ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 515 เริ่มแล้ว!
ตอนที่ 515 เริ่มแล้ว!
พอเห็นว่าจู่ๆ เขาก็ร้อนรนขึ้นมาเช่นนี้ เซ่าซานเสิ่งก็ไม่กล้าชักช้าอีกเช่นกัน รีบวิ่งออกไป วิ่งไปที่ประตูทางเข้าคุกใต้ดิน หมอบอยู่ตรงประตูเอ่ยขอร้องผู้บำเพ็ญเพียรที่เฝ้าอยู่ด้านนอกซ้ำๆ
ผู้บำเพ็ญเพียรที่เฝ้าอยู่ภายในคุกเดินเข้าหยุดตรงหน้าเซ่าผิงปอ เอ่ยเตือนว่า “คุณชายใหญ่ อย่าก่อเรื่องวุ่นวายจะดีที่สุด”
วุ่นวาย? เซ่าผิงปอพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เวลานี้ไม่เหมาะจะล่วงเกินอีกฝ่าย อีกทั้งไม่อยากจะอธิบายอะไรกับอีกฝ่ายให้มากความด้วย
สำหรับเขาแล้ว ไม่มีความจำเป็นใดที่ต้องไปนั่งอธิบายกับคนประเภทนี้ที่เห็นสำนักเขามหายานเป็นดั่งผืนฟ้า ใช้ชีวิตอยู่แต่ในกรอบที่สำนักเขามหายานขีดเอาไว้ ไม่อาจตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองได้
ผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นมองกล่องอาหารที่จัดวางไว้ตรงด้านล่างระแนงลูกกรงห้องขัง เห็นว่าไม่ถูกแตะต้องเลย เขามองไปที่เซ่าผิงปออีกครั้ง ในใจนึกหมิ่นแคลนอย่างยิ่ง ปกติชอบวางท่านัก สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงสุนัขรับใช้ของสำนักเขามหายานเท่านั้น พวกเราปล่อยให้เจ้าวางท่าได้ แต่ก็ทำให้เจ้าตกอับได้ในชั่วพริบตาเช่นกัน
เซ่าผิงปอเดินวนกลับไปกลับมาอยู่ในห้องขัง ตอนนี้จิตใจร้อนรนกระสับกระส่าย ไหนเลยจะมีกะจิตกะใจกินสิ่งใด
แรกเริ่มเขามิได้ใส่ใจทางสำนักเขามหายานเท่าไร หลังจากได้รับข่าวของสำนักหยกสวรรค์ก็เตรียมการพร้อมรับมือกับสำนักเขามหายานแล้ว เตรียมพร้อมจะบอกให้สำนักเขามหายานทราบแล้วว่าหนิวโหย่วเต้าติดต่อกับหกสำนักใหญ่ เมื่อถึงเวลาแค่หารือกับสำนักเขามหายานเพื่อรับมือก็พอ
ถึงแม้หนิวโหย่วเต้าจะจงใจแพร่งพรายข่าวให้สำนักเขามหายานทราบก็ไม่เป็นไร เขาเตรียมการรับมือในส่วนนี้ไว้แล้วเช่นกัน เขารับมือกับสำนักเขามหายานมานานหลายปี มีวิธีพูดโน้มน้าวให้สำนักเขามหายานนึกสงสัยในข่าวที่หนิวโหย่วเต้าแพร่งพรายออกมา
เขาจัดเตรียมทางหนีทีไล่ไว้แต่แรกเริ่ม ก็เพราะทราบถึงความอันตรายของคนอย่างหนิวโหย่วเต้าดี ตระหนักได้ว่าหนิวโหย่วเต้าจะโถมโจมตีเข้ามา ดังนั้นจึงเตรียมการป้องกันไว้ล่วงหน้า
แต่ไม่คิดเลยว่าหนิวโหย่วเต้าจะเข้าใจสถานการณ์ของทางนี้ได้ละเอียดถึงเพียงนี้ วางแผนรอบคอบถี่ถ้วน ใช้งานคนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ให้ออกหน้าได้ ทำให้สำนักเขามหายานเชื่อว่าเป็นตัวเขาเซ่าผิงปอที่ก่อปัญหาขึ้น และเป็นเพราะตัวเขาเซ่าผิงปอที่ดื้อด้านไม่รู้จักฟัง จึงทำให้สำนักเขามหายานต้องเผชิญหน้ากับปัญหาความเป็นความตาย หากมิใช่เพราะเขาใช้อุบายถอยเพื่อรุกได้ทันเวลา เกรงว่าคงไม่จบแค่ถูกคุมขังเช่นนี้ คงต้องชดใช้แบบเลือดตกยางออกแน่นอน
ตอนนี้เขาตระหนักได้แล้วว่าที่ผ่านมาหนิวโหย่วเต้ายังมุ่งมั่นที่จะสังหารเขามาตลอด สิ้นเปลืองความคิดไปมากเพื่อจัดการทางฝั่งเขา
อีกทั้งตระหนักได้แล้วว่าความสามารถทางด้านข่าวสารในโลกผู้บำเพ็ญเพียรของตนยังอ่อนด้อยเกิน ไม่ทราบเลยว่าคนของเขามหายานก็ไปที่เมืองวั่นเซี่ยงแล้ว ดังนั้นจึงถูกหนิวโหย่วเต้าสบช่องใช้ประโยชน์จากคนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์มาล่อลวงสำนักเขามหายาน
จนกระทั่งตกอยู่ในการควบคุมของสำนักเขามหายาน เขาถึงได้รู้ว่าทั้งเขาและสำนักเขามหายานล้วนหลงกลหนิวโหย่วเต้ากันทั้งคู่
ก่อนหน้านี้ไม่ได้สอบถามต้นสายปลายเหตุจากจงหยางซวี่ จวบจนยามนี้ถึงเพิ่งเข้าใจว่าหนิวโหย่วเต้าหลอกล่อทางสำนักเขามหายานอย่างไร
จากจุดนี้เห็นได้ว่าอำนาจข่าวสารที่ตนมีต่อโลกบำเพ็ญเพียรยังล้าหลังมากนัก เผชิญหน้ากับหนิวโหย่วเต้าแล้วเสียเปรียบมาก
ตอนนี้เขาเพิ่งจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่านี่คือการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียมกันเลย
สิ่งที่เขารู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งคือการที่ไม่ได้ทุ่มเททำทุกวิถีทางเพื่อสะกัดไม่ให้หนิวโหย่วเต้าผงาดขึ้นมาในมณฑลหนานโจว ทำให้หนิวโหย่วเต้ามีอำนาจมากขึ้นจนเพียงพอจะก่อปัญหาได้ หากเป็นตัวหนิวโหย่วเต้าในสมัยก่อน ไม่มีทางที่จะมีอิทธิพลได้ขนาดนี้ เกรงว่าคงไม่มีสิทธิ์ได้ผ่านประตูสำนักหมื่นสรรพสัตว์เข้าไปด้วยซ้ำ
การปรากฏตัวของเฉาเซิ่งไหวทำให้เขารู้สึกวิตกกังวลยิ่งขึ้น
หลังจากพุ่งเป้าโจมตีหนิวโหย่วเต้าไปแล้ว เขาไม่คิดเลยว่าหนิวโหย่วเต้าจะตอบโต้กลับรวดเร็วและรุนแรงขนาดนี้ แต่เขาก็หาได้ไร้เขี้ยวเล็บไม่ ได้วางแผนแก้สถานการณ์ไว้สามแนวทาง มีทั้งแผนรุก แผนป้องกันและแผนถอยหนี คิดวิธีการตอบโต้ยับยั้งได้รวดเร็ว!
แผนรุกคือแผนที่ดีที่สุด ถ่วงเวลาทางนี้ไว้ รอจนสำนักหยกสวรรค์ดำเนินแผนสังหารสำเร็จ เขาไม่เชื่อว่าด้วยกำลังของสำนักหยกสวรรค์แล้ว อีกฝ่ายจะไม่สามารถสร้างภัยคุกคามให้หนิวโหย่วเต้าได้ ส่วนสังหารแล้วจะตายหรือไม่ อันนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ขอเพียงลงมือสำเร็จ เขาก็มีวิธีปลุกปั่นให้หนานโจววุ่นวายขึ้นมา ต่อให้หนิวโหย่วเต้าไม่ตายก็สามารถทำลายความทุ่มเทของหนิวโหย่วเต้าในช่วงเวลาหลายปีมานี้ลงได้
แผนป้องกันเป็นแผนรอง ถ่วงสมดุลหกสำนักใหญ่ในแคว้นเยี่ยนและแคว้นหาน ซื้อเวลาให้ตัวเองได้ตอบโต้กลับไปอีกครั้ง
แผนถอยคือแผนสุดท้าย เป็นแผนที่จ่ายค่าตอบแทนจำนวนมหาศาล หากไม่เข้าตาจนจริงๆ เขาก็ไม่มีทางนำมาใช้
เขาตระหนักได้แต่แรกแล้วว่าทางสำนักหมื่นสรรพสัตว์จะกลายเป็นกุญแจสำคัญในหมากกระดานนี้ แต่การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของเฉาเซิ่งไหว โดยเฉพาะภูมิหลังของเฉาเซิ่งไหว หากเขาเป็นหนิวโหย่วเต้า เขาก็จะมีช่องให้ใช้ประโยชน์ได้มากมาย ทำให้ความหวังที่เขามีต่อการเผชิญหน้ากันที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์ลดลงอย่างมาก เขากังวลอย่างยิ่งว่าสำนักหยกสวรรค์และสำนักเขามหายานจะถูกหนิวโหย่วเต้าลอบแทรกแซง
แผนแรกถูกทำลายไปแล้ว แผนรองเขาตกเป็นรองเกินไป โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับคู่ต่อสู้อย่างหนิวโหย่วเต้า 艾琳小說
เขาถึงขนาดนึกสงสัยขึ้นมาแล้วว่าเรื่องที่หนิวโหย่วเต้าไปเข้าพบผู้นำหกสำนักใหญ่จะเป็นเพียงการหลอกล่อ จนปัญญาที่ข่าวสารมีจำกัด ไม่สามารถวิเคราะห์ตัดสินได้ ได้แต่หวังว่าหลังจากคนของสำนักเขามหายานไปเข้าพบผู้นำหกสำนักใหญ่แล้วจะสามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้
การปรากฏตัวขึ้นของเฉาเซิ่งไหวทำให้เขาตระหนักได้ว่าหนิวโหย่วเต้าลงมือในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ได้รวดเร็วนัก เวลาอาจจะไม่ได้อยู่ทางฝั่งเขา
ก่อนหน้านี้ยังสามารถสงบอารมณ์เฝ้ารออยู่ในคุกได้ แต่ตอนนี้นั่งไม่ติดแล้วจริงๆ ทนอยู่ไม่ไหวแล้ว
แอ๊ด! เสียงประตูเหล็กถูกเปิดออกดังแว่วมา เซ่านผิงปอที่เดินวนไปวนมาหันหลับไปมองยังปลายทางเดินของคุกใต้ดินทันที
จงหยางซวี่มาแล้ว ด้านหลังมีคนติดตามมาด้วยหลายคน ศิษย์ที่เฝ้าอยู่ในคุกทำความเคารพ
ในที่สุดทั้งสองก็ได้พบหน้ากันผ่านซี่ลูกกรง จงหยางซวี่มองกล่องอาหารตรงปลายเท้าเล็กน้อย “มีอะไร? อาหารไม่ถูกปากหรือ?”
“ต่อให้อาหารไม่ถูกปากเช่นไรก็ไม่กล้ารบกวนท่านลุงด้วยเรื่องนี้ขอรับ” เซ่าผิงปอเอ่ยอย่างสุภาพ อีกทั้งไม่อยากอ้อมค้อมให้มากความ เอ่ยเข้าประเด็นทันที “มีวิฤตแอบแฝงอยู่ทางสำนักหมื่นสรรพสัตว์ขอรับ คนของสำนักเขามหายานที่อยู่ในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ต้องรับมือให้ทันท่วงที เลี่ยงไม่ให้ตกหลุมพรางไอ้สารเลวแซ่หนิว”
จงหยางซวี่ขมวดคิ้ว “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามีวิกฤแอบแฝงอยู่ทางสำนักหมื่นสรรพสัตว์? ยอมรับแล้วหรือว่าเรื่องราวเกิดขึ้นจากฝีมือของเจ้า?”
แววตาเซ่าผิงปอหลุบลงเล็กน้อย สังเกตเห็นว่ามือของจงหยางซวี่ที่กุมกระบี่อยู่เหมือนจะกุมแน่นขึ้นเล็กน้อย เขารีบอธิบายไปว่า “ท่านลุงเข้าใจผิดแล้วขอรับ ข้าเพิ่งนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ สองปีก่อนข้าได้ข่าวมาว่าเฉาเซิ่งไหวที่เป็นหลานชายของเฉาจิ้งผู้อาวุโสแห่งสำนักหมื่นสรรพสัตว์เคยรู้จักกับหนิวโหย่วเต้า หากว่าหนิวโหย่วเต้าก่อเรื่องขึ้นในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ แสดงว่าจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากคนผู้นี้แน่นอนขอรับ”
จงหยางซวี่ถาม “เช่นนั้นแล้วมันเป็นอย่างไร?”
เซ่าผิงปอร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย “ต้องเตือนสำนักหมื่นสรรพสัตว์ให้คอยจับตามองทันที กำจัดเบี้ยลับตัวนี้ของหนิวโหย่วเต้าทิ้ง เลี่ยงไม่ให้สำนักเขามหายานต้องพลาดท่าขอรับ!”
จงหยางซวี่ขมวดคิ้ว “เจ้ารู้ภูมิหลังของเฉาจิ้งหรือไม่?”
เซ่าผิงปอถามกลับ “เป็นผู้อาวุโสของสำนักหมื่นสรรพสัตว์มิใช่หรือขอรับ?”
จงหยางซวี่กล่าวว่า “ไม่ใช่แค่ผู้อาวุโสเท่านั้น แต่ยังเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กับซีไห่ถังเจ้าสำนักหมื่นสรรพสัตว์ด้วย เป็นคนสนิทของซีไห่ถัง กล่าวก็คือทั้งสองเป็นพวกเดียวกัน เจ้าเคยเห็นคนที่เล่นงานพวกเดียวกันมากี่ครั้ง?”
เซ่าผิงปอตะลึงไปเล็กน้อย เรื่องนี้เขาไม่รู้เลยจริงๆ
จงหยางซวี่เอ่ยต่อไปว่า “เตือนให้สำนักหมื่นสรรพสัตว์จับตามองเฉาเซิ่งไหวอันใดที่เจ้ากล่าวถึง แล้วจะให้จับตามองอย่างไร? เพียงเอ่ยปากเฉาจิ้งก็จะรู้ตัวทันที รับรองได้เลยว่าใครก็ตามที่ไปจับตามองเฉาเซิ่งไหว จะไม่ได้ความดีความชอบใดๆ ทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นจะล่วงเกินเฉาจิ้งตั้งเริ่มเปิดปากพูดด้วย! ต่อให้ยืนยันได้ว่าหนิวโหย่วเต้ากับเฉาเซิ่งไหวคนนั้นสมคบกันแล้วอย่างไรเล่า? กำจัดเฉาเซิ่งไหวแล้วอย่างไรเล่า? จะเผชิญหน้ากับเฉาจิ้งอย่างไร? สำนักเขามหายานอยู่ว่างจนต้องไปหาเรื่องผูกความแค้นกับเฉาจิ้งอย่างนั้นหรือ?”
ใบหน้าเซ่าผิงปอตึงเครียดขึ้นมา “ท่านลุง นี่มิใช่เรื่องเล็กๆ นะขอรับ พวกเราจะแตกคอกันเองจนติดกับผู้อื่นไม่ได้นะขอรับ! ไอ้สารเลวแซ่หนิวมันเจ้าเล่ห์ เกรงว่าสำนักเขามหายานที่อยู่ทางฝั่งสำนักหมื่นสรรพสัตว์จะเสียเปรียบได้ ขอท่านลุงโปรดปล่อยหลานออกไปด้วยขอรับ จัดคนคุ้มกันหลานเดินทางไปยังสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ให้หลานไปเผชิญหน้ากับหนิวโหย่วเต้าอย่างซึ่งหน้า ปัญหาที่ท่านลุงกังวลถึงเมื่อครู่นี้ล้วนจะมิใช่ปัญหาอีกต่อไป เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์หลานมีวิธีคลี่คลายวิกฤตในครั้งนี้ได้แน่นอนขอรับ!”
เขาตระหนักได้ว่าอยู่ที่นี่ตนเสียเปรียบเกินไป หนิวโหย่วเต้าอยู่ในจุดรอยต่อของความขัดแย้ง พลิกแพลงไปตามสถานการณ์ได้ตลอดเวลา ส่วนตนอยู่ที่นี่ ไม่เพียงแต่จะมีความคลาดเคลื่อนในเรื่องของข่าวสาร แต่ข้อมูลที่ได้รับมาล้วนเป็นข่าวมือสองทั้งสิ้น เสียเปรียบเกินไป
เฉาเซิ่งไหวโผล่หางออกมาแล้ว เขามั่นใจว่าหากรีบไปยังสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ตนจะสามารถจัดการหนิวโหย่วเต้าให้ตายด้วยตัวเองได้ ดังนั้นจึงร้อนใจอยากออกไป
จงหยางซวี่เอ่ยว่า “ไม่จำเป็นต้องรบกวนเจ้าหรอก เจ้าสำนักเดินทางไปยังสำนักหมื่นสรรพสัตว์ด้วยตัวเองแล้ว”
เซ่าผิงปอร้อนรนแล้ว “ท่านลุง เจ้าสำนักหวงไปก็ทำอะไรได้ไม่มากขอรับ ไอ้สารเลวหนิวโหย่วเต้าคนนี้มีเพียงหลานที่รู้จักเขาดีที่สุด หากชักช้าต่อไปจะไม่ทันเวลาแล้วนะขอรับ!”
จงหยางซวี่หัวเราะฮ่าๆ “ข้าเข้าใจแล้ว ดูเหมือนในสายตาเจ้า ทั่วทั้งเป่ยโจวคงมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ยอดเยี่ยม คนอื่นล้วนเป็นตัวไร้ประโยชน์! เจ้าสงบใจกินอาหารของเจ้าไปเถอะ” ว่าจบก็หันหลังเดินออกไป ไม่สนใจอีก
“ท่านลุง! ท่านลุงขอรับ…” เซ่าผิงปอคว้าซี่ลูกกรง ตะโกนไม่หยุด
เซ่าซานเสิ่งยืนก้มหน้าเงียบงันอยู่นอกห้องขัง
ก่อนจะพ้นจากประตูคุกใต้ดินไป จงหยางซวี่เอ่ยสั่งการว่า “เพิ่มคนเฝ้าในคุกอีกคน”
ยังสืบเรื่องราวไม่กระจ่าง คนผู้นี้ก็อยากออกไปเสียแล้ว เขาจำเป็นต้องป้องกันไว้
เนื่องจากเคยประสบความสูญเสียเช่นนี้มาแล้ว ครั้งก่อนตอนที่ตระกูลเซ่าฆ่าฟันกันเองในครอบครัว ก็เป็นเพราะปล่อยให้คนผู้นี้ได้อาบน้ำ จึงทำให้เขาพลิกสถานการณ์ได้
โครม!
เสียงประตูคุกใต้ดินที่ปิดลงเป็นคำตอบสำหรับเสียงตะโกนของเซ่าผิงปอ เป็นการบอกอย่างชัดเจนว่าต่อให้เขาตะโกนจนคอแตกก็ไม่มีประโยชน์
เซ่าผิงปอที่เกาะซี่ลูกกรงมองไปทางประตูใหญ่ ดวงตาแทบลุกเป็นไฟ เมื่อครู่เขาอยากจะพูดออกไปจริงๆ หากพวกเจ้ามิใช่ตัวไร้ประโยชน์แล้วจะเป็นอันใดไปได้? หากไม่มีตัวข้าเซ่าผิงปอคอยสร้างรากฐานของมณฑลเป่ยโจวขึ้นมา สำนักเขามหายานของพวกเจ้าจะดีไปกว่าสำนักหยกสวรรค์ตรงไหน? หากไม่มีตัวข้าเซ่าผิงปอดึงสำนักเขามหายานของพวกเจ้าเข้ามาร่วมงานด้วย สำนักเขามหายานของเจ้าไหนเลยจะมีอาณาเขตใหญ่โตถึงเพียงนี้?
เคร้ง! เซ่าผิงปอเหวี่ยงเท้าเตะกล่องอาหารพลิกคว่ำ โมโหเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นก้มหน้าไอโขลกๆ ออกมาหลายครั้งอย่างไม่อาจควบคุมได้
ภายในคุกใต้ดิน มีการเพิ่มผู้บำเพ็ญเพียรอีกคนมาคอยจับตามองทางนี้ไว้…
ณ รังวิหค ภายในโพรงหินห้องหนึ่ง ผีเสื้อจันทราส่องแสงอยู่ด้านบน เฉินผิงนั่งอยู่บนหน้าผา จิตใจกระสับกระส่าย
หลังจากมอบแหวนกระดิ่งของอินทรีหยกทมิฬให้เฉาเซิ่งไหวไป ในใจเขาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว นึกเสียใจอยู่ตลอด ความหวาดกลัวตามติดเหมือนเงาตามตัว
“กว้าก…กว้าก…”
เสียงร้องสูงๆ ต่ำๆ ของอินทรีที่แว่วมาเลือนรางก็ยังไม่อาจเรียกสติของเขาให้กลับมาได้
“ศิษย์น้องเฉิน อย่ามัวแต่ใจลอย เกิดเรื่องแล้ว!” ศิษย์คนหนึ่งตะโกนเรียกอยู่หน้าประตูห้อง
เฉินผิงสะดุ้งโหยง พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ยามที่ผ่านเข้าไปในโพรงวิหคแห่งหนึ่ง เสียงอินทรีร้องดังแสบแก้วหู เห็นเพียงว่าวิหคยักษ์ที่หมอบอยู่ในรังหงุดหงิดงุ่นง่านเป็นอย่างยิ่ง หมุนไปหมุนมาไม่หยุด เสียงกรงเล็บแหลมคมครูดไถพื้นชวนให้คนเสียวฟัน
ท้ายที่สุด วิหคยักษ์ที่กระสับกระส่ายตัวนี้ก็กระโดดออกมาจากรัง กระโดดไปทางหน้าผา
เฉินผิงพุ่งตามออกไป ยืนอยู่ตรงริมผาหน้าปากโพรงแล้วมองออกไป เห็นเพียงว่าวิหคตัวนั้นกางปีกโผบิน ปีกขยับกระพืออยู่ภายใต้แสงจันทร์
กลางอากาศมีเงาดำของวิหคยักษโฉบวนเวียนไปทั่ว แต่ละตัวกรีดร้องเสียงแหลม ทำให้ค่ำคืนนี้ของสำนักหมื่นสรรพสัตว์มีเสียงดังโหวกเหวกโกลาหลไปหมด
….
ภายในลานเรือน หนิวโหย่วเต้าดูราวกับรูปสลักหิน อีกทั้งดูคล้ายว่ากำลังยืนหลับอยู่ ยืนค้ำกระบี่นิ่งๆ อยู่ตรงนั้น
มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังแว่วเข้ามา ทั้งยังมีกลิ่นกายหอมฟุ้งที่หนิวโหย่วเต้าคุ้นเคยดี ก่วนฟางอี๋อ้อมมาหยุดด้านหน้าเขา จ้องมองแล้วเอ่ยเย้าว่า “เต้าเหยี่ย ดึกดื่นค่อนคืนมายืนนิ่งอยู่ตรงนี้เหมือนภูตผี กำลังขบคิดวางแผนร้ายอันใดอีก?”
ในเวลานี้เอง หยวนกังสาวเท้าเดินเข้ามา เอ่ยเสียบขรึม “เต้าเหยี่ย ดูเร็วขอรับ!”
หนิวโหย่วเต้าลืมตาขึ้นมาทันที ก่วนฟางอี๋หันไปมอง เห็นเพียงว่าท่ามกลางภูเขาที่อยู่ไกลออกไปมีผีเสื้อจันทราจำนวนมากโบยบินไปมา ซ้ำยังมีเสียงวิหคร้องแสบแก้วหูแว่วเลือนรางเป็นพักๆ
หนิวโหย่วเต้ายื่นมือไปแตะไหล่ก่วนฟางอี๋
ก่วนฟางอี๋หันมองมือที่วางบนไหล่ตน ไม่ทราบว่าหนิวโหย่วเต้าคิดอะไรอยู่
ทันใดนั้น หนิวโหย่วเต้าดันมือดึงนางให้หลบไปด้านข้าง เนื่องจากนางบดบังทัศนวิสัย เขาขยับไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง ค้ำกระบี่ไว้ด้านหน้าอีกครั้ง จ้องมองภูเขาที่มีเงาแสงของผีเสื้อจันทราบินวุ่นวายที่อยู่ไกลอออกไป เอ่ยเสียงเรียบว่า “เริ่มแล้ว!”
ก่วนฟางอี๋มองภูเขาที่อยู่ไกลออก จากนั้นหันมองเขา ในใจประหลาดใจระคนสงสัย เริ่มอะไร?
……………………………………………………………………………