไว้ไม่ยอมปล่อย ทำให้ไม่สามารถสวมเสื้อคลุมตัวยาวเข้าไปได้
“ใส่เสื้อผ้าก่อนดีหรือไม่?” หนิวโหย่วเต้าชี้อาภรณ์ที่ตนสวม จากนั้นก็ชี้เสื้อคลุมตัวยาวบนร่างนาง
อสูรศักดิ์สิทธิ์ยิ้มสดใสขึ้นมาทันที รอยยิ้มบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ผงกหัวแรงๆ ยอมให้ความร่วมมือกับหนิวโหย่วเต้า สอดสองแขนเข้าไปในแขนเสื้อ ท่าทางเหมือนเจอของแปลกใหม่ ดูอยากรู้อยากเห็นเสียเหลือเกิน
หนิวโหย่วเต้าช่วยจัดเสื้อผ้าให้นาง ผูกสายรัดเอวให้เรียบร้อย เลี่ยงไม่ให้เผยร่างเปลือยเปล่าต่อภายนอก
“ผู้อาวุโส ข้าไม่สนว่าท่านจะเป็นจริงหรือว่าแสร้งทำ แต่พวกเราต้องไปแล้วจริงๆ” หนิวโหย่วเต้ากล่าวกับนางอย่างจริงจัง
แต่ว่าไม่มีประโยชน์เลย ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกไปก็มีแต่เขาพูดอยู่ฝ่ายเดียว ไม่ส่งผลต่ออสูรศักดิ์สิทธิ์เลยแม้แต่น้อย
รูปการณ์กลับกลายเป็นว่า เจ้าไปไหนข้าจะไหนด้วย ยึดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย คอยตามก้นต้อยๆ
….
ภายในป่า หยวนฟางและก่วนฟางอี๋ย้อนกลับมาแล้ว แอบย่องกลับมาเงียบๆ ซ่อนตัวอยู่ในป่า ทอดมองไปทางพระราชวัง พบว่าอสูรผีเสื้อกลุ่มใหญ่ยังคงห้อมล้อมทางนี้อยู่
พอกลับมาจริงๆ พอจะต้องไปพบกับอสูรศักดิ์สิทธิ์เข้าจริงๆ อย่าว่าแต่หยวนฟางเลย แม้แต่ก่วนฟางอี๋เองก็กระวนกระวายขึ้นมา
“กี้ด!”
เสียงร้องใสกระจ่างแว่วออกมาจากในพระราชวัง
ท่ามกลางฝูงอสูรผีเสื้อที่รวมตัวกันอยู่ทั่วสารทิศ มีอสูรโลหิตหลายตัวบินขึ้นไปบนกำแพงพระราชวัง จากแสงที่สาดส่องออกมาจากปีก มองเห็นเงาร่างมนุษย์สามคนปรากฏขึ้นบนกำแพงวัง
“นั่นเต้าเหยี่ย เต้าเหยี่ยยังมีชีวิตอยู่จริงๆ” หยวนฟางชี้ออกไปด้วยความดีใจ
ทั้งสองยืนขึ้นมาจากตำแหน่งที่ซ่อนตัวอยู่ ก่วนฟางอี๋ใช้พลังขยายเสียงให้ดังขึ้น “เต้าเหยี่ย!”
บนกำแพงวัง หนิวโหย่วเต้าและหยวนกังหันมองไปตามเสียง
เสื้อผ้าบนร่างทั้งสองได้รับการผลัดเปลี่ยนแล้ว อสูรศักดิ์สิทธิ์ก็เปลี่ยนไปสวมชุดสตรีแล้วเช่นกัน
พอเอ่ยถึงเรื่องเปลี่ยนเสื้อผ้า มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ทั้งสองไม่อาจเสียเวลากับอสูรศักดิ์สิทธิ์ไปตลอดได้ สุดท้ายด้วยความจนปัญญา หนิวโหย่วเต้าจึงฉีกเสื้อทิ้งแล้ววิ่งหนี อย่างน้อยก็ต้องทดสอบเพื่อสืบหาเจตนาที่แท้จริงของอสูรศักดิ์สิทธิ์
ผลคืออสูรศักดิ์สิทธิ์กางปีกออกมาในทันใด บินตามมา
แต่สิ่งที่ทำให้หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออกสุดๆ คือฝูงอสูรผีเสื้อก็ตามมาด้วย ติดตามไปด้วยกันเช่นนี้ แล้วเขาจะออกจากแดนความฝันได้อย่างไร? ไม่มีทางที่จะออกไปได้เลย
ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงยุติการหลบหนี ได้แต่พร่ำพูดปากเปียกปากแฉะ สื่อสารกับอสูรศักดิ์สิทธิ์ไปช้าๆ สลัดนางทิ้งไม่ได้จริงๆ หากจะให้ลงมือเขาก็ไม่กล้าเช่นกัน
ผลลัพธ์ของการสื่อสารคือพากันกลับเข้าไปในพระราชวังอีกครั้ง ไปพาตัวเฉาเซิ่งไหวมา
ระหว่างที่กลับไปหาเฉาเซิ่งไหวก็ถือโอกาสไปสำรวจวังด้านหลังด้วย ดูว่าพอจะมีเสื้อผ้าอาภรณ์บ้างหรือไม่
การตามหาเสื้อผ้าเป็นเรื่องจำเป็น หนิวโหย่วเต้ามอบเสื้อคลุมตัวนอกให้อสูรศักดิ์สิทธิ์ไป แต่ผู้ใดจะคิดว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์กลับกางปีกออกมา ทำให้เสื้อคลุมตัวนอกทะลุเป็นรูทันที หนิวโหย่วเต้าไม่มีเสื้อคลุมตัวนอกแล้ว อสูรศักดิ์สิทธิ์สวมเพียงเสื้อคลุมตัวนอกขาดรุ่งริ่ง หยวนกังก็เปลือยท่อนบน ไม่สามารถออกไปพบปะผู้คนได้
พอออกค้นหา ผลสุดท้ายก็พบว่ามีเสื้อผ้าจำนวนมากถูกเก็บเอาไว้ในตำหนักจริงๆ ล้วนเป็นอาภรณ์อย่างดีที่ตัดเย็บจากวัสดุชั้นเลิศ เป็นอาภรณ์แพรปีกจักจั่นที่สร้างจากไหมชั้นดี ถึงแม้จะเก็บเอาไว้นานหลายร้อยปีก็ยังสวมใส่ได้ไม่มีปัญหา
ไม่นานนัก ก่วนฟางอี๋และหยวนฟางก็ทะยานมาถึงกำแพงวัง ทั้งสองฝ่ายที่แยกจากกันไปได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งบนกำแพงของพระราชวัง
ภายใต้แสงดาว หนิวโหย่วเต้าอมยิ้มเล็กน้อย มือหนึ่งค้ำกระบี่ อีกมือเล่นไข่มุกสีทองเม็ดหนึ่ง เป็นมุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์นั่นเอง
ขอบตาก่วนฟางอี๋แดงก่ำ เกิดความรู้สึกอยากจะวิ่งโผเข้าไปกอด แต่สุดท้ายก็ระงับอารมณ์ไว้ รู้สึกตื้นตันจนพูดไม่ค่อยออก
หนิวโหย่วเต้าเองก็แปลกใจอย่างมากเช่นกัน ไม่คิดเลยว่าสตรีนางนี้รับการโจมตีอันทรงพลังจากอสูรศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วจะยังรอดมาได้ แล้วก็ไม่คาดคิดเลยว่าทั้งสองคนจะย้อนกลับมา เขากำลังคิดจะส่งอสูรผีเสื้อออกไปค้นหาพอดี
“เต้าเหยี่ย หยวนเหยี่ย!” หยวนฟางกระโดดโลดเต้นหัวเราะดังฮ่าๆ ดีใจเป็นอย่างยิ่ง ขอเพียงสองคนนี้ยังอยู่ เขาก็สบายใจแล้ว เชื่อมั่นว่าจะรอดชีวิตออกไปได้
หลังจากความตื่นเต้นผ่านพ้นไป หยวนฟางและก่วนฟางอี๋ถึงสังเกตเห็นว่ามีคนเพิ่มขึ้นมา นอกจากเฉาเซิ่งไหวที่สลบอยู่ ยังมีสตรีท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสาคนหนึ่งที่ยื่นมือมาจับเสื้อหนิวโหย่วเต้าไว้ตลอดไม่ยอมปล่อย ทำให้คนมองแล้วไม่เข้าใจ
หนิวโหย่วเต้ามองตามสายตาของทั้งสองคนไป ได้แต่ทอดถอนใจ เขาเองก็จนปัญญาเช่นกัน นางจับไม่ยอมปล่อยเลย!
………………………………………………………..