ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 517 ยืมเงินนิดหน่อย
ตอนที่ 517 ยืมเงินนิดหน่อย
ข่าวแพร่ไปถึงหูของเฉาเซิ่งไหวอย่างรวดเร็ว เฉาเซิ่งไหวคอยใส่ใจความเคลื่อนไหวของเรื่องนี้ตลอด ให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด
หลังจากทราบว่าเมื่อคืนมีวิหคตายที่ตีนเขารังวิหคอีกสองตัวเขาก็แปลกใจมากเช่นกัน แต่ก็กล่าวได้ว่ามีความดีใจมากกว่า เหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับวิหคทั้งสองตัวช่วยกลบเกลื่อนเรื่องการตายของห้าตัวที่เหลือได้
เขาสันนิษฐานว่าเป็นเพราะความแตกต่างด้านขนาดตัวของวิหคที่เป็นเหตุให้บางตัวมีการตอบสนองต่อฤทธิ์ยารุนแรงกว่า
อันที่จริงเขาก็ค่อนข้างมีความดีความชอบในการค้นหาซากศพห้าร่างนั้นด้วย หลังจากทราบว่าท่านปู่ตนรับผิดดูแลสืบสวนเรื่องราว เขาก็เข้าไปร่วมด้วยทันที มีบทบาทในการชักจูงอย่างลับๆ จนพบศพบางส่วน ถึงได้ทำให้ใช้เวลาค้นหาไม่นานจนเกินไป
เขาโล่งอกแล้ว แต่ใครบางคนกลับหวาดวิตกอย่างยิ่ง เมื่อเฉินผิงมีเวลาว่างก็มาหาเขาทันที มาที่กระท่อมน้อยในหุบเขาที่เขาพักอาศัยอยู่
ถึงแม้เฉาเซิ่งไหวจะเป็นหลานชายของเฉาจิ่ง แต่ยังมีขีดจำกัดด้านสถานะและคุณสมบัติ ยังไม่มีสิทธิ์ได้เข้าพักในเรือนแยก แต่ได้อาศัยในกระท่อมหลังหนึ่งเพียงลำพังก็นับว่ามีอภิสิทธิ์มากแล้ว
พอเฉินผิงผ่านประตูเข้าไป เฉาเซิ่งไหวก็ออกไปด้านนอกมองสำรวจรอบข้างครู่หนึ่งแล้วถึงถอยหลับเข้ามาในกระท่อมอย่างรวดเร็ว ชักสีหน้าใส่เฉินผิงกดเสียงต่ำตำหนิไปว่า “เกิดเรื่องกับหน่วยรวมวิญญาณอยู่ เจ้าจะมาหาข้าที่นี่ทำไม?”
เฉินผิงคว้าแขนเขาทันที “ศิษย์พี่ ท่านบอกข้ามาตามตรงเถิด เรื่องเมื่อคืนเป็นฝีมือท่านใช่หรือไม่?” เขามีสีหน้าหวาดหวั่นขึ้นมา
“ฝีมงฝีมืออันใด เจ้าพูดเหลวไหลอะไรอยู่?” เฉาเซิ่งไหวสะบัดแขนออก สีหน้าขุ่นเคือง “วาจาเช่นนี้เอ่ยส่งเดชได้หรือ?”
เฉินผิงร้อนรนแล้ว “เกิดอะไรขึ้นกับแหวนกระดิ่งห้าวงนั้น? อินทรีหยกทมิฬหายไปห้าตัว หากสืบสาวขึ้นมาข้าก็คงเลี่ยงความรับผิดไม่ได้”
เฉาเซิ่งไหวรู้ดีว่าเขากลัวจึงยื่นสองมือไปจับไหล่เขา เอ่ยกระซิบว่า “เจ้าวางใจเถอะ เรื่องจบลงแล้ว วิหคที่สูญหายไปห้าตัวนั้นตามหาพบแล้ว ตายไปหมดแล้ว ทางสำนักเองก็ค้นพบซากอินทรีหยกทมิฬห้าตัวนั้นแล้ว ไม่มีการสืบสาวเอาความต่อไปอีก ถ้าจะสืบหาก็สืบพียงสาเหตุการตายเท่านั้น”
ช่องทางข่าวสารของเฉินผิงไม่ฉับไวเท่าเขา เอ่ยด้วยความตะลึง “จริงหรือ?”
เฉาเซิ่งไหวถลึงตาใส่เขา “ข้าจะหลอกเจ้าไปไยเล่า? เรื่องใหญ่ขนาดนี้จะปกปิดกันได้หรือ? หากเจ้าไม่เชื่อก็กลับไปรอฟังข่าวเถอะ อีกไม่นานจะประกาศไปยังหน่วยรวมวิญญาณของเจ้าแน่ ศิษย์น้อง เจ้าทำใจให้สบายเถอะ ข้าไม่ทำเจ้าเดือดร้อนแน่นอน หากทำเจ้าเดือดร้อนข้าจะได้ประโยชน์ใดกัน มิใช่จะซวยไปด้วยหรอกหรือ”
พอได้ยินเขาพูดเช่นนี้ จิตใจอันกระสับกระส่ายของเฉินผิงก็สงบลงพอสมควร แต่ก็ลองถามหยั่งเชิงไปอีกว่า “ศิษย์พี่ เรื่องเมื่อคืนเป็นฝีมือท่านกระมัง?”
เฉาเซิ่งไหวปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “พูดจาเหลวไหล! เดิมทีข้าเพียงอยากหาโอกาสยืมอินทรีหยกทมิฬจำนวนหนึ่งไปอวดให้คนนอกดูเท่านั้น ใครจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ทำให้แผนการข้าล้มเหลวไม่เป็นท่า ว่ากันตามตรง จู่ๆ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นข้าก็แปลกใจมากเช่นกัน เจ้าต่างหากกลับไปต้องระวังไว้เล่า เมื่อวานเกิดเหตุกับวิหคของหน่วยแปรวิญญาณ ตกกดึกก็เกิดเรื่องขึ้นกับวิหคของหน่วยรวมวิญญาณอีก ดีไม่ดีอาจจะเป็นโรคระบาดที่แพร่ระบาดกันในหมู่วิหคก็ได้ จำเป็นต้องป้องกันไว้ เจ้าจัดการเรื่องราวของตนให้ดีเถิด หากสมควรเลี่ยงก็เลี่ยงไปเสีย อย่าปล่อยให้เกิดปัญหาขึ้น.Oระหว่างที่เจ้าเข้าเวรอีก”
เขาไม่มีทางบอกความจริงออกไป
เฉินผิงที่ยังคลางแคลงในคำพูดของเขาถูกไล่กลับไปเช่นนี้เลย
เฉินผิงเพิ่งไปได้ไม่นาน เกาหลานก็มาต่อ
“เจ้าอยากตายหรือไร? ไยจึงกล้ามาหาข้าในเวลานี้?” พอเห็นหน้าเฉาเซิ่งไหวก็ด่าทันที
เกาหลานกลัวมากจริงๆ เขารู้ดีว่าเรื่องราวเมื่อคืนเกี่ยวข้องกับการวางยาของตนแน่นอน
พอเข้าไปในกระท่อมปิดประตูแล้วก็ลากเฉาเซิ่งไหวเข้ามุมทันที “ศิษย์พี่ ท่านบอกว่าปริมาณยาเพียงเล็กน้อยไม่ถึงตายมิใช่หรือ? ท่านบอกว่ามีคนขวางหูขวางตาเพียงอยากหาโอกาสสร้างความเดือดร้อนให้คนผู้นั้นมิใช่หรือ? แล้วเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?”
เรื่องปริมาณยา เฉาเซิ่งไหวยังคิดจะไปถามหนิวโหย่วเต้าเช่นกันว่าเป็นมาอย่างไรกันแน่ หนิวโหย่วเต้าบอกเขาว่าหากใช้ยาในปริมาณน้อยจะไม่มีทางตายแน่นอน แต่ครั้งนี้ก็ตายไปสองตัวแล้ว
แต่หากว่ากันในอีกมุมหนึ่ง ก่อนจะลงมือเขาก็เคยจับสัตว์เล็กมาทดสอบดูเช่นกัน หากไม่แน่ใจก็ไม่มีทางผลีผลามลงมือ
เมื่อลองใคร่ครวญดูแล้ววิหคสองตัวที่ตายไปน่าจะไม่ได้ตายเพราะฤทธิ์ยา แต่หลังจากตัวยาออกฤทธิ์รุนแรงน่าจะกางปีกโผบินไม่ทันจึงหล่นร่วงลงไปที่ตีนเขา กลายเป็นตกเขาตายทั้งเป็น
“เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามผู้ใดเล่า เจ้าคิดว่าข้าอยากให้เป็นเช่นนี้หรือ? ศิษย์น้อง เหยียบเรื่องนี้ไว้ให้มิดเสีย อย่าได้เอ่ยถึงกับผู้ใด มิเช่นนั้นเจ้าไม่มีทางแบกรับความรับผิดชอบนั้นไหว”
“ศิษย์พี่ ต่อให้ข้าเก็บเงียบแล้วจะมีประโยชน์หรือ? หากสืบสาวขึ้นมาก็คือโทษตายสถานเดียว!”
“ศิษย์น้อง เรื่องกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว พวกเราได้แต่ทำเหมือนไม่เคยเกิดเรื่องใดขึ้นทั้งนั้น เจ้าวางใจเถอะ ขอเพียงเจ้าไม่ยอมรับก็ไม่มีผู้ใดสืบสาวความจริงได้ ก็อย่างที่เคยพูดไป หากเกิดเรื่องกับเจ้าข้าก็ไม่มีทางรอดตัวไปเช่นกัน ดังนั้นเจ้าทำใจให้สบายเถอะ ข้าไม่มีทางนิ่งเฉยกับเรื่องนี้แน่ ข้าจะไปขอให้คนช่วยจัดการกลบเกลื่อน ไม่มีทางปล่อยให้เรื่องเดือดร้อนมาถึงตัวเจ้าได้ ศิษย์น้อย เดี๋ยวจะหาว่าข้าไม่เตือนเจ้าไว้ก่อน ปิดปากเงียบไว้จะดีที่สุด ต่อให้เจ้าพูดถึงข้า ข้าก็ไม่มีทางยอมรับ ข้ามีคนเบื้องบนคอยช่วยพูดให้ เมื่อถึงเวลานั้นไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่จะซวย ขอเพียงเจ้าอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเรื่องจะจบลงแน่นอน พวกเราจะกลายเป็นคนที่ลงเรือลำเดียวกันหรือจะกลายเป็นศัตรูกันก็ขึ้นอยู่กับเรื่องนี้แล้ว…”
เปลืองน้ำลายอยู่นานพักใหญ่ ในที่สุดก็ไล่เกาหลานกลับไปได้
เฉาเซิ่งไหวก็ไม่ได้อยู่ว่างเช่นกัน เขาก็นับว่าเป็นอิสระจากการจับตามองของสายสกุลเฉาแล้ว ดังนั้นจึงปลีกตัวไปหาทางหนิวโหย่วเต้าอย่างเงียบเชียบ…
“เต้าเหยี่ย แขวนธงแล้วครับ”
หนิวโหย่วเต้านั่งสมาธิพักผ่อนสงบใจอยู่ในห้อง หยวนกังเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปกระซิบแจ้งให้ทราบ
หนิวโหย่วเต้าลืมตาขึ้นมา ยิ้มน้อยๆ เอ่ยไปว่า “เจ้าหนี้มาแล้ว เด็กคนนี้มีความสามารถใช้การได้ ฉันก็ชื่นชมมากเหมือนกัน แต่น่าเสียดาย ไปตามหงเหนียงมาที”
หยวนกังหันหลังเดินออกไป
รอจนหนิวโหย่วเต้าเดินเอื่อยเอยพ้นประตูห้องออกมา ก่วนฟางอี๋ก็เดินนวยนาดมาถึง ตะโกนถามมาแต่ไกล “เต้าเหยี่ย มีเรื่องใดจะสั่งการเล่า?”
หนิวโหย่วเต้ายืนค้ำกระบี่ รอจนนางเข้ามาใกล้จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ขอยืมเงินหน่อยเถิด”
คุยเรื่องเงินหรือ? ก่วนฟางอี๋ชักสีหน้าทันที ท่าทางไม่อยากคุย ยกสองแขนกอดอก เบือนหน้าหนีพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ไม่มีเงิน! เจ้าก็ช่างกล้าพูดออกมาได้ บุรุษตัวโตคนหนึ่งอยู่ว่างๆ ก็มาแบมือขอเงินสตรี ยังมีศักดิ์ศรีอยู่หรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยไปว่า “ก่อนหน้านี้ก็ให้เจ้าไว้ไม่น้อยนี่”
“ก่อนหน้านี้หรือ?” ก่วนฟางอี๋ยิ้มออกมา “เจ้ารู้จักคำว่าก่อนหน้านี้ด้วยหรือ? ถูกต้อง เจ้าให้เงินข้าไว้นิดหน่อย แต่ขณะเดียวกันเจ้าก็โยนคนกลุ่มหนึ่งมาให้ข้าคอยดูแลด้วย ฝั่งนี้ก็ไม่มีทางเอาเปรียบแน่ ไหนจะมีตัวเจ้าเองอีก โอสถวิญญาณทุกเม็ดที่เจ้าใช้บำเพ็ญเพียรล้วนเป็นโอสถชั้นเลิศ ของเหล่านี้ก็เป็นข้าจ่ายเงินซื้อหามาทั้งสิ้นมิใช่หรือ?”
หนิวโหย่วเต้ายังคงหัวเราะแล้วเอ่ยไปว่า “ถึงเป็นเช่นนั้นก็ไม่ได้จ่ายไปมากมายขนาดนั้นกระมัง”
แต่ก่วนฟางอี๋ไม่ยอมตอบตกลง “เจ้าบอกเองว่าให้ข้า ในเมื่อให้ข้าแล้วคิดจะเอาคืนไปมันสมเหตุสมผลหรือ? อยู่ในมือข้าแล้วก็คือของข้า ไม่มีเงินแล้ว!”
“ดูเจ้าเถอะ ไยต้องทำตัวเป็นคนขี้งกเล่า ข้าบอกแล้วไงว่ายืม ยืมเงินจากเจ้าแล้วจะคืนให้เจ้าทีหลัง”
“ไม่ให้ยืม”
“คืนให้สองเท่าเลย”
“พูดจาน่าฟังยิ่งกว่าขับร้องเสียอีก แต่จะได้คืนตอนไหนก็ยังไม่รู้ ยังจะบอกว่าคืนสองเท่าอันใดอีก สุดท้ายก็เพียงขายฝันให้ข้าเท่านั้น”
“ไม่ให้จริงๆ น่ะหรือ?”
“บอกว่าไม่ให้ก็คือไม่ให้”
“หากเจ้าไม่ให้จริงๆ ข้าไปหาทางสำนักหมื่นสรรพสัตว์ก็ได้”
“ฮ่าๆ!” ก่วนฟางอี๋โบกมือล้อเลียน “ไปสิไปเลย ในเมื่อไปขอจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์ได้แล้วจะมาหาข้าอีกทำไมเล่า รีบไปเถอะ ขอกลับมาให้มากหน่อยก็ดี”
หนิวโหย่วเต้าร้องไอ๊หยาออกมาเนิบๆ “ลืมบอกเจ้าไปเลย หลังจากเหวินซินจ้าวตบหน้าเจ้าสองฉาก โฉวซานมากหาข้า นำเงินหนึ่งล้านเหรียญทองมามอบให้ข้าเพื่อยุติเรื่องราว เงินไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้ข้าไหนเลยจะรับไว้ได้ ข้าเลอะเลือนไปชั่วขณะแล้ว ดันปฏิเสธไปเสียได้ ช่างเถิด เดี๋ยวข้าไปขอกลับมาจากโฉวซานแล้วกัน” ว่าจบก็เดินยันกระบี่เตรียมออกไป
ก่วนฟางอี๋หุบยิ้มทันที สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “หยุดก่อน!”
หนิวโหย่วเต้ายังไม่ได้เริ่มก้าวเดินเลยด้วยซ้ำ เขายกกระบี่มายันไว้ด้านหน้าอีกครั้ง “มีเรื่องใดจะชี้แนะหรือ?”
ก่วนฟางอี๋ขบริมฝีปาก เอ่ยไปว่า “โฉวซานนำเงินหนึ่งล้านเหรียญทองมาให้เพื่อยุติเรื่องที่เหวินซินจ้าวตบข้าสองฉาดจริงๆ น่ะหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ข้าจะเอาเรื่องเช่นนี้มาหลอกไปไย เอาเช่นนี้เถอะ เจ้าไปกับข้าแล้วกัน ให้เจ้าไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง เอาหรือไม่?”
ก่วนฟางอี๋กัดฟันกรอดด้วยความชิงชัง หลังจากติดตามคนผู้นี้ก็ถูกคนผู้นี้รีดไถอยู่ตลอด ไอ้สารเลวคนนี้มักจะมีวิธีบังคับตนให้ยอมอ่อนข้อเสมอ นางกล้ำกลืนโทสะนี้ไม่ลงเลยจริงๆ แต่ก็จนปัญญาจะทำอันใดคนเขาได้ ได้แต่กัดฟันเอ่ยไปว่า “พูดมา จะเอาเท่าไร?”
หนิวโหย่วเต้าชูนิ้วหนึ่งขึ้นมา “ไม่มาก หนึ่งล้านเหรียญทอง!”
ก่วนฟางอี๋ถลึงตาใส่ “เงินหนึ่งล้านเหรียญทองสามารถกลบฝังเจ้าให้ตายทั้งเป็นได้ยังไม่เรียกว่ามากอีกหรือ? เช่นนั้นต้องมีจำนวนเท่าไรถึงจะเรียกว่ามาก? คนแซ่หนิว ข้าเห็นเจ้าใช้เงินอย่างไม่มีหัวคิดเลย ควักออกมาเป็นแสนๆ ได้ในคราวเดียว คิดว่าเงินมันเก็บได้ตามทางงั้นหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าส่ายนิ้วไปมา “เลิกบ่นจู้จี้แล้วรีบเอาเงินมาให้ข้า”
ก่วนฟางอี๋หันหลังไปอย่างชิงชัง ไม่ทราบเช่นกันว่าหลบเลี่ยงหนิวโหย่วเต้าไปคลำหาอะไร แต่พอหันกลับมาอีกครั้ง พันธบัตรของโรงฝากเงินใต้หล้าฉบับหนึ่งก็ฟาดเข้ามาที่หน้าของหนิวโหย่วเต้า “รับไว้แล้วไปตายซะ!”
หนิวโหย่วเต้ายื่นมือไปกันไว้ คว้าพันธบัตรมาพลิกดูอยู่ครู่หนึ่ง เป็นพันธบัตรเงินฝากหนึ่งล้านเหรียญทองของโรงฝากเงินใต้หล้า ไม่ต่างไปจากตั๋วแลกเงินมูลค่าหนึ่งล้านเหรียญทองเลย เพียงมีพันธบัตรนี้ก็สามารถถอนเงินจากโรงฝากเงินใต้หล้าได้ทุกเมื่อ
หนิวโหย่วเต้ายิ้มร่าแล้วเก็บเข้าแขนเสื้อ “ให้ข้าแต่แรกฏ้จบแล้ว ต้องให้เปลืองน้ำลายเช่นนี้ไปไย”
“ให้งั้นหรือ?” ก่วนฟางอี๋เอ่ยอย่างดุดัน “พูดให้มันถูกหน่อย เป็นการยืม ยืมแล้วชดใช้คืนสองเท่า!”
“ใช่ๆๆ เป็นการยืม จะชดใช้คืนสองเท่า ขอบคุณมา” หนิวโหย่วเต้ายิ้มร่าพลางอ่ยขอบคุณ จากนั้นเดินยันกระบี่ลงบันไดไป
“ตลอดหลายปีที่ข้าอยู่ในสวนไม้เลื้อยมีแต่บุรุษมาให้เงินข้า ดันมาพบเจอแมงดาอย่างเจ้าที่เอาแต่เกาะขอเงินข้าถือเป็นความซวยแปดชาติของข้า…” ก่วนฟางอี๋ด่าไล่หลังเขาอยู่พักหนึ่ง
หนิวโหย่วเต้าโบกมือให้ทั้งทีหันหลังอยู่ ไม่ใส่ใจเสียเลย…
….
ณ ธารน้ำในหุบเขา ทั้งสองคนมาพบอีกครั้งโดยที่คนหนึ่งอยู่ในที่ลับอีกคนอยู่ในที่แจ้ง
ทั้งสองฝ่ายเริ่มพูดคุยกัน เฉาเซิ่งไหวเอ่ยขึ้นทันที “อินทรีหยกทมิฬห้าตัวส่งมอบให้คนของเจ้าไปแล้ว เจ้าอย่าได้บอกเชียวเล่าว่าเจ้าไม่ได้รับไป”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ใช่คนชอบเบี้ยวหนี้ ทำได้ไม่เลวเลย ได้รับมาแล้ว”
เฉาเซิ่งไหวถาม “เงินเล่า?”
หนิวโหย่วเต้ากวาดตามองรอบข้างอย่างเงียบเชียบครู่หนึ่ง ดีดพันธบัตรที่ถูกขยำเป็นก่อนออกไปด้วยท่าทางคล้ายจะไม่ใส่ใจ ดีดเข้าไปในรอยแยกผาหินด้านหลังซุ้มบุปผา
ผ่านไปครู่หนึ่ง เฉาเซิ่งไหวเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ “หนึ่งล้านงั้นหรือ? ตกลงกันไว้ตัวละล้านมิใช่หรือไร? ข้ามอบให้เจ้าไปห้าตัว”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “รีบร้อนไปไย ไม่เอาเปรียบเจ้าแน่นอน เพียงแต่ไม่ได้พกเงินติดมาด้วยมากมายขนาดนั้น อยู่เฉยๆ คงไม่มีผู้ใดพกเงินก้อนใหญ่ติดตัวไว้ให้เป็นภัยแก่ตัวเองกระมัง? วางใจเถอะ เดี๋ยวจะส่งคนติดต่อไปหาเจ้าทีหลัง จะมอบเงินให้เจ้าโดยไม่ตกหล่นไปแม้แต่แดงเดียวแน่นอน”
………………………………………………………………………………………….