ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 487 งานชุมนุมสัตว์วิเศษถูกยกเลิก
ตอนที่ 487 งานชุมนุมสัตว์วิเศษถูกยกเลิก
ใบหน้านี้ช่างคุ้นเคยนัก สำหรับลู่เซิ่งจงแล้ว นี่เรียกได้ว่าไม่ทันตั้งตัวเลย จิตใจสั่นสะท้านตื่นตระหนก
แต่เขายังคงรักษาความเยือกเย็นไว้ได้ โอบกอดเสี้ยวความหวังไว้ แสร้งทำเป็นไม่รู้จักแล้วเหินทะยานต่อไป
“ลู่ซยง พบหน้ากันแล้วไยทำเหมือนไม่รู้จักเล่า?” หนิวโหย่วเต้าใช้พลังขยายเสียงให้ดังก้องขึ้น
ลุงเฉินปรากฏตัวขึ้นในป่า ขวางทางของลู่เซิ่งจงเอาไว้ บีบให้ลู่เซิ่งจงต้องร่อนลงพื้น
การตอบสนองของอีกฝ่ายว่องไวเป็นยิ่งนัก ลู่เซิ่งจงเพียงมองดูก็รู้แล้วว่าตนมิใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายเลย คำว่า ‘ลู๋ซยง’ ที่หนิวโหย่วเต้ากล่าวออกมาได้พิสูจน์ให้เห็นว่าหนิวโหย่วเต้าเตรียมตัวมาแล้ว พุ่งเป้ามาหาเขา เขาพาตัวเองเข้ามาติดกับ หนีไปไหนไม่รอดแล้ว
เหตุผลที่เขาแปรพักตร์อย่างต่อเนื่องก็เพราะเขารู้จักปรับตัวตามสถานการณ์
ครั้งนี้ก็ยังคงมองสถานการณ์ออกเช่นเคย หนิวโหย่วเต้าออกโรงด้วยตัวเองไหนเลยจะยอมปล่อยเขาหนีไปได้? ดังนั้นจึงไม่ดิ้นรนขัดขืนอย่างไร้ประโยชน์ให้เจ็บตัวเปล่า
ด้านหน้ามีลุงเฉินยืนอยู่บนยอดไม้ด้วยสีหน้าเย็นชา ลู่เซิ่งจงค่อยๆ หันหลังกลับ มองหนิวโหย่วเต้าที่นั่งเขี่ยกองไฟบนเนินเขาอย่างไม่อนาทรร้อนใจ
เขาดีดตัวขึ้นมา เหินทะยานแล้วร่อนลงข้างกองไฟ นั่งขัดสมาธิลงไป เผชิญหน้ากับหนิวโหย่วเต้าโดยมีกองไฟคั่นกลาง เขาปลดใบหน้าปลอมออกจากหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “เต้าเหยี่ย บังเอิญนัก”
มาถึงตอนนี้แล้ว มีหรือจะไม่รู้ว่าบทสนทนาที่ได้ยินในโรงเตี๊ยมนั้นเป็นการเจตนาพูดเพื่อให้เขาได้ยิน ตั้งใจแหวกหญ้าให้งูตื่น บีบให้เขาออกจากเมืองวั่นเซี่ยง เนื่องจากไม่สะดวกจะลงมือในเมืองวั่นเซี่ยง แต่สิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวอย่างแท้จริงคืออีกฝ่ายคำนวณได้ว่าหลังออกจากเมือง เขาจะมุ่งหน้ามาทางนี้ จึงมาดักรอเขาอยู่ที่นี่ นี่แปลว่าอีกฝ่ายเดาทางเขาออก
“ใช่ บังเอิญจริงๆ” หนิวโหย่วเต้าเงยหน้าขึ้นมา “ไม่ได้ยินข่าวคราวเจ้าเสียนาน นึกว่าเจ้าตายด้วยน้ำมือเซ่าผิงปอเสียแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะได้พบเจ้าที่นี่ ถึงอย่างไรก็เป็นคนรู้จักเก่าก่อน มาแล้วก็ไม่รู้จักมาทักทาย ไร้น้ำใจเกินไปแล้วกระมัง”艾琳小說
ลู่เซิ่งจงเอ่ยว่า “ท่านหาตัวข้าพบได้อย่างไร? เพราะเฉาเซิ่งไหวหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าโบกมือไปในทิศทางหนึ่ง โหวฉิงเทียนปรากฏตัวออกมาจากป่า
พอลู่เซิ่งจงหันไปเห็นก็พูดไม่ออกอย่างสิ้นเชิง ผ่านไปพักใหญ่ถึงจะหันกลับมา เอ่ยถามด้วยความหดหู่ “พวกเขาเป็นคนของท่านหรือ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “นับว่าใช่กระมัง จูเจียง ฮ่าๆ นี่ล้วนเป็นความบังเอิญทั้งสิ้น เจ้าดวงซวยจริงๆ”
ลู่เซิ่งจงเงยหน้ามองฟ้าพลางถอนหายใจยาวๆ “กล่าวได้เพียงว่าข้าโชคไม่ดี”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ไหนเลยจะมีโชคมากมายปานนั้น ต่อให้ไม่มีเรื่องนี้ เจ้าคิดหรือว่าให้เฉาเซิ่งไหวมาจัดการข้าแล้วเจ้าจะรอดตัวไปได้? อันที่จริงในใจเจ้าก็ตระหนักได้แล้ว รู้ว่าเฉาเซิ่งไหวอาจจะสู้ข้าไม่ได้ เนื่องด้วยเหตุผลนี้จึงปลอมตัวเป็นจูเจียง วางแผนเพิ่มไปอีกชั้น หากว่ามีความมั่นใจจริงๆ ไหนเลยจะต้องเพิ่มอุบายนี้เข้าไปอีก เจ้าคิดว่าต่อให้เฉาเซิ่งไหวทำพลาดก็ไม่มีทางรู้ว่าเจ้าเป็นใครอยู่ดี ข้าก็คงเดาไม่ถูกเช่นกันว่าเป็นฝีมือของผู้ใดใช่หรือไม่? ยังไม่ต้องพูดเรื่องล่อเจ้าออกมาเลย ขอเพียงเจ้ายังอยู่ในเมืองวั่นเซี่ยง เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถให้สำนักหมื่นสรรพสัตว์ดักสกัดประตูไว้ได้ทุกเมื่อ คัดกรองหาตัวเจ้าออกมาได้ปานร่อนตะแกรง มีวิธีบีบคั้นให้เจ้าปรากฏตัวออกมา เจ้าคิดว่าเจ้าจะหนีรอดไปได้อย่างนั้นหรือ?”
เขาโยนกิ่งไม้ในมือเข้ากองไฟ “ผิดที่ตัวเจ้าเอง อย่าได้กล่าวโทษโชคดวงอันใดเลย ไหนลองว่ามาซิ เซ่าผิงปอมอบความกล้าให้เจ้ามากขนาดไหน เจ้าถึงได้กล้าบุกมาสร้างปัญหาให้ข้าตามลำพังได้”
“ข้าก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ข้าสงสัยว่าข้าจะถูกพิษ ‘โอสถเทพระทม’ ของหอจันทร์กระจ่างเข้าแล้ว…” ลู่เซิ่งจงเล่าเรื่องราวที่ประสบมารวมถึงสาเหตุที่ทำให้ตนหมดทางเลือกออกมาด้วยสีหน้าขมขื่น
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ลำบากเจ้าเสียแล้ว”
ลู่เซิ่งจงเอ่ยว่า “หากท่านหาทางแก้พิษให้ข้าได้ ข้าสามารถกลับไปเป็นสายลับข้างกายเซ่าผิงปอให้ท่านได้ ทำคุณไถ่โทษ”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าลงมือกับข้าแล้วยังจะได้รอดกลับไปอย่างปลอดภัยอีกหรือ เซ่าผิงปอจะยอมเชื่อเจ้าง่ายๆ หรือ? มองจากที่เขาส่งเจ้ามาลงมือคนเดียวก็แปลว่าเขาพร้อมสละเจ้าทิ้งแล้ว หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะตรงมาหาข้าแล้วบอกเล่าเรื่องราวแต่แรก มิใช่รอจนก่อเรื่องขึ้นมาแล้วค่อยพูด ทำงานพลาดแล้วยังจะมาพูดเรื่องยาถอนพิษอันใดอีก เรื่องยาถอนพิษข้าน่าจะขอมาจากทางหอจันทร์กระจ่างได้ แต่เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่ามาพูดเอาตอนนี้ก็ออกจะสายไปเสียหน่อยแล้ว?”ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
พอได้ยินว่าเขาสามารถหายาถอนพิษมาได้ ลู่เซิ่งจงก็มีตื่นตัวขึ้นมาทันที “ต่อให้ข้าไม่สามารถกลับไปอยู่ข้างกายเซ่าผิงปอได้ แต่ข้ายังช่วยจัดการเรื่องอื่นให้ท่านได้ ท่านมารอพบข้าด้วยตัวเองก็เพราะยังมีช่องให้เจรจากันได้มิใช่หรือ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้าจะให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง ให้เจ้ารับหนึ่งฝ่ามือจากข้า หากว่าสามารถรอดชีวิตไปจากที่นี่ได้ ก็ให้กลับไปพบข้าที่เมืองวั่นเซี่ยง”
“….” ลู่เซิ่งจงตะลึงงัน
ทั้งสองสบตากันโดยมีกองไฟคั่นกลาง ทันใดนั้นเอง ร่างของทั้งสองคนขยับแทบจะพร้อมเพรียงกัน ทั้งสองฝ่ายต่างซัดฝ่ามือเข้าไปในกองไฟ สะเก็ดไฟพุ่งกระจายไปทั่วทิศ
เกิดเสียงดังปัง หนิวโหย่วเต้าก้าวออกมาจากแสงไฟ สีหน้าสงบนิ่ง
ลู่เซิ่งจงซวนเซถอยกรูดไถลลงเนินเขาไป โลหิตไหลซึมมุมปาก มองหนิวโหย่วเต้าด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ ไม่คิดเลยว่าสภาวะของผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นหลังอย่างหนิวโหย่วเต้าจะล้ำหน้าเขาไปแล้ว แต่สิ่งที่เขาตกใจยิ่งกว่าคือฝ่ามือที่เขาทุ่มพลังทั้งหมดซัดเข้าปะทะกับฝ่ามือหนิวโหย่วเต้ากลับไม่ส่งผลใดๆ เลย
แต่ปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรงยิ่งกว่ากลับเกิดขึ้นมาในร่างของเขา ความร้อนระอุและหนาวยะเยือกสองสายเคี่ยวกรำอยู่ภายในร่าง ทำให้เขาต้องระดมพลังเข้าสกัดต้าน
หนิวโหย่วเต้าทอดตามองดูเขา เอ่ยคล้ายจะพูดกับตัวเอง “น่าเสียดาย” พลันเคลื่อนกายทะยานออกไป ทิ้งลู่เซิ่งจงไว้โดยไม่ใยดี
ลุงเฉินรวมถึงพวกโหวฉิงเทียนที่อยู่ในป่ารอบข้างพากันปรากฏตัวออกมาแล้วทะยานจากไป
ลู่เซิ่งจงค่อยๆ หมุนตัวนั่งลงไป นั่งสมาธิโคจรพลังสลายพลังแปลกประหลาดที่อยู่ในร่าง ใบหน้าครึ่งหนึ่งซีดขาวอีกครึ่งหนึ่งแดงก่ำ เส้นผมครึ่งหนึ่งปรากฏน้ำแข็งเกาะ
ในป่าไม่ไกลออกไป บุรุษคนหนึ่งเหินร่างเข้ามา ร่อนลงเบื้องหน้าลู่เซิ่งจง
ลู่เซิงจงเงยหน้ามอง สีหน้าบิดเบี้ยว จำได้ว่าเป็นศิษย์ร่วมสำนัก ความสิ้นหวังปรากฏขึ้นในดวงตา เขากระเสือกกระสนอยากจะลุกขึ้นยืน เหลียวหลังไปพยายามตะโกนเรียก “เต้าเหยี่ย…”
“เจ้าสำนักมีคำสั่งให้มาเก็บกวาดเพื่อสำนัก ศิษย์ทรยศต้องถูกสังหารไม่มีเว้น!”
พอชายคนนั้นกล่าวจบก็ชักกระบี่ออกจากฝัก ประกายกระบี่เยียบเย็นตวัดวาด ศีรษะหนึ่งขาดลอยละลิ่วออกไป
หลังจากจัดการเก็บกวาดเล็กน้อย ชายคนนั้นก็หิ้วศีรษะทะยานจากไป นำศีรษะนี้ไปส่งมอบให้แก่ทางสำนัก
นำศีรษะไปเป็นหลักฐานยืนยันภารกิจถือเป็นเรื่องรอง จุดประสงค์หลักคือต้องการแสดงให้เหล่าศิษย์สำนักเบญจคีรีได้เห็นเพื่อมิให้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง
สำนักเบญจคีรีต้องให้ศิษย์ทุกคนได้เห็นว่านี่คือจุดจบของศิษย์ทรยศสำนัก เมื่อเป็นคนทรยศต่อให้หนีไปจนสุดหล้าฟ้าเขียว สำนักเบญจคีรีก็จะตามล่าสังหารให้ถึงที่สุด
ที่หนิวโหย่วเต้ามาดักรอด้วยตัวเองก็เพราะเสียดายความสามารถจริงๆ อยากจะเก็บลู่เซิ่งจงไว้ใช้ประโยชน์อย่างอื่น
เรื่องราวภายในสำนักเบญจคีรีก็ต้องให้สำนักเบญจคีรีจัดการเอง ไม่ว่าลู่เซิ่งจงจะได้แพร่งพรายความลับภายในของสำนักเบญจคีรีออกไปหรือไม่ ก็จำเป็นต้องให้สำนักเบญจคีรีสอบปากคำเขาเอาเอง
แต่หลังจากคนของสำนักเบญจคีรีมาถึงที่นี่ก็แจ้งต่อหนิวโหย่วเต้าว่า เจ้าสำนักกงซุนปู้มีคำสั่งต่อศิษย์ที่กระจายอยู่ตามเขตต่างๆ ว่าให้กวาดล้างผู้ทรยศสำนักโดยไม่มีละเว้น!
หนิวโหย่วเต้าก็จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องนี้เช่นกัน แม้จะเสียดายความสามารถ แต่ตอนนี้สำนักเบญจคีรีทำงานเป็นหูเป็นตาให้เขา จำเป็นต้องมีตัวอย่างให้เห็นสักครั้งจริงๆ
เมื่อลองชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียดูแล้ว ชีวิตของลู่เซิ่งจงก็เหมือนจะไม่ได้มีความสำคัญถึงขนาดนั้นแล้ว เขาจึงทำได้เพียงทอดถอนใจด้วยความเสียดายเท่านั้น
…
ฟ้าสางแล้ว พอกลับไปถึงโรงเตี๊ยม ก่วนฟางอี๋ก็ตามเข้ามาในห้องพักของหนิวโหย่วเต้า เอ่ยไปว่า “งานชุมนุมสัตว์วิเศษถูกยกเลิกแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าที่เพิ่งวางกระบี่เข้าชั้นหันกลับมาด้วยความมึนงง “ยกเลิกหรือ? เพราะเหตุใด?”
ก่วนฟางอี๋เล่าว่า “สวี่เหล่าลิ่วเพิ่งเห็นคนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์มาติดประกาศในเมือง เขาก็รีบกลับมารายงานทันที ไม่ได้ประกาศชัดเจนว่ายกเลิกเพราะสาเหตุใด เพียงแต่กล่าวขออภัยต่อแขกที่มาเยือน ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนที่แสดงตัวว่าจะออกจากเมืองล้วนจะได้รับเงินคนละหนึ่งร้อยเหรียญทองยามที่ผ่านประตูเมืองออกไป บอกว่าเป็นสินทดแทนคำขออภัย สวี่เหล่าลิ่วไปได้ยินคนอื่นพูดกันว่าเกิดเหตุผิดปกติขึ้นกับแดนความฝันผีเสื้อ ทางเข้าของแดนความฝันผีเสื้อยังไม่ปิดตัวลง ยังคงเปิดอยู่ ในบทสนทนาบอกว่า คาดว่าที่งานชุมนุมสัตว์วิเศษถูกยกเลิกก็คงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
“…..” หนิวโหย่วเต้าผงะไป สบตากับนาง จากนั้นค่อยๆ หันไปมองอิ๋นเอ๋อร์ที่นอนหลับลึกอยู่บนเตียง
เหตุผลที่หลับลึกเป็นเพราะหนิวโหย่วเต้าแอบใช้กลอุบายเล็กน้อย มิเช่นนั้นคงร่ำร้องจะตามไปให้ได้
ดูเหมือนก่วนฟางอี๋ก็มีข้อสันนิษฐานเช่นเดียวกับเขา นางเอ่ยถามเสียงเบา “หรือว่าการเปิดของประตูเกิดของค่ายกลจะเป็นการเปิดประตูของแดนความฝันอย่างเป็นทางการด้วย? หากเป็นเช่นนี้จริง มิเท่ากับว่าวันหน้านางก็สามารถเข้าออกแดนความฝันได้ทุกเมื่อหรอกหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าไม่สามารถยืนยันได้ ถามกลับไปว่า “แน่ใจหรือว่าทางเข้าแดนความฝันยังไม่ปิดตัวลงจริงๆ? ส่งสวี่เหล่าลิ่วไปตรวจสอบหน่อยเถอะ”
ก่วนฟางอี๋ตอบว่า “ส่งสวี่เหล่าลิ่วไปตรวจสอบแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าเดินวนไปวนมาอยู่ภายในห้องพัก
หลังจากเงียบไปสักพัก ก่วนฟางอี๋ก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “เรื่องนั้นจะค้างคากันไว้ตลอดก็คงไม่ได้กระมัง หากไม่ทราบเรื่องชัดเจนข้าคงจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ หากเจ้าไม่คัดค้านอันใด ข้าเตรียมจะลองคุยกับลุงเฉินดู หลายปีมานี้เขาไม่เคยทำเรื่องใดที่ผิดต่อข้าเลย เสี่ยงชีวิตช่วยเหลือข้าไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้ใด ข้าก็ไม่คิดจะสร้างความลำบากใจให้เขา”
แต่ไม่จำเป็นต้องให้นางไปหาเลย นางเพิ่งออกจากห้องนี้ไป ลุงเฉินก็เป็นฝ่ายมาหานางด้วยตัวเองแล้ว
เมื่อกลับมาถึงห้องพักตน ก่วนฟางอี๋ถามด้วยรอยยิ้ม “มีเรื่องใดหรือ?”
ลุงเฉินสงบนิ่งนัก เอ่ยเข้าประเด็นทันที “ปีนั้นที่พบกับท่านตอนได้รับบาดเจ็บ ความจริงแล้วเป็นเหตุการณ์ที่ตั้งใจสร้างขึ้น มีคนส่งข้ามาปกป้องอยู่ข้างกายท่าน ข้าไม่เคยกระทำเรื่องใดที่ผิดต่อท่านเลย และไม่เคยแทรกแซงเรื่องราวใดๆ ของท่าน ท่านก็รู้ว่าข้าไม่เคยซักถามเรื่องการบริหารจัดการภายในสวนไม้เลื้อยเลย ภารกิจของข้าคือป้องกันไม่ให้ท่านมีภัยคุกคามถึงชีวิต มีเพียงเท่านี้ ดังนั้นท่านวางใจได้เลย ข้ามิได้มีเจตนาร้าย”
จ้าวสยงเกอแจ้งให้ทางนี้ทราบเรื่องแล้ว เขาจึงรู้ตัวเช่นกันว่าตนถูกจับได้แล้ว
“ภารกิจของเจ้าหรือ?” แววตาก่วนฟางอี๋วูบไหว พูดกันมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีอะไรต้องปิดบังกันอีกต่อไป นางติดใจเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น “เป็นผู้ใดที่ส่งเจ้ามาปกป้องข้า?”
ลุงเฉินส่ายหน้า “อย่าถามเลย ข้าไม่มีทางพูดออกไป”
ก่วนฟางอี๋หัวเราะฮ่าๆ เบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง เอ่ยด้วยสีหน้าเจือรอยยิ้มเย้ยหยัน “อันตัวข้าไร้วาสนากับสตรี โดยทั่วไปแล้วเหล่าสตรีล้วนชอบนินทาข้าลับหลัง เป็นไปไม่ได้ที่สตรีคนใดจะหวังดีต่อข้าเช่นนี้ ลุงเฉิน สรุปแล้วเป็นบุรุษคนใดกัน ลึกลับถึงเพียงนี้ ในเมื่อมีใจรักต่อข้าปานนี้ เหตุใดถึงนิ่งเฉยปล่อยให้ข้าไปพัวพันกับชายอื่นได้เล่า?”
ลุงเฉินตอบว่า “เหตุผลในเรื่องราวข้าก็ไม่ทราบแน่ชัด ในช่วงแรกเริ่มข้าก็คิดจะกีดกันไม่ให้ท่านไปมาหาสู่กับชายอื่นเช่นกัน แต่เขาห้ามข้าไว้ เขาบอกว่าเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะขัดขวางไม่ให้ท่านไปมาหาสู่กับชายอื่น ขอเพียงท่านมีความสุขก็พอแล้ว เรื่องอื่นหาได้สลักสำคัญไม่”
มีคนเช่นนี้ด้วยหรือ? ก่วนฟางอี๋บ่นอยู่ในใจ คิ้วมุ่นขึ้นมา สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย คิดไปคิดมาก็ยังคิดไม่ออกว่าเป็นผู้ใดกัน นางมีเป้าหมายที่สงสัยอยู่สามสี่คน แต่คิดอย่างไรก็ดูไม่มีทางจะเป็นคนของนิกายมารไปได้เลย
นางยังคงอดถามไม่ได้ “คนในนิกายมารหรือ?”
ลุงเฉินส่ายหน้า “ไม่ทราบ ท่านอย่าได้ถามเลย ข้าไม่มีทางบอก หากท่านคิดว่าข้าไม่เหมาะสมจะอยู่เคียงข้างอีกต่อไป ข้าก็จะจากไป แต่ข้าคิดว่าข้าสมควรได้อยู่ต่อ เพราะจะมีแต่ผลดีไม่มีผลเสียต่อท่าน”
ก่วนฟางอี๋ถาม “เจ้าเป็นคนในนิกายมารหรือ?”
ลุงเฉินตอบว่า “เคยเป็น แต่ออกจากนิกายมารมานานแล้ว”
คุยกันมานานสองนาน เขาไม่เปิดเผยเรื่องที่ไม่สมควรพูดออกมาเลยสักคำ อ้อมค้อมไปมาก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี
หลังถามตอบกันอยู่พักหนึ่ง ก่วนฟางอี๋ไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ใดๆ เลย ในใจสับสนงงงวยอย่างยิ่ง
ส่วนที่ว่าจะให้ลุงเฉินอยู่หรือไป ก่วนฟางอี๋เองก็ยากจะตัดสินใจได้ในทันที
แต่การสะสางเรื่องราวให้ชัดเจนก็มีผลดีเช่นกัน ต่อให้เก็บเขาไว้ วันหน้าหากมีเรื่องสำคัญอันใดจะปิดบังเขาไว้ก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว
…………………………………………………………….