ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 486 สับสน
ตอนที่ 486 สับสน
ณ โรงเตี๊ยม ก่วนฟางอี๋เดินวนกลับไปกลับมาอยู่ในห้องของหนิวโหย่วเต้า เดินไปชะเง้อคอมองออกไปนอกหน้าต่างเป็นระยะ
เหตุการณ์ช่วงที่หนิวโหย่วเต้าจะออกไปไม่อาจเล็ดรอดสายตานางไปได้ ตอนโผล่พ้นประตูออกมานางก็ตามออกมาด้วย ถามว่าหนิวโหย่วเต้าจะไปไหน หนิวโหย่วเต้าไม่บอกและไม่ให้นางตามไปด้วย ในมุมมองของนาง หนิวโหย่วเต้าทำตัวมีลับลมคมนัย แสดงว่าต้องมีเรื่องใดปิดบังตนอยู่แน่นอน จึงเฝ้ารออยู่ในห้องพักของหนิวโหย่วเต้ามาตลอด
ส่วนเรื่องที่ว่าเป็นสตรีแล้วเอาแต่มาขลุกอยู่ในห้องพักของบุรุษคนหนึ่งจะส่งผลกระทบต่อเชื่อเสียงหรือไม่ นางไม่ได้แยแสเลย เดิมทีก็มีชื่อเสียงลื่อเลืองอยู่แล้ว ช่วงหลายปีมานี้ค้างคืนกับบุรุษไม่ซ้ำหน้าจนเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว ไหนเลยจะกลัวเรื่องนี้ได้ ปกติแล้วล้วนเป็นฝ่ายบุรุษที่จะหลบเลี่ยงกลัวเสียชื่อเสียงเพราะนาง
ระหว่างที่เดินวนไปวนมา ก็มีเสียงฝีเท้าแว่วออกมาจากเฉลียงทางเดินด้านนอก เข้ามาใกล้ทางด้านนี้ หยวนกังพลันเปิดประตูนำทางเข้ามา หนิวโหย่วเต้าอุ้มคนผู้หนึ่งตามเข้ามา เป็นอิ๋นเอ๋อร์
บนใบหน้าของอิ๋นเอ๋อร์มีคราบเลือดเด่นชัด แอบอิงอยู่ในอ้อมอกของหนิวโหย่วเต้าเหมือนลูกแมวน้อยตัวหนึ่ง ท่าทางอ่อนแอ เห็นได้ชัดว่าบาดเจ็บสาหัส
ก่วนฟางอี๋แปลกใจ เอ่ยถามไป “เกิดอะไรขึ้น?”
หนิวโหย่วเต้าวางอิ๋นเอ๋อร์ลงบนเตียง ยามที่ลุกขึ้นมาอิ๋นเอ๋อร์ยื่นมือข้างหนึ่งมาคว้าเสื้อเขาไว้ไม่ยอมปล่อย แววตาอ่อนระโหย ดูน่าสงสารนัก
“ไม่ไปไหนหรอก” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยปลอบ ฝืนแกะนิ้วของนางออก กดมือของนางที่ยกขึ้นมาลงไป สุดท้ายก็เอ่ยขู่ว่า “หากยังดื้ออีก ข้าไม่เอาเจ้าแล้วนะ”
หากเป็นก่อนหน้านี้เขาคงจะไม่กล้าแข็งกร้าวกับนางเช่นนี้
ครั้งนี้อิ๋นเอ๋อร์ปล่อยมือลงอย่างว่าง่าย แต่สายตากลับจ้องหนิวโหย่วเต้าเขม็ง ราวกับกลัวว่าหนิวโหย่วเต้าจะหนีไป
“เฮ้อ!” หนิวโหย่วเต้ายืดตัวขึ้นพลางถอนหายใจ
ก่วนฟางอี๋ถามอีกครั้ง “นางเป็นอะไรไป?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ดูเอาเองสิ ถูกคนทำร้ายมา”
“ห๊า?” ก่วนฟางอี๋ตกใจมาก “ใครกันที่แข็งแกร่งขนาดนั้น ทำร้ายนางได้อย่างหรือ?”
หยวนกังเองก็ตกใจอย่างมากเช่นกัน แต่พอจะมีเป้าหมายที่น่าสงสัยรางๆ แล้ว เนื่องจากหนิวโหย่วเต้าออกไปพบจ้าวสยงเกอมา
“อย่าพูดเรื่องนี้เลย” หนิวโหย่วเต้าโบกมือ ไม่สะดวกจะเล่าเรื่องนี้เช่นกัน มิเช่นนั้นเขาคงจะพาก่วนฟางอี๋ไปพบจ้าวสยงเกอด้วยกันแล้ว
คนที่ทำร้ายอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้ย่อมไม่ธรรมดา คนอยากรู้อยากเห็นอย่างก่วนฟางอี๋จะทนไหวได้อย่างไร ยังคงซักไซ้ไม่ยอมเลิกรา “ไม่เอา บอกมาเดี๋ยวนี้”
หนิวโหย่วเต้าเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าดูแคลนตัวเอง “จ้าวสยงเกอ”
“นี่…” ก่วนฟางอี๋ผงะไป จากนั้นก็แสดงสีหน้าเหลือจะเชื่อ “จ้าวสยงเกอมาแล้วหรือ? เจ้าไปพบเขามาหรือ? พลังของจ้าวสยงเกอแกร่งกล้าถึงขั้นนี้เชียวหรือ? สามารถทำร้ายนางได้?” นางหันกลับไปมองอิ๋นเอ๋อร์ นึกถึงตอนที่นางรอดชีวิตมาได้ รีบถามออกไปว่า “จ้าวสยงเกอบาดเจ็บหรือตายไปแล้ว?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “เขายังอยู่ดี ไหนเลยจะประสบเหตุอันใด”
ก่วนฟางอี๋ไม่อยากเชื่อ “เป็นไปได้อย่างไร?”
นางเคยประมือกับอสูรศักดิ์สิทธิ์มาก่อน นางมีเหตุผลที่ทำให้เชื่ออยู่ ขนาดจ้าวสยงเกอเองยังต้องกริ่งเกรงยันต์กระบี่สวรรค์ของนางอยู่สามส่วน แต่อิ๋นเอ๋อร์ที่อยู่เบื้องหน้าคือคนที่เมินเฉยต่อยันต์กระบี่สวรรค์ได้ แล้วจ้าวสยงเกอจะเป็นคู่ต่อสู้ของคนผู้นี้ได้อย่างไร
หากเป็นก่อนหน้านี้หนิวโหย่วก็คงไม่เชื่อเช่นกัน แต่ความเป็นจริงได้พิสูจน์เรื่องนี้แล้ว หากมิใช่เพราะเรื่องพลังปีศาจที่จ้าวสยงเกอเอ่ยถึงที่ทำให้เขาพอจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา ครั้งนี้ขาก็คงจะฉวยโอกาสสังหารอิ๋นเอ๋อร์เพื่อตัดปัญหาไปแล้ว
ในขณะที่กำลังจะสังหารอิ๋นเอ๋อร์ อิ๋นเอ๋อร์ไม่มีกำลังพอจะขัดขืนเลย หลังจากทดสอบดูแล้ว มันก็ทำให้เขาเข้าใจเรื่องราวบางอย่างขึ้นมาอย่างแท้จริง
อสูรศักดิ์สิทธิ์ตนนี้มิได้เสแสร้ง หากแต่ไม่มีพลังเหมือนตอนอยู่ในรูปลักษณ์ปีศาจร้ายก่อนหน้านี้แล้วจริงๆ น่าจะเกี่ยวข้องกับการที่เขาสลายปราณปีศาจประหลาดภายในร่างของอสูรศักดิ์สิทธิ์ไป แล้วก็เป็นเพราะเรื่องพลังปีศาจที่จ้าวสยงเกอเอ่ยถึง เขาถึงได้เข้าใจขึ้นมา
ความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนต่อราชินีปีศาจที่อ่อนแอไร้เดียงสาในช่วงที่ผ่านล้วนเป็นเขาที่ตื่นตูมไปเอง
อิ๋นเอ๋อร์ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนเลย เป็นพวกเขาต่างหากที่คิดซับซ้อนไปเอง
อีกฝ่ายไม่ได้แสร้งทำตัวไร้เดียงสา แต่นางจดจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ ตอนที่เพิ่งถูกปลดปล่อยออกมาจากศูนย์กลางของค่ายกลก็เห็นได้ชัดว่าความทรงจำมีปัญหา หลังจากสลายพลังปีศาจกลายร่างเป็นมนุษย์ก็เปรียบเสมือนกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง
หลังจากไม่มีภัยคุกคามความปลอดภัยแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นซางซ่งก็ดีหรือหลีเกอก็ช่าง เหตุใดต้องกักขังราชินีปีศาจตนนี้ไว้ในศูนย์กลางของค่ายกลด้วย? นี่เห็นได้ชัดเจนว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดที่หลงเข้าสู่ค่ายกลแล้วต้องการหาทางออก ก็ล้วนแต่ต้องปลดปล่อยราชินีปีศาจออกมาทั้งสิ้น เท่ากับว่าต้องการให้ราชินีปีศาจตนนี้ได้มีชีวิตใหม่
แล้วซางซ่งหรือว่าหลีเกอทำเช่นนี้ด้วยจุดประสงค์ใด?
คำถามนี้ทำให้คนยากจะเข้าใจได้จริงๆ ซางซ่งและหลีเกอไม่ได้ให้คำตอบไว้ แต่เขาคาดเดาได้รางๆ ว่าคำตอบน่าจะอยู่ที่ตัวของราชินีปีศาจตนนี้ แต่ราชินีปีศาจตนนี้จำอะไรไม่ได้เลย ความทรงจำจะฟื้นฟูกลับมาหรือเปล่า?
ค่ายกล สุสานโบราณ คันฉ่อง ค่ายกลในแดนความฝันผีเสื้อ ราชินีปีศาจที่ถูกผนึกอยู่ในศูนย์กลางของค่ายกล ซางซ่งทำลายฟ้า สองสามีภรรยาไปที่ไหนแล้ว? เพราะเหตุใดเขากับเจ้าลิงจึงเดินทางข้ามผ่านสุสานโบราณมายังโลกนี้? ดูเหมือนทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน
มีเพียงคนที่ไขปริศนาคันฉ่องได้ถึงจะได้ฝึกฝนเคล็ดวิชามหาจักรวาล ขณะเดียวกันก็ต้องตามหาพระราชวังในแดนความฝันให้พบด้วย และหลังจากได้ฝึกฝนเคล็ดวิชามหาจักรวาล ก็จะสามารถขจัดปราณปีศาจประหลาดในร่างของอสูรศักดิสิทธิ์ได้พอดี เห็นได้ชัดว่ามิใช่เรื่องบังเอิญ
ทุกเรื่องราวนี้เขาตระหนักได้อย่างชัดเจนแล้วว่าราชินีปีศาจตนนี้ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่มีเงื่อนไขสอดคล้องกับเรื่องราวทั้งหมด ซึ่งก็คือเตรียมไว้สำหรับเขานั่นเอง
อิ๋นเอ๋อร์ไม่มีทางกลายเป็นภัยคุกคามเขา เขาสามารถสลายปราณปีศาจประหลาดใด ในแง่หนึ่งแล้วก็คือเขาสามารถควบคุมอิ๋นเอ๋อร์ได้
เมื่อปะติดปะต่อเรื่องเหล่านี้ได้ เขาก็ไม่สามารถลงมือสังหารอิ๋นเอ๋อร์ได้อีก
หากไม่ใช่เพราะมีอวิ๋นจีเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วก็ยังบุ่มบ่ามลงมือ คาดว่าตัวเขาคงได้เผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านี้ตั้งแต่แรกแล้ว
“มีอะไรเป็นไปไม่ได้ล่ะ? อีกฝ่ายมีประสบการณ์ต่อสู้มากกว่านาง” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเฉไฉกลบเกลื่อนไป
เขาไม่ได้บอกให้รู้ว่าอิ๋นเอ๋อร์ในปัจจุบันนี้สามารถรังแกได้ง่ายๆ หากปล่อยให้นางทราบเข้า นางไม่มีทางยอมให้อิ๋นเอ๋อร์รั้งอยู่ข้างกายแน่นอน เก็บไว้ใกล้ตัวมีแต่จะชักนำปัญหาเข้ามาได้ง่ายๆ เขายังหาทางคลายปัญหาซับซ้อนที่แฝงอยู่ในเรื่องราวไม่ได้ จึงไม่สะดวกจะเปิดเผยความลับที่เกี่ยวข้องถึงชีวิตทั้งสองชาติของเขา
ก่วนฟางอี๋มีสีหน้าคลางแคลง เห็นได้ชัดว่ามีข้อสงสัย
หนิวโหย่วเต้าเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาไป เอ่ยถามว่า “ทางนั้นเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วหรือ?”
ก่วนฟางอี๋ตอบว่า “เรียบร้อยแล้ว พร้อมลงมือได้ทุกเมื่อ จะให้ลงมือตอนนี้เลยไหม?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ดึกสงัดปลอดคน ดึงดูดความสนใจคนได้ง่าย เขาเองก็ไม่สะดวกจะหลบหนีไปเช่นกัน เมืองวั่นเซี่ยงไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะจะลงมือ รอเช้าวันพรุ่งนี้เถอะ”
ก่วนฟางอี๋พยักหน้ารับ เอ่ยถามต่อว่า “จ้าวสยงเกอมาพบเจ้าด้วยเรื่องใด”
หนิวโหย่วเต้าตอบด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ยังจะมีเรื่องใดได้เล่า ไม่พ้นไปจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์”
“เจ้าตอบตกลงแล้วหรือ?”
“เปล่า เพียงขายผ้าเอาหน้ารอดไปชั่วคราวก่อน”
พอเอ่ยถึงจ้าวสยงเกอ ก่วนฟางอี๋จำต้องเอ่ยถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา “สรุปแล้วเขามีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับลุงเฉินกันแน่?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “เขาไม่ได้เล่าอย่างชัดเจน แต่เท่าที่ข้าฟังจากคำพูดของเขามา ดูเหมือนจะเป็นคนที่คนรักเก่าสักคนของเจ้าส่งมาคอยปกป้องเจ้า”
ก่วนฟางอี๋กลอกตาใส่ทีหนึ่ง “จริงจังหน่อยได้ไหม”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวไปว่า “ข้าไม่ได้ล้อเจ้าเล่น”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยว่า “คนรักเก่าของข้ามีมากมายจนตัวข้าเองก็จำได้ไม่หมดแล้ว ได้บอกหรือไม่ว่าเป็นคนไหน?”
“มากจนตัวเจ้าเองก็จำได้ไม่หมด?” หนิวโหย่วเต้าผงะไป จากนั้นก็ยกนิ้วโป้งให้นาง มีเจตนาจะชื่นชมนาง ก่อนจะส่ายหน้าเอ่ยไปว่า “ไม่ได้บอก แต่ข้าเดาว่าเป็นคนของนิกายมาร เจ้าลองคิดดูสิว่ามีผู้ใดที่เข้าเค้าที่สุด ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่าเป็นผู้ใด”
“นิกายมารอย่างนั้นหรือ?” ก่วนฟางอี๋ใคร่ครวญทบทวนอย่างเงียบๆ ครุ่นคิดอยู่นาน ก็เอ่ยอย่างไม่ค่อยเข้าใจว่า “พอว่ามาแบบนี้ มันก็วิเคราะห์ได้ยากจริงๆ หลังจากนิกายมารประสบความสูญเสียอย่างหนัก สมาชิกในนิกายล้มหายตายจากไปมากมาย ใครจะไปรู้ได้ว่าผู้ใดคือคนของนิกายมาร แล้วผู้ใดไม่ใช่คนของนิกายมาร”艾琳小說
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “คนที่ทำให้จ้าวสยงเกอไปมาหาสู่ได้ ซ้ำยังทำให้จ้าวสยงเกอเลี่ยงไม่ยอมพูดถึงได้ ตำแหน่งในนิกายมารน่าจะไม่ต่ำต้อยเลย เจ้าควรมุ่งเน้นไปยังสมาชิกระดับสูงของนิกายมารแล้วนึกดูให้ดีๆ ก่อนที่ลุงเฉินจะมาหาเจ้า เจ้าสนิทชิดใกล้กับผู้ใดบ้าง อย่างเช่นคนที่เคยมีสัมพันธ์ชายหญิงกันมาก่อน ลองคิดดูว่ามีหรือไม่”
ก่วนฟางอี๋ตอบว่า “อย่าว่าแต่สามสิบปีก่อนเลย ต่อให้เป็นสมาชิกระดับสูงของนิกายมารในปัจจุบันนี้ข้าก็เพียงเคยได้ยินข่าวลือมาเท่านั้น ไม่เคยพบเลยสักคน แล้วข้าจะนึกเชื่อมโยงไปถึงได้อย่างไร?”
หยวนกังหันมองออกไปด้านข้าง รับไม่ได้ที่ทั้งสองคนนำเรื่องสัมพันธ์สวาทชายหญิงออกมาคุยกันด้วยท่าทีสบายๆ
หนิวโหย่วเต้าลูบคาง พึมพำด้วยความอยากรู้ “เป็นผู้ใดกันแน่?”
“นี่ เรื่องนี้เป็นเจ้าคาดเดาเอาเองหรือว่าจ้าวสยงเกอบอกมาชัดเจนว่าเป็นคนในนิกายมาร?”
“เขาก็ไม่ได้บอกหรอกว่าเป็นคนในนิกายมาร บอกเพียงว่าลุงเฉินเคยเป็นคนในนิกายมาร แต่ภายหลังได้ออกจากนิกายมาร…” หนิวโหย่วเต้าบอกเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ที่รับฟังมาจากวาจาของจ้าวสยงเกอ
ก่วนฟางอี๋ฟังแล้วมีสีหน้าเปี่ยมด้วยความดูแคลน เอ่ยอย่างไม่เชื่อถือว่า “เจ้าเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า หรือไม่ก็จ้าวสยงเกอเอาเรื่องข้ามาหลอกเย้าเจ้าเล่น หากเป็นบุรุษที่มีรักลึกซึ้งต่อข้าถึงเพียงนี้จริง ไยถึงปล่อยให้ข้าข้องแวะกับบุรุษมากหน้าหลายตาในเมืองหลวงแคว้นฉีไดเล่า? หากมีอำนาจถึงเพียงนั้น ไยไม่รับตัวข้าไปเสียแต่เนิ่นๆ”
“ก็ถูกของเจ้า…” หนิวโหย่วเต้าพึมพำ
นี่ก็เป็นปมที่เขาไม่เข้าใจเช่นกัน จากเบาะแสในบางแง่มุมพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนแล้วว่าคนผู้นั้นที่อยู่เบื้องหลังลุงเฉินมีอำนาจไม่เบาเลย มิใช่คนกระจอกงอกง่อย
ยิ่งคิดเรื่องนี้ก็ยิ่งรู้สึกขัดแย้งขึ้นเรื่อยๆ หาคำตอบไม่ได้ ได้แต่พักเอาไว้ก่อนชั่วคราว
หลังจากก่วนฟางอี๋ออกจากห้องไป หยวนกังพยักเพยิดไปทางอิ๋นเอ๋อร์ที่อยู่บนเตียง เอ่ยถามไปว่า “ถูกจ้าวสยงเกอทำร้ายจริงๆ หรือ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบอืม เล่าเรื่องราวตามจริงให้เขาฟัง รวมถึงเหตุผลที่ตนพากลับมาด้วย
หยวนกังขมวดคิ้วแน่น ตกอยู่ในความสับสนเช่นกัน…
….
“หนิวโหย่วเต้าคนไหน?”
“ยังจะมีหนิวโหย่วเต้าคนไหนได้อีก ก็คนจากแคว้นเยี่ยนผู้นั้นอย่างไรเล่า เมื่อวานข้าเห็นกับตาว่าออกมาจากแดนความฝันพร้อมกับหลานชายของผู้อาวุโสเฉาแห่งสำนักหมื่นสรรพสัตว์คนนั้น”
เสียงสนทนาแว่วเลือนรางมาจากเฉลียงทางเดินแล้วห่างออกไป ลู่เซิ่งจงที่นั่งสมาธิอยู่บนเตียงพลันลืมตาขึ้นมาทันที
เขากระโดดลงจากเตียงอย่างแผ่วเบา เดินมาที่หน้าต่าง ผลักให้เปิดแง้มเป็นช่องเล็กน้อย มองสำรวจด้านนอกครู่หนึ่ง
ฟ้าสว่างรำไร บนถนนมีผู้คนทยอยออกมาเดินสัญจรขวักไขว่
เขาหันกลับไปปรับเปลี่ยนใบหน้าอย่างรวดเร็ว เก็บข้าวของลวกๆ แล้วเปิดประตูเดินออกไป ออกจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้ คอยระแวดระวังรอบข้างไปตลอดทาง
หนิวโหย่วเต้ากับเฉาเซิ่งไหวออกมาด้วยกันหมายความว่าอย่างไรกัน? ข่าวลือเหลวไหลหรือ? แต่เหตุใดข่าวลือเหลวไหลถึงบังเอิญเชื่อมโยงสองคนนี้เข้าด้วยกันเล่า?
เขาไม่รู้ว่าเฉาเซิ่งไหวได้ลงมือกับหนิวโหย่วเต้าหรือไม่ แต่เขากลับรับรู้ได้ถึงอันตรายแล้ว
เนื่องจากเรื่องนี้อาจมีความเป็นไปได้อีกอย่างคือ ทั้งสองคนรวมหัวร่วมมือกันแล้ว
ด้วยความสามารถของหนิวโหย่วเต้า มีโอกาสจะเป็นเช่นนั้นแน่นอน
หากเป็นเช่นนี้ เฉาเซิ่งไหวจะบอกความจริงให้หนิวโหย่วเต้าทราบหรือไม่?
หนิวโหย่วเต้าเป็นคนเช่นไรเขาทราบแจ่มแจ้งดี หากได้รับความร่วมมือจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์อีก ตนรั้งอยู่ในเมืองวั่นเซี่ยงต่อไปจะอันตรายอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ตอนนี้เขาก็ต้องหลบเลี่ยงภัยไปก่อน เอาตัวรอดให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน
เขาออกจากเมือง หลบเลี่ยงสถานที่โล่งแจ้ง มุ่งตรงเข้าสู่ป่าเขารกทึบเพื่ออำพรางตัว จันทร์เสี้ยวยังคงลอยอยู่ริมขอบฟ้า
ขณะที่เพิ่งจะเข้ามาในภูเขา พลันมองเห็นแสงกองไฟลุกโชน บนเนินเขาเล็กๆ ที่อยู่เยื้องไปทางขวามีกองไฟถูกจุดไว้กองหนึ่ง ทำให้เขามองเห็นผู้ที่นั่งอยู่ข้างกองไฟอย่างชัดเจน
หนิวโหย่วเต้าถือกิ่งไม้ท่อนหนึ่งไว้คอยเขี่ยกองไฟ เขาหันมามองคนที่บุกเข้ามาอย่างกะทันหันพลางส่งยิ้มน้อยๆ ให้ รอยยิ้มดูลึกลับและแปลกพิกล
…………………………………………………………………