ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 499 เสียงตบดังกังวาน
ตอนที่ 499 เสียงตบดังกังวาน
หนิวโหย่วเต้าได้ฟังก็เอ่ยถามเพื่อยืนยันในทันใด “เฉินถิงซิ่วหรือ?”
เฉาเซิ่งไหวตอบว่า “ใช่ ดูเหมือนจะเป็นชื่อนี้”
เฉินถิงซิ่วมาเยือนสำนักหมื่นสรรพสัตว์อย่างนั้นหรือ? หนิวโหย่วเต้าใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง เอ่ยไปว่า “ช่วยจับตามองเขาให้ข้าที ดูว่าเขาทำอะไรอยู่ที่นี่บ้าง”
เฉาเซิ่งไหวกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าแยกร่างได้หรือไร? แค่เรื่องนั้นข้าก็ยุ่งมากพอแล้ว ไหนเลยจะแบ่งสมาธิไปจับตามองเขาให้เจ้าได้?”
แบ่งสมาธิมาจับตามองข้าได้ แต่แบ่งสมาธิไปจับตามองคนอื่นไม่ได้อย่างนั้นหรือ? หนิวโหย่วเต้าค่อนขอดในใจ ตอกกลับไปประโยคหนึ่งว่า “สำนักหยกสวรรค์ไม่ค่อยลงรอยกับข้า ช่วยจับตามองให้ข้าหน่อย เลี่ยงไม่ให้งานใหญ่ของพวกเราเสียหาย”
เขาไม่สนใจว่าเฉาเซิ่งไหวจะมีเวลาหรือไม่ แล้วก็ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะทำงานพังหรือไม่ สรุปคือสั่งให้อีกฝ่ายไปทำ
ตัวเขาคนเดียวมีความสามารถจำกัด ไม่มีทางลงไปจัดการทุกเรื่องด้วยตัวเองได้ ในช่วงที่สมควรใช้งานย่อมไม่มีทางเกรงใจ
ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาเชื่อมั่นในตัวเฉาเซิ่งไหว คนที่สามารถขุดหลุมพรางหลอกเขาในแดนความฝันได้มิใช่คนโง่เขลาแน่ นี่คือเรื่องสำคัญถึงชีวิต เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายจะจัดการอย่างระมัดระวังแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยฐานอำนาจของสายสกุลเฉาที่อีกฝ่ายมีอยู่ในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ เท่าที่ทราบมา คนในสายสกุลเฉาก็นับเป็นคนในสายเดียวกับซีไห่ถังเจ้าสำนักหมื่นสรรพสัตว์ด้วย
“…..” เฉาเซิ่งไหวพูดไม่ออก เรื่องที่อีกฝ่ายยื้อแย่งชิงอำนาจในมณฑลหนานโจวกับสำนักหยกสวรรค์เขาก็เคยได้ยินมาพอสมควร เป็นอริกันจริงๆ
ในการสนทนากันอย่างลับๆ หลังจากหนิวโหย่วเต้าสั่งการในเรื่องที่สมควรสั่งการไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ตกลงกำหนดสถานที่แห่งนี้เป็นจุดนัดพบติดต่อกัน รวมถึงกำหนดสัญญาณลับสำหรับติดต่อเอาไว้ เผื่อมีเรื่องใดจะได้ติดต่อกันได้ทุกเมื่อ
ทางนี้เพิ่งกลับมาถึงเรือนพำนักได้ไม่นาน ศิษย์ของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ก็มาหาเพื่อพาพวกเขาไปพบคนที่แจ้งขอเข้าพบไว้
หนิวโหย่วเต้าขอให้คอยสักครู่ จากนั้นก็ไปหาก่วนฟางอี๋
ก่วนฟางอี๋รู้แต่แรกแล้วว่าวันนี้จะต้องไปทำอะไร จึงซ่อนตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกมา
หนิวโหย่วเต้าเคาะประตู ก่วนฟางอี๋ตอบอู้อี้จากด้านในห้อง “อาบน้ำอยู่ ไม่ว่าง เจ้าไปคนเดียวเถอะ”
หนิวโหย่วเต้าใช้พลังสะเดาะกลอนประตู ผลักประตูเปิดเข้าไป เสียงร้อง “ว้ายย!” ดังออกมาจากในห้อง
หนิวโหย่วเต้าหมดคำพูด ก่วนฟางอี๋นั่งเปลือยกายแช่ตัวอยู่ในถังอาบน้ำจริงๆ ยกสองมือปิดอกไว้ ถลึงตาจ้องมองเขา
ด้านนอก ลุงเฉินและสวี่เหล่าลิ่วล้วนปรากฏตัวขึ้นเพราะเสียงหวีดร้องของก่วนฟางอี๋ จ้องมองไปที่หนิวโหย่วเต้าซึ่งยืนอยู่หน้าประตูอย่างพร้อมเพรียงกัน
หนิวโหย่วเต้าหันกลับไปยิ้มกับทั้งสองที่อยู่ในลานเรือน “นางกำลังอาบน้ำอยู่ ข้าจะเข้าไปดูสักหน่อย” ว่าจบก็เดินเข้าไปเลย ซ้ำยังปิดประตูลงด้วย
ลุงเฉินและสวี่เหล่าลิ่วสบตากัน ไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใด จึงแยกย้ายกันไป
ในมุมมองของพวกเขา เดิมทีก็เป็นเรื่องปกติทั่วไป ตอนอยู่ที่สวนไม้เลื้อยทั้งสองก็ร่วมห้องกันมาแต่แรกแล้ว
“สารเลว ไสหัวออกไป!”
“ยังเช้าตรู่อยู่ ไยถึงอาบน้ำเล่า เอ้า สวมเสื้อผ้าเสีย”
“อย่าเข้ามานะ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
“เจ้าจะไม่เกรงใจอันใดกันเล่า หากแน่จริงก็ลงมือให้บ้านถล่มไปสิ จะได้ให้ทุกคนเห็นไปด้วยกัน”
“ไสหัวไป!”
“เจ้าก็ทำตัวตามปกติไปสิ ข้าแค่เข้ามาดูเท่านั้น”
มีเสียงเอะอะโวยวายดังอยู่ในห้องพักใหญ่ ท้ายที่สุดก่วนฟางอี๋ยังคงติดตามหนิวโหย่วเต้าออกมาอย่างโมโหกระฟัดกระเฟียด
ทั้งสองไปด้วยกัน เข้าเยี่ยมคารวะเจ้าสำนักใหญ่ทั้งหลายไปทีละคนๆ
ฟังจากคำพูดของเฉาเซิ่งไหว หากไม่ได้ตรวจสอบเรื่องแดนความฝันก่อน คนเหล่านี้คงไม่ยอมจากไปง่ายๆ แต่ก็ยากจะรับประกันได้เช่นกันว่าจะมีสำนักใดที่จากไปอย่างกะทันหันหรือไม่ ดังนั้นหนิวโหย่วเต้าจึงอยากจัดการให้จบเรื่องไปในคราวเดียว
ในการไปเยี่ยมเยือนเจ้าสำนักเหล่านี้ หนิวโหย่วเต้านับว่ายอมรับในตัวก่วนฟางอี๋แล้ว สตรีนางนี้ไหนเลยจะแค่รู้จักเจ้าสำนักแต่ละแห่งเท่านั้น แม้แต่ผู้อาวุโสระดับสูงอันใดเหล่านั้นของแต่ละสำนักก็พอจะรู้จักอยู่บางส่วนเช่นกัน บางคนก่วนฟางอี๋จดจำอีกฝ่ายไม่ค่อยได้แล้วด้วยซ้ำ แต่เป็นอีกฝ่ายที่เข้ามาทักทายชวนคุยยิ้มแย้มด้วยตัวเอง
ในความเห็นของก่วนฟางอี๋ การพูดถึงเรื่องที่นางเป็น ‘โฉมงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า’ อันใดในยุคนั้นนับว่าเยินยอกันเกินไปแล้ว ใต้หล้านี้ย่อมมีคนที่งดงามกว่านางอยู่แน่นอน เพียงแต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นนางห้ามของเหล่าผู้มีอำนาจเท่านั้น ผู้ใดจะยกมากล่าวถึงอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งได้เล่า?
สมัยก่อนที่อยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉี นางไร้ซึ่งภูมิหลังและที่พึ่งพิง เมื่อคนมีศักดิ์ฐานะต้องการพบนาง หากนางไม่ยอมพบก็อาจจะล่วงเกินอีกฝ่ายได้ จึงมักต้องออกมาพบปะสักหน่อย
ส่วนผู้ที่มีฐานอำนาจและมีความมั่นใจในการมาพบนาง ล้วนเป็นคนที่ค่อนข้างมีฐานอำนาจในสำนักต่างๆ ทั้งสิ้น หากไม่มีฐานอำนาจเลยคงถูกจัดการเพราะพายุความหึงหวงไปนานแล้ว คนธรรมดาไหนเลยจะกล้าก่อเรื่องใหญ่ขึ้น ในทางกลับกันนางเองก็พึ่งพาคนเหล่านั้นเพื่อปกป้องตัวเองมาโดยตลอด ในสมัยนั้นไม่มีผู้ใดกล้ามาหาเรื่องนางง่ายๆ
ในสมัยนั้นคนที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งในสำนักต่างๆ ล้วนให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ ปกติแล้วไม่มีทางที่จะมาพบนาง ดังนั้นคนส่วนใหญ่ที่มาพบนางล้วนเป็นคนรุ่นเยาว์ของแต่ละสำนักทั้งสิ้น
เวลาผ่านมานานขนาดนี้ บรรดาคนรุ่นเยาว์ในสมัยนั้นต่างเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของอำนาจและสถานะล้วนแต่ยกระดับขึ้นมาแล้ว ดังนั้นในความเห็นของก่วนฟางอี๋ นี่เป็นเรื่องธรรมดานัก บ้างก็ถูกกำจัดเขี่ยทิ้งไป บ้างก็ค่อยๆ ผงาดขึ้นมาตามกาลเวลา ค่อยๆ รุ่งโรจน์ขึ้นกลายเป็นผู้มีอำนาจในสำนักต่างๆ ดังนั้นการที่รู้จักคนพวกนี้บ้างก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอันใด
หากว่ากันในอีกมุมหนึ่ง นางก็รู้จักกลุ่มคนที่ไม่ประสบความสำเร็จของแต่ละสำนักมากพอดูเช่นกัน บางคนนางจดจำได้แม่นยำยิ่งกว่าคนที่มีอำนาจเหล่านั้นเสียอีก
แต่หนิวโหย่วเต้ามองแล้วกลับอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจชื่นชม ผู้มีอำนาจเกินครึ่งในโลกบำเพ็ญเพียร สตรีนางนี้ล้วนรู้จักแทบทั้งสิ้น เขาพบว่าในแง่หนึ่งแล้ว สตรีนางนี้เรียกได้ว่าเป็นบุคคลในตำนานของโลกบำเพ็ญเพียรจริงๆ
แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือรู้จักก็ส่วนรู้จัก กาลเวลาผันผ่านสายสัมพันธ์จืดจาง ก่วนฟางอี๋มิใช่โฉมงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าเช่นสมัยก่อนแล้ว คนส่วนใหญ่ที่รู้จักนางไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตาอีกต่อไป แล้วก็ไม่มีทางเข้ามาพัวพันคลุมเครือกับนางอีก เพราะอาจถูกคนเข้าใจผิดได้ง่ายๆ 艾琳小說
มีต้นทุนที่ยอดเยี่ยมปานนี้กลับนำมาใช้ประโยชน์ไม่ได้ หนิวโหย่วเต้ารู้สึกเสียดายแทนนางนัก แต่คิดๆ ไปแล้วก็ไม่แปลกอะไร
ชื่อเสียงหาใช่ของดีอันใดไม่ ด้วยชื่อเสียงโด่งดังสามารถให้คนแห่แหนเข้ามาหาได้ แต่ก็ทำให้คนกริ่งเกรงอยากหลบเลี่ยงได้เช่นกัน อันสิ่งที่เรียกว่าชื่อเสียงนี้ยังคงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าสำนักกำลังพบปะแขกอยู่ ตอนนี้ยังไม่สะดวกพบทั้งสองท่าน รบกวนทั้งสองท่านโปรดรอสักครู่”
เมื่อมาถึงหน้าประตูเรือนรับรองของสำนักเทพนารี ศิษย์ที่เฝ้าประตูอยู่ขวางไว้เล็กน้อย
“ไม่มีปัญหา” หนิวโหย่วเต้ายิ้มแล้วประสานมือ หันหลังเดินออกไปรออยู่ด้านข้างพร้อมก่วนฟางอี๋
ดวงตะวันที่ลอยเด่นอยู่บนฟ้าเคลื่อนคล้อยไปทางตะวันตกแล้ว ก่วนฟางอี๋ถอนสายตากลับมาจากหมู่ขุนเขา ดูเหมือนการได้พบปะคนรู้จักเก่ามากเกินไปจะทำให้นางค่อนข้างสะท้อนใจเช่นกัน นางหันกลับไปมองทับหน้าประตูเรือนแล้วเอ่ยไปว่า “โดยทั่วไปแล้วสตรีมักไม่ถูกโฉลกกับข้าเท่าไร สำนักนี้ข้าไม่เข้าไปแล้วกัน จะได้ไม่ทำให้ตัวเองต้องขายหน้า ข้าจะคอยเจ้าอยู่ด้านนอกแล้วกัน”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าเล็กน้อย พอจะเข้าใจได้ ตอนนี้ไปเยี่ยมคารวะมาเกือบครบแล้ว ที่นี่คือที่สุดท้าย ก่วนฟางอี๋จะเข้าไปด้วยหรือไม่ก็ไม่เป็นไรแล้ว เลี่ยงไม่ให้นางต้องอับอายเพราะคำพูดระคายหูของคนอื่นด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นคือเจ้าสำนักเทพนารีตอบตกลงพบเขาแล้ว ที่ยอมพบเขาก็ไม่เกี่ยวกับก่วนฟางอี๋ด้วย ก็เหมือนที่เขาเคยกล่าวไปก่อนหน้านี้ พอได้มณฑหลหนานโจวมาครอง เขาก็พอจะมีฐานอำนาจขึ้นมาแล้ว หากเป็นแต่ก่อนคงไม่มีคุณสมบัติจะได้พบอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
ทั้งสองคนคอยอยู่นานพักใหญ่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งออกมาจากด้านในประตูเรือน มีทั้งชายและหญิง แต่ละคนบุคลิคท่าทางไม่ธรรมดา
มีคนของสำนักเทพนารีออกมาส่งแขก หนิวโหย่วเต้าคาดว่าคงเป็นแขกที่เจ้าสำนักเทพนารีเพิ่งพบปะไป
ในกลุ่มคนที่เดินลงบันไดมา ชายองอาจทรงภูมิที่เดินนำอยู่ด้านหน้าหน้าตาหล่อเหลาดูดี สง่างามทรงอำนาจ องอาจห้าวหาญ สายตาเขากวาดมองมาทางนี้เล็กน้อย พลันชะงักฝีเท้าลง ดวงตาจ้องมองไปที่ก่วนฟางอี๋
ตอนแรกก่วนฟางอี๋ยังไม่สังเกตเห็น แต่ท่าทีผิดปกติของอีกฝ่ายทำให้นางหันไปสบตาอีกฝ่ายเขา ดวงตางามกระจ่างพลันหดตัววูบ
ในวินาทีที่ชายหญิงทั้งสองสบตากัน ดูเหมือนทั้งสองจะรับรู้ได้ถึงความตกใจเช่นกัน
สายตาของก่วนฟางอี๋หันไปมองสตรีวัยกลางคนรูปโฉมงดงามที่อยู่ข้างกายฝ่ายชาย พบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองนางอย่างเย็นชา ก่วนฟางอี๋หลบสายตาหันหนีไปอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์พี่!” สตรีวัยกลางคนผู้งดงามกระตุกแขนเสื้อฝ่ายชายเล็กน้อย
ฝ่ายชายค่อยๆ หันกลับไป สาวเท้าเดินหน้าต่อ ถึงแม้สีหน้าจะเรียบเฉย แต่ฝีเท้ากลับดูหนักอึ้งผิดปกติไปอย่างเห็นได้ชัด
พอเห็นฉากนี้ หนิวโหย่วเต้าได้แต่ขบขันในใจ คาดว่าคงจะเป็นอดีตคนคุ้นเคยของก่วนฟางอี๋อีกคน
ผู้อาวุโสของสำนักเทพนารีที่ออกมาส่งแขกเอ่ยถามว่า “ผู้ใดคือหนิวโหย่วเต้า เจ้าสำนักเชิญเข้าไป”
หนิวโหย่วเต้าเดินเข้าไปคำนับโดยเร็ว จากนั้นติดตามอีกฝ่ายเข้าไปด้านใน
พอเดินผ่านประตูใหญ่เข้าไป หนิวโหย่วเต้าอดถามไม่ได้ “กลุ่มคนเมื่อครู่ไม่ทราบว่าเป็นแขกสูงศักดิ์จากที่ใดหรือ?”
ผู้อาวุโสหญิงเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสำนักตู้แห่งสำนักชะตาสวรรค์กับฮูหยินของเขา”
หนิวโหย่วเต้าร้องโอ้คำหนึ่ง ตู้อวิ๋นซางเจ้าสำนักชะตาสวรรค์และฮูหยินเหวินซินจ้าว เขาไม่เคยพบปะ แต่เคยได้ยินชื่อมาก่อน
สำนักชะตาสวรรค์ค้าขายยันต์อาคมโดยเฉพาะ กำลังทรัพย์พรั่งพร้อมทัดเทียมสำนักหมื่นสรรพสัตว์ มองจากรูปการณ์แล้วน่าจะเป็นอดีตคนคุ้นเคยของก่วนฟางอี๋ หนิวโหย่วเต้านึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อยว่ายันต์อาคมระดับสูงของก่วนฟางอี๋อาจจะได้มาจากเจ้าสำนักตู้กระมัง?
เขาคิดเอาไว้แล้วว่าเดี๋ยวกลับไปจะต้องสอบถามก่วนฟางอี๋ดูสักหน่อย
….
ก่วนฟางอี๋ที่ยืนรับลมอยู่ริมเขาเพียงลำพังตกอยู่ในภวังค์เลื่อนลอย ไม่ทราบว่าคิดอะไรอยู่ แล้วก็ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใดแล้ว กระทั่งมีคนเดินเข้ามาใกล้ก็ยังไม่รู้ตัว
“ก่วนฟางอี๋ ฮูหยินต้องการพบเจ้า”
น้ำเสียงแข็งทื่อแว่วขึ้นด้านหลังนาง ก่วนฟางอี๋ได้สติกลับมาทันที เป็นชายชราผมหงอกขาวคนหนึ่ง ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสองมือเปล่าไร้อาวุธ ตัวคนก็ดูแข็งทื่อเหมือนตอไม้เช่นกัน
ชายชราเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มที่เพิ่งเดินออกจากเรือนไปก่อนหน้านี้
ชายชราชี้ไปยังศาลาหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล ก่วนฟางอี๋หันมองตามมือ เห็นว่าในศาลามีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ เป็นโฉมงามวัยกลางคนที่จากไปก่อนหน้านี้ ไม่ทราบเช่นกันว่าย้อนกลับมาตั้งแต่เมื่อไร กำลังยิ้มละไมมองมาทางนี้
ก่วนฟางอี๋กัดฟัน เดินตามชายชราคนนั้นไป
เมื่อเข้าไปในศาลา ชายชรายืนรวบมืออยู่ด้านหลังสตรีวัยกลางคน สีหน้านิ่งทื่อเหมือนตอไม้ แต่หนักแน่นดุจขุนเขา
ก่วนฟางอี๋คารวะเล็กน้อย “ฮูหยินตู้”
สตรีที่นั่งยิ้มแย้มอยู่ก็คือเหวินซินจ้าวภรรยาของตู้อวิ๋นซางเจ้าสำนักชะตาสรรค์
“หงเหนียง ไม่ได้พบกันเสียนาน” เหวินชินจ้าวค่อยๆ ลุกขึ้นมา เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าก่วนฟางอี๋
วินาทีที่ทั้งสองสบตากัน รอยยิ้มบนใบหน้าเหวินซินจ้าวพลันเลือนหายไป ลงมือในทันใด สะบัดมือฟาดเข้าที่หน้าของก่วนฟางอี๋จนเกิดเสียง ‘เพียะ!’ ดังชัดเจน
โลหิตผุดซึมออกมาจากปากและจมูกของก่วนฟางอี๋ทันที นางไม่ได้หลบเลี่ยง เพียงกุมหน้าไว้พลางเซถอยไปก้าวหนึ่ง
ศิษย์ของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่เฝ้าหน้าประตูได้ยินเสียงจึงมองมา ตกตะลึงเมื่อได้เห็นฉากนี้
“นังแพศยา ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่าต่อไปห้ามมาให้เขาเห็นหน้าอีก?” เหวินซินจ้าวค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ เอ่ยถามอย่างเย็นชา
ก่วนฟางอี๋ถูกต้อนให้ถอยกลังไปเรื่อยๆ จนกระทั่งชนเข้ากับราวกั้น ไม่สามารถถอยได้อีก นางเอ่ยตอบเสียงเรียบ “ข้าไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ ไม่ได้ตั้งใจมาพบเขา”
“ไม่ได้ตั้งใจหรือ?” เหวินซินจ้าวร้องโอ้คำหนึ่ง สายตามองไปที่ดวงหน้านาง สังเกตเห็นว่าทั้งที่สตรีนางนี้อายุมากกว่าตนหลายปีชัดๆ แต่กลับดูอ่อนเยาว์กว่าตนเสียอีก เพลิงโทสะในใจพลันลุกโหมขึ้นมา นางสะบัดมือตบหน้าอีกด้านของก่วนฟางอี๋ที่ไม่ได้ถูกกุมไว้จนเกิดเสียง ‘เพียะ!’ ดังขึ้นมาอีกครั้ง
ศิษย์คนหนึ่งของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ปราดเข้ามาทันที เข้ามาในศาลาแล้วเอ่ยเตือน “ท่านทั้งสอง หากมีความแค้นเคืองอันใดโปรดออกไปจัดการนอกสำนักหมื่นสรรพสัตว์เถิด ที่นี่หาใช่สถานที่ที่พวกท่านจะมาทะเลาะวิวาทได้”
“ฮูหยิน” ชายชราทื่อมะลื่อก็เอ่ยเตือนขึ้นมาเช่นกัน
“นังแพศยา ข้าขอเตือนเจ้าไว้เป็นครั้งสุดท้าย อย่าได้มีครั้งต่อไปอีก เข้าใจหรือไม่?” เหวินซินจ้าวตวาดเสียงกร้าว
ก่วงฟางอี๋ที่สองแก้มบวมแดงพยักหน้ารับเงียบๆ
เหวินซินจ้าวหันหลังจากไปด้วยสีหน้าเย็นชา ชายชราติดตามจากไป
…………………………………………………………………….