ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 521 จดหมายฉบับหนึ่ง
ตอนที่ 521 จดหมายฉบับหนึ่ง
หลังจากกลับมาถึงเรือนรับรอง หวงเลี่ยหยุดเดินกะทันหัน หันซ้ายหันขวาเล็กน้อย “เรื่องเซ่าผิงปอเป็นคนของหอจันทร์กระจ่าง พวกเจ้าว่าเป็นไปได้หรือไม่?”
สองผู้อาวุโสที่เดินตามหยุดเดินแล้วมองหน้ากัน หวงทงเอ่ยอย่างลังเล “คำพูดของคนผู้นั้นดูมีเค้าโครงจริง แต่พวกเราก็รู้ดีเช่นกันว่าคนผู้นั้นไม่มีเจตนาดีแน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าจริงหรือเท็จ อีกอย่างต่อให้เป็นความจริง ถึงตายเซ่าผิงปอก็ไม่ยอมรับ หากเป็นเรื่องเท็จแล้วพวกเราถือเป็นจริงเป็นจัง ไม่ตกหลุมพรางคนผู้นั้นเข้าหรอกหรือ? เขาก็แสดงออกชัดเจนว่ามุ่งร้ายต่อหนิวโหย่วเต้า”
หวงเลี่ยนเดินวนกลับไปกลับมา สีหน้าเคร่งเครียด “ไม่ว่าจริงหรือเท็จ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย สำนักเขามหายานเราทำงานหนักมานานหลายปี ไหนเลยจะปล่อยให้คนอื่นได้ประโยชน์ไป ต่อให้ไม่ยอมตกหลุมพรางของไอ้ชั้นต่ำคนนั้นก็ไม่สามารถวางเฉยได้เช่นกัน แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้จำเป็นต้องระวังอย่างยิ่งยวด ไม่อาจปล่อยให้ตัวเองเกิดปัญหาทั้งภายนอกและภายในได้ อย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่น จับตามองเซ่าผิงปอไปก่อน จัดการปัญหาภายนอก ณ ปัจจุบันนี้ให้แล้วเสร็จ รักษาสถานการณ์กับภายนอกให้มั่นคงก่อน จากนั้นค่อยดำเนินการสอบสวนเซ่าผิงปอ!”
ตอนนี้ต้องทำให้สถานการณ์โดยรวมมั่นคงก่อนจริงๆ ผู้อาวุโสทั้งสองพยักหน้าพร้อมกันต่างเห็นด้วย “เจ้าสำนักกล่าวถูกแล้ว!”
หวงเลี่ยกดมือลงเล็กน้อย ไม่คิดจะฟังคำป้อยอในเวลานี้ เขาเอ่ยอย่างใช้ความคิด “มีเรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องป้องกันไว้ คำพูดหนิวโหย่วเต้าเปี่ยมคารมคมคาย เกรงว่าคงไม่ธรรมดาเลย ทุกคนต้องระมัดระวังเอาไว้ หากมีความผิดปกติใดๆ จำเป็นต้องตื่นตัวไว้เสมอ!”
….
หลายวันต่อมา สำนักใหญ่ทั้งหลายที่พำนักอยู่ในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ช่วงนี้ สำนักใดสมควรไปเยี่ยมคารวะล้วนแวะเวียนไปเยี่ยมมาแล้ว
ไปพบตามหลักมารยาทก็เป็นรื่องหนึ่ง ตั้งใจทำความรู้จักสานสัมพันธ์เอาไว้ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ประเด็นสำคัญคือทำไปเพื่อปกปิด ปกปิดเรื่องที่เขาเคยไปเข้าพบหกสำนักใหญ่ของแคว้นเยี่ยนและแคว้นหาน ด้วยไม่อยากให้สามสำนักใหญ่ฝั่งแคว้นหานสงสัยและไม่อยากให้สามสำนักใหญ่แคว้นเยี่ยนสงสัยเช่นกัน
การเจรจายังอยู่ระหว่างดำเนินการ หวงเลี่ยจำเป็นต้องจากไปแล้วเช่นกัน ไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่จนได้บทสรุปของการเจรจา เนื่องจากไม่อาจปล่อยให้การเจรจาสำเร็จผลได้
เจรจากันมาถึงขั้นนี้แล้ว ทางหกสำนักใหญ่ปรากฏสัญญาณการยอมผ่อนปรนแล้ว สำนักเขามหายานกำจำเป็นต้องประนีประนอมไปตามสถานการณ์ แต่เดิมทีทางฝั่งนี้ต้องการให้การเจรจาล้มเหลวเป็นโมฆะ ไม่มีทางยอมประนีประนอม หากว่าหกสำนักยอมผ่อนปรนถอยให้ แต่ทางนี้กลับไม่ยอมรอมชอม ผู้นำหกสำนักใหญ่อาจจะมาหาเขาอย่างเปิดเผยเพื่อเจรจาก็เป็นได้
ดังนั้นเขาจำเป็นต้องจากไป มีเพียงเขาจากไปและกลับถิ่นฐานไปถึงจะสามารถจัดการกับทางนี้อย่างเสรีได้ คนที่รั้งอยู่เจรราก็สามารถเล่นตัวเล็กน้อยอย่างพอเหมาะได้ ถ่วงเวลาไว้ต่อไป ผลลัพธ์ย่อมเจรจาไม่เป็นผล
หลังจากให้คนไปรายงานแล้ว หวงเลี่ยก็พาทั้งคณะมุ่งหน้าไปยังอาคารหลักของสำนักหมื่นสรรพสัตว์…ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
“เต้าเหยี่ย ชักธงแล้วครับ”
หนิวโหย่วเต้ากำลังเดินหมากกับกวนฟางอี๋อยู่ หยวนกังเดินฉับๆ เข้ามา เดินเข้ามาในศาลาแล้วโน้มตัวลงไปกระซิบบอกข้างหูหนิวโหย่วเต้าเบาๆ
ก่วนฟางอี๋เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ทนมองทั้งสองคนปฏิบัติเหมือนคนเป็นคนนอกไม่ได้
หนิวโหย่วเต้าได้ฟังก็ลุกขึ้น ยัดเบี้ยตัวหนึ่งใส่มือหยวนกัง “ถึงตาข้าวางหมากแล้ว เจ้าช่วยเล่นแทนข้าที” ว่าจบกันก็เดินยันกระบี่ออกไป
ภายในศาลา หยวนกังยืน ก่วนฟางอี๋นั่ง ทั้งสองจ้องตากันอยู่พักหนึ่ง
เกิดเสียงดังกราว หยวนกังโยนตัวเบี้ยลงไปในกระดานหมากแล้วหันหลังเดินจากไป แสดงออกชัดเจนว่าคร้านจะเสียเวลากับห่วนฟางอี๋
“คนเลว!” ก่วนฟางอี๋ก่นด่าอย่างเกรี้ยวกราดไล่หลังหยวนกังไป
ริมธารหุบเขาคล้ายจะเป็นสถานที่ที่หนิวโหย่วเต้าชอบไปใคร่ครวญปัญหา
หนิวโหย่วเต้ามักจะออกไปเดินเล่นวนไปวนมาอยู่ริมธารหุบเขา ทก้มหน้าก้มตาท่าทางคล้ายว่าขบคิดเรื่องราวอยู่จริงๆ
มีเพียงหยวนกังที่ยืนสอดส่องเฝ้าระวังรอบข้างอยู่ริมผาเท่านั้นที่รู้ว่าหนิวโหย่วเต้าทำอะไรอยู่
เฉาเซิ่งไหวที่ซ่อนตัวอยู่ในรอยแยกผาหินด้านหลังซุ้มบุปผามองเห็นหนิวโหย่วเต้าลูบจมูกเล็กน้อย ได้รับสัญญาณบอกว่าปลอดภัยแล้วสามารถพูดได้แล้ว เขาถึงเอ่ยออกไปว่า “คณะสำนักเขามหายานกำลังจะไปแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าชะงักเท้า “เมื่อไร”
เฉาเซิ่งไหวตอบว่า “คาดว่าเร็วๆ นี้ กำลังไปกล่าวอำลาท่านเจ้าสำนักที่อาคารหลักอยู่ ทันทีที่ข้าได้ยินข่าวก็มาหาเจ้าทันที ไม่ปล่อยให้ธุระของเจ้าต้องล้าช้าเลย”
ไหนเลยจะเป็นเพราะกลัวทำให้ธุระของหนิวโหย่วเต้าล่าช้า แต่พะวงกับเรื่องทวงหนี้ของหนิวโหย่วเต้าต่างหาก
หนิวโหย่วเต้าตอบรับ “ได้ ข้าทราบแล้ว ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?”
เฉาเซิ่งไหวกล่าวว่า “ไม่มีแล้ว…หวงเลี่ยคนนั้นติดเงินเจ้าจริงๆ น่ะหรือ?” อันที่จริงเขายังคงสงสัยอยู่ สงสัยว่าหนิวโหย่วเต้ากำลังหลอกใช่เขาอยู่ใช่หรือไม่
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “แน่นอนว่าติดค้างอยู่”
เฉาเซิ่งไหวเอ่ยว่า “สำนักเขามหายานน่าจะทรงอำนาจกว่าเจ้ากระมัง เขาจะยอมคืนเงินเจ้าหรือ?”
“ความหมายที่เจ้าจะสื่อคือผู้ใดทรงอำนาจก็สามารถค้างชำระหนี้ได้ ข้าก็ตามทวงไม่ได้งั้นหรือ?”
“ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนี้ ข้าเพียงคิดว่ามันเป็นเรื่องยากเท่านั้น”
“ถึงจะเป็นเรื่องยากก็ต้องไปทวงให้ได้ เจ้ารอก่อนเถิด ข้าจะไปขวางเขาไว้เดี๋ยวนี้”
พอกลับไปพบกับหยวนกังที่ริมผา หนิวโหย่วเต้าหัวเราะหยันเอ่ยไปว่า “หวงเลี่ยกำลังจะไปแล้ว ฮ่าๆ คิดหนีงั้นหรือ? ตอนนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความต้องการของเขาแล้ว ไปหยิบจดหมายออกมาฉบับหนึ่ง”
หยวนกังพยักหน้าเล็กน้อย หันหลังเดินกลับเข้าไปในเรือนอย่างรวดเร็ว
หนิวโหย่วเต้าก็เดินยันกระบี่กลับเข้าไปในลานเรือน มองเห็นก่วนฟางอี๋ยืนโบกพัดกลมอยู่ใต้ต้นไม้เงยหน้าจ้องใบไม้อยู่ไม่รู้ว่ากำลังมองสิ่งใดกัน เขาไม่ได้เข้าไปหาแต่ตะโกนออกไปว่า “สวี่เหล่าลิ่ว”
ก่วนฟางอี๋ได้หันมาตามเสียง ไม่ทราบว่าจู่ๆ เขาจะตะโกนดังขนาดนั้นทำไม
สวี่เหล่าลิ่วได้ยินเสียงก็โผล่ออกมาจากเรือนด้านหลัง ก้าวเข้ามาหาประสานมือคำนับ “เต้าเหยี่ย!”
หนิวโหย่วเต้าไม่ได้พูดอะไร ยกมือขึ้นเล้กน้อยสื่อว่าให้เขาคอยสักครู่ ส่วนตัวเองก็ยืนค้ำกระบี่รออยู่ตรงนั้นเช่นกัน
สวี่เหล่าลิ่วหันไปมองก่วนฟางอี๋ที่เดินนวยนาดเข้ามา สอบถามผ่านสายตา จนใจที่ก่วนฟางอี๋ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นเรื่องอะไร
หยวนกังเดินกลับมาอย่างรวดเร็ว ยืนจดหมายลับที่ผ่านการปิดผนึกใหม่อีกครั้งให้แก่หนิวโหย่วเต้า
หนิวโหย่วเอียงคอส่งสัญญาณไปทางสวี่เหล่าลิ่ว หยวนกังย่อมจัดการตามที่สั่ง
สวี่เหล่าลิ่วก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าหมายความว่าอย่างไร “เต้าเหยี่ย นี่คือ…”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “หวงเลี่ยเจ้าสำนักเขามหายานกำลังจะไปแล้ว เจ้าจงรีบนำจดหมายไปคอยอยู่หน้าประตูสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ดักคนเอาไว้แล้วมอบจดหมายให้เขา”
ก่วนฟางอี๋พอจะมองออกแล้ว อย่ามองเพียงว่าทางนี้เอาแต่เดินเล่นเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้ทั้งวัน ความจริงแล้วทราบสถานการณ์ภายนอกชัดเจนนัก
“ขอรับ!” สวี่เหล่าลิ่วพยักหน้ารับ จากนั้นถามขึ้นมาอีกครั้ง “แล้วข้าต้องตอบว่าอย่างไรขอรับ?”
“ไม่จำเป้นต้องตอบ หากเขาอยากจะมา เจ้านำทางเขามาก็พอ รีบไปเถอะ!” หนิวโหย่วเต้าบัดแขนเล็กน้อย จากนั้นเดินยันกระบี่ไปทางศาลาในสวน
สวี่เหล่าลิ่วเก็บจดหมายใส่อกเสื้อแล้วรีบเดินออกไป
หยวนกังมองตามไปเล็กน้อย ทราบแก่ใจดีว่าเต้าเหยี่ยเริ่มเรียกใช้คนของสวนไม้เลื้ออย่างเปิดเผยแล้ว แปลว่ากำลังจะเผยไพ่ตายเพื่อรวบแหและแปลว่าต่อให้เกิดเหตุขัดข้องเล็กน้อยขึ้นก็ไม่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์โดยรวมแล้ว แผนใหญ่ที่เต้าเหยี่ยวางไว้มาเนิ่นนานจะถูกตัดสินแล้ว!
ซึ่งนี่คือจุดที่เขาเลื่อมใสในตัวเต้าเหยี่ยที่สุดนับตั้งแต่ติดตามเต้าเหยี่ยมาเนิ่นนาน เต้าเหยี่ยยังคงเป็นเต้าเหยี่ยที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการคนนั้น!
ทุกครั้งที่อยู่ในช่วงเวลาเช่นนี้ หยวนกังจำเป็นต้องยอมรับอยู่ในใจเลยว่าเต้าเหยี่ยเป็นยอดคนเลิศล้ำที่ควบคุมโลกไว้ในมืออย่างแท้จริง ทรงอำนาจพลิกสถานการณ์ได้ ทำให้คนเลื่อมใสศรัทธา!
เขาเคยคิดจะเอาเยี่ยงอย่างเช่นกัน แต่ก็จำต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงว่าคนเราแตกต่างกันไปจริงๆ ถึงแม้จะมีประสบการณ์เช่นเดียวกันก็ยากจะมีบุคลิกแบบเดียวกันได้
ซึ่งนี่ก็คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดในปีนั้นเขาถึงแนะนำหนิวโหย่วเต้าให้แก่ซางซูชิง เพราะเขารู้ดีว่าความสามารถของตนอ่อนด้อย เขารู้ดีว่าเป็นใครที่สามารถช่วยเหลือสองพี่น้องสกุลซางให้พ้นจากวิกฤตได้อย่างแท้จริง
ก่วนฟางอี๋เดินเข้ามาในศาลา นั่งลงตรงข้ามหนิวโหย่วเต้า ลองถามหยั่งเชิง “ในจดหมายเชียนอะไรไว้?”
หนิวโหย่วเต้าจ้องมองพิจารณากระดานหมาก เอ่ยอย่างไม่อนาทรว่า “อีกเดี๋ยวก็รู้เอง จะมีแขกมาเยือนแล้ว ไปจัดเตรียมชาสักกาไว้ก่อนเถอะ”
ก่วนฟางอี๋กลอกตาใส่เขา แต่ก็ยังคงลุกไปจัดเตรียมน้ำชามา…
ณ ประตูสำนัก ภายในซุ้มประตูสูงใหญ่ เฉียดฉิวเหลือเกิน สวี่เหล่าลิ่วเกือบจะมาสายไปแล้ว เขาเพิ่งมาถึงหวงเลี่ยก็เดินนำกลุ่มคนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ออกมาแล้ว
โฉวซานได้คำไหว้วานจากซีไห่ถังออกมาส่งแขกด้วยตัวเอง
สวี่เหล่าลิ่วปราดเข้าไปขวางทางทันที ประสานมือเอ่ยขึ้นว่า “น้อมพบเจ้าสำนักหวง”
หวงเลี่ยไม่รู้จักมักคุ้นกับเขาและไม่ทราบว่าเขาชื่ออะไร แต่ครั้งก่อนตอนที่หนิวโหย่วเชิญไปกินเลี้ยงเคยหน้าในเรือนรับรองของหนิวโหย่วเต้ามาก่อน ทันทีที่เห็นก็ทราบแล้วว่าเป็นคนของหนิวโหย่วเต้า อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มีธุระใด?”
สวี่เหล่าลิ่วล้วงจดหมายออกมา ยื่นส่งให้ด้วยสองมือ “เต้าเหยี่ยสั่งให้นำจดหมายมาส่งมอบต่อเจ้าสำนักหวงขอรับ”
หวงเลี่ยหัวเราะหยันคราหนึ่ง มองโฉวซานที่อยู่ด้านข้าง เอ่ยอย่างมีนัยยะ “พี่โฉว ดูเหมือนหนิวโหย่วเต้าจะทราบความเคลื่อนไหวของข้าในสำนักหมื่นสรรพสัตว์เป็นอย่างดีเชียวนะ ข้าขอตัวลาจากไปกะทันหันก็ยังทราบในทันทีอีก ไม่ธรรมเลย” มีนัยยะบ่งชี้ในวาจา
โฉวซานยิ้มน้อยๆ ทราบดีว่าอีกฝ่ายอาจจะสื่อว่าภายในสำนักหมื่นสรรพสัตว์มีปัญหาอันใดอยู่หรือไม่
ปัญหาในส่วนนี้เขาก็ตอบลำบากเช่นกัน สำนักหมื่นสรรพสัตว์กิจการใหญ่โต สำนักใหญ่โตย่อมมีคนสารพัดประเภทอยู่ปะปน ยิ่งไปกว่านั้นคือใครบ้างจะไม่มีคนรู้จักภายนอกอยู่เลย การติดต่อคบค้ากับคนนอกเป็นเรื่องที่ไม่อาจเลี่ยงได้อยู่แล้ว ด้วยกิจการของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ก็จำเป็นต้องมีสายสัมพันธ์เหล่านี้ไว้
กฎสำนักเป็นสิ่งตายตัว แต่จิตใจคนกลับปรับเปลี่ยนได้ เงื่อนไขผูกมัดไม่ถึงขั้นที่ทำให้ไร้การกระทำผิดอย่างสิ้นเชิงได้ ไม่ว่าที่ไหนก็เป็นเหมือนกันหมด ก็อย่างตัวเขาเองที่เผชิญกับคำขอร้องจากเฉินถิงซิ่วก็จำเป็นต้องช่วยเหลือไปเล้กน้อย
หากว่าเกิดปัญหาใดขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าหากสืบสาวไปจะพบผู้ใดอยู่เบื้องหลัง ในสถานการณ์ที่ไร้ซึ้งหลักฐานและมิใช่เรื่องใหญ่อันใดก็ไม่มีทางจะลงมือจัดการอะไรง่ายๆเพียงเพราะคำพูดเลื่อนลอยไร้มูลของคนนอก
ดังนั้นเขาได้แต่ยิ้มให้ไม่พูดอะไร อย่างมากก็จะคอยระวังไว้เท่านั้น
หวงเลี่ยก็อยากเห็นเช่นกันว่าหนิวโหย่วเต้าจะเขียนเพ้อเจ้ออันใดมาให้ตนอ่าน เขารับจดหมายไปแล้วโคจรพลังตรวจสอบเล็กน้อย จากนั้นก็เปิดผนึกซองจดหมาย หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่พับทบกันมาหลายชั้นออกมากางให้เรียบแล้วเปิดอ่าน
ไม่อ่านยังว่าดี แต่พออ่านแล้วหน้าเปลี่ยนสีในทันใด รีบคว่ำจดหมายลงแล้วพับทบไว้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว ลงมือว่องไวนัก ราวกันไม่อยากให้คนอื่นได้เห็น เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาหลบเลี่ยงคนอื่น
โฉวซานแปลกใจ หนิวโหย่วเต้าเขียนอะไรส่งมากันแน่ถึงทำให้หวงเลี่ยมีปฏิกิริยามากขนาดนี้
อย่าว่าแต่เขาเลย คณะสำนักเขามหายานก็ฉงนมากเช่นกัน
หวงเลี่ยยัดจดหมายกลับเข้าไปในซอง สายตาที่จ้องมองสวี่เหล่าลิ่วแฝงความเย็นชาไว้หลายส่วน เอ่ยเสียงกร้าวว่า “หนิวโหย่วเต้าอยู่ที่ใด?”
เหล่าลิ่วบ่นอยู่ในใจแต่ฉากหน้ากลับตอบอย่างสุภาพว่า “ไม่ได้ไปที่ใด ยังอยู่ที่เรือนรับรองขอรับ”
หวงเลี่ยหันหน้าไป ตีสีหน้ายิ้มแย้มถือจดหมายไว้พลางประสานมือกล่าวว่า “พี่โฉว ขออภัยจริงๆ หนิวโหย่วเต้าส่งจดหมายมาเชิญต้องการหารือเรื่องบางอย่างกับข้า ข้าจำต้องไปหาสักรอบ ลำบากพี่โฉวมาเสียเที่ยวแล้ว ขออภัยด้วยจริงๆ”
“ไม่เป็นไรๆ เชิญตามสบายเถิด!” โฉวซานตอบอย่างสุภาพ
คณะผู้ติดตามสำนักเขามหายานส่งสายตาสื่อสารกันเงียบๆ บางก็มองหน้ากันไปมา ตระหนักได้ว่าเรื่องราวน่าจะไม่ธรรมดา
หวงเลี่ยโบกมือเล็กน้อย พาผู้ติดตามย้อนกลับไป
สวี่เหล่าลิ่วก้าวเข้าไปนำทางให้อย่างสุภาพอ่อนน้อม แต่ในใจกลับแปลกใจนัก ค่อนข้างเลื่อมใสในตัวหนิวโหย่วเต้าขึ้นมา บอกว่ามอบจดหมายให้แล้วหวงเลี่ยจะยอมมา หวงเลี่ยก็ยอมมาจริงๆ!
โฉวซานยกมือไพล่หลังมองตามด้วยสีหน้าสงสัย ลอบบ่นในใจ โกหกกันชัดๆ หนิวโหย่วเต้าจะมีความสำคัญได้ขนาดนี้เชียวหรือ? ให้เจ้าไปหาเจ้าก็ต้องไปงั้นหรือ? เจ้าเป็นถึงเจ้าสำนักเขามหายานอยู่ทรงเกียรติแต่เชื่อฟังปานนี้เลยหรือ? ไม่ใช่ว่าควรจะกลับกันหรือไร? เพิ่งจะออกมาได้ไม่ไกลเท่าไร หากหนิวโหย่วเต้ามีธุระจะมาหาด้วยตัวเองไม่ได้เชียวหรือ? เมื่อเทียบกับเจ้าแล้วด้วยคุณสมบัติและอำนาจภูมิหลังของหนิวโหย่วเต้าที่มีอยู่แค่นั้น ในสถานการณ์เช่นนี้กลับส่งเพียงลูกน้องคนหนึ่งมา วางมาดถึงขนาดนี้ออกไปมากเกินไปหน่อยแล้วกระมัง?
เขาตระหนักได้ว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำอันใดแน่นอน แต่ก็ไม่เข้าใจว่าสรุปแล้วเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่
………………………………………………………………………………….