ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 528 แฝงเจตนาสังหาร
ตอนที่ 528 แฝงเจตนาสังหาร
จงหยางซวี่มีสีหน้าอับอาย เหลือบมองชายหนุ่มคนนี้ที่ไม่แยแสถึงฐานะของเจ้าสำนักเลยสักนิด ไม่ทราบว่าเขาเป็นผู้ใด แต่พอมองเห็นหงเหนียงที่อยู่ใกล้ๆ ก็เดาได้ทันทีว่าเป็นใคร ในอดีตเขาเคยเห็นหงเหนียงอยู่ไกลๆ ในเมืองหลวงแคว้นฉี
เขายังไม่ทราบถึงการเจรจาและข้อสรุประหว่างสำนักเขามหายานและหนิวโหย่วเต้า ดังนั้นจึงค่อนข้างแปลกใจกับความใจกล้าของหนิวโหย่วเต้า
ถูกอีกฝ่ายถากถางต่อหน้าคนมากมาย หวงเลี่ยค่อนข้างอับอาย แค่นเสียงเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ไม่สมควรส่งปีกทองมาก่อนเลย น่าจะรอให้พวกเรามาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
หนิวโหย่วเต้าย้อนถาม “ความหมายของเจ้าสำนักหวงคือทางนี้มีช่องโหว่ปานตะแกรงร่อนอยู่แบบนี้ แต่พอพวกเรามาถึงที่นี่เขาจะไม่รู้ตัวจนหลบหนีไปอย่างนั้น?”
เพียงประโยคเดียวก็ทำให้หวงเลี่ยพูดไม่ออกแล้ว หลักเหตุผลก็เข้าใจได้ง่ายนัก ก่อนหน้านี้สำนักเขามหายานไม่ควบคุมสถานที่แห่งนี้ได้มาก่อน ทันทีที่พวกเขาเข้ามา เซ่าผิงปอก็จะรู้ล่วงหน้าเหมือนเดิมอยู่ดี และเซ่าผิงปอก็จะหลบหนีไปอยู่ดี ปัญหาสำคัญไม่ได้อยู่ที่ส่งปีกทองสื่อสารมาก่อนหรือเปล่า หากแต่เป็นเพราะสำนักเขามหายานมั่นใจในตัวเองเกินไป จึงเกิดช่องโหว่มากมายให้เซ่าผิงปอฉวยโอกาสได้
แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่ก็เป็นเพียงการหยุดไม่ให้อีกฝ่ายผลักภาระมาให้ตัวเองเท่านั้น ความจริงแล้วหนิวโหย่วเต้ายังคงโทษตัวเองอยู่ดี หากรอจนตนมาถึงแล้วค่อยลงมือ เมื่อมีตนมานั่งบัญชาการด้วยตัวเอง เกรงว่าเซ่าผิงปอคงไม่อาจหลบหนีไปอย่างราบรื่นได้ เนื่องจากเขาจะเผชิญหน้ากับเซ่าผิงปออย่างใส่ใจและระมัดระวังกว่าสำนักเขามหายาน
ใครคนหนึ่งออกมาจากเรือนด้านหลัง มีศิษย์สำนักเขามหายานหลายคน ‘คุ้มกัน’ ออกมา เซ่าเติงอวิ๋นออกมาแล้ว
“เจ้าสำนักหวงมาแล้วหรือ” หลังจากเซ่าเติงอวิ๋นเดินเข้ามาถึงเบื้องหน้าหวงเลี่ยก็คำนับ ถอนหายใจแล้วเอ่ยไปว่า “มาเพราะไอ้ลูกทรพีคนนั้นกระมัง ล้วนเป็นข้าสั่งสอนไม่ได้เรื่อง เป็นความผิดข้าจริงๆ”
หวงเลี่ยมองเขาอย่างเย็นชา ทราบดีว่าคนผู้นี้ไม่ให้ความร่วมมือในการจับกุม ในใจโกรธเคืองนัก แต่สุดท้ายก็ยังคงข่มใจไว้ เอ่ยไปว่า “มันคนละเรื่องกัน หาได้เกี่ยวกับเซ่าซยงไม่”
ถึงจะฟังออกแล้วว่าชายฉกรรจ์ผมหงอกคนนี้คือผู้ใด แต่ก็เพิ่งเคยพบหน้ากันเป็นครั้งแรก หนิวโหย่วเต้าจึงอดไม่ได้ที่จะมองสำรวจหัวจรดเท้า
คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่กำยำ บุคลิกทรงอำนาจ แต่เซ่าผิงปอมีความหล่อเหลาเจ้าสำอางกว่า
สายตาของเซ่าเติงอวิ๋นก็มองมาที่เขาเช่นกัน เห็นเขาไม่ได้สวมชุดของสำนักเขามหายาน หน้าตาอ่อนใสเยาว์วัย ซ้ำยังยืนเคียงเสมอหวงเลี่ย ย่อมได้รับความสนใจเป็นธรรมดา โดยเฉพาะเมื่อเขามองเห็นเจตนาสังหารในแววตาของอีกฝ่าย
สำหรับเซ่าเติงอวิ๋นที่อยู่ในสนามรบมาแทบจะทั้งชีวิต ทำให้มีสัมผัสเฉียบไวต่อเจตนาสังหาร ชายหนุ่มคนนี้ไม่เป็นมิตรกับตนเลย
“ผู้นี้คือ?” เซ่าเติงอวิ๋นสอบถามเล็กน้อย
เหล่าศิษย์สำนักเขามหายานต่างมองไปที่หนิวโหย่วเต้า เนื่องจากทราบดีว่าคนผู้นี้คือศัตรูคู่อาฆาตของบุตรชายอีกฝ่าย
หนิวโหย่วเต้าแสยะยิ้มเอ่ยไปว่า “หนิวโหย่วเต้า!”
ม่านตาเซ่าเติงอวิ๋นพลันหดตัววูบ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงมีเจตนาสังหารต่อตนอยู่เลือนราง ไม่คิดเลยว่าคนผู้นี้จะกล้ามาถึงที่นี่
กลับกันแล้ว เขาก็เข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายปราศจากความเกรงกลัว อีกฝ่ายควบคุมทางสำนักเขามหายานได้แล้ว ถ่อมาถึงที่นี่ก็เพื่อสังหารบุตรชานตนให้สิ้นซาก
“ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว ที่แท้เจ้าก็คือหนิวโหย่วเต้าผู้สังหารราชทูตแคว้นเยี่ยนคนนั้น เป็นคนมีความสามารถจริงๆ” เซ่าเติงอวิ๋นพยักหน้านิดๆ
หนิวโหย่วเต้าอมยิ้มเอ่ยไปว่า “ที่แท้ท่านก็คือแม่ทัพเซ่า ผู้ที่หนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วอุ้มชูขึ้น แต่สุดท้ายกลับทรยศทอดทิ้งตระกูลซาง ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้วเช่นกัน”
วาจานี้จี้โดนปมของเซ่าเติงอวิ๋น ทำให้เขาเงียบไป
หนิวโหย่วเต้าปรายตามองจงหยางซวี่ “ผู้อาวุโสจง เซ่าผิงปอไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ในจวนผู้ว่าการหรือ ตรวจค้นจวนผู้ว่าการดูหรือยัง?”
จงหยางซวี่ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “เขาหลบหนีผ่านอุโมงใต้ดินไปแล้ว”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “กล่าวก็คือยังไม่ได้ตรวจค้นดู ไปตรวจสอบให้ละเอียดหน่อยจะดีกว่า”
แม้วาจาจะฟังเหมือนเกินความจำเป็น แต่หวงเลี่ยก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วน ที่ที่อันตรายที่สุดอาจจะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดได้เช่นกัน คนที่ประจำการอยู่ทางนี้สะเพร่าเกินไปแล้ว เขาถลึงตาใส่จงหยางซวี่ทันที เอ่ยเสียงเข้ม “ไปตรวจสอบให้ข้าอย่างละเอียดอีกครั้ง ห้ามปล่อยผ่านสถานที่ใดๆ ไปทั้งสิ้น!”
หนิวโหย่วเต้ากลัวจะเกิดเหตุการณ์เส้นผมบังภูเขาขึ้น กลัวว่าจะทำให้เซ่าผิงปอสบช่องฉวยโอกาส
“ขอรับ!” จงหยางซวี่เหงื่อตก รีบระดมกำลังไปตรวจค้น
พอเห็นหนิวโหย่วเต้าพุ่งเป้าไปที่บุตรชายตนทั้งที่อยู่ต่อหน้าโดยไร้ซึ่งความเกรงใจ เซ่าเติงอวิ๋นเองก็พูดไม่ออกเช่นกัน
หนิวโหย่วเต้ายื่นค้ำกระบี่กระดิกนิ้วเล็กน้อย มือที่กุมด้ามกระบี่ดูเหมือนจะอยู่ไม่สุข เจตนาสังหารในดวงตาที่จ้องมองเซ่าเติงอวิ๋นเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม
มือข้างหนึ่งยื่นเข้ามา ฝ่ามือข้างหนึ่งของหวงเลี่ยวางทับลงไปบนหลังมือหนิวโหย่วเต้าที่กุมกระบี่อยู่ เห็นได้ชัดว่ากำลังเตือนไม่ให้เขาก่อเรื่อง
หนิวโหย่วเต้าเงยหน้ามองฟ้า ในใจคิดไปสารพัด
เขาทราบถึงความกังวลของหวงเลี่ยดี หากสังหารเซ่าเติงอวิ๋น มณฑลเป่ยโจวจะโกลาหลวุ่นวาย ไม่สามารถเจรจากับสามสำนักใหญ่ของแคว้นเยี่ยนต่อได้
หลักเหตุผลก็เข้าใจได้ง่ายนัก หากอยากเจรจากับสามสำนักใหญ่ก็มีต้องมีคุณสมบัติพอจะต่อรองได้ ที่สามสำนักใหญ่ยอมเจรจากับพวกเขา ก็เพราะพวกเขาสามารถส่งมอบมณฑลเป่ยโจวให้อย่างราบรื่นได้ ต้องควบคุมให้กลุ่มอิทธิพลผู้บำเพ็ญเพียรและกลุ่มอิทธิพลมนุษย์ธรรมดาในมณฑลเป่ยโจวให้ความร่วมมือไปพร้อมกันถึงจะส่งมอบมณฑลเป่ยโจวออกไปได้ ทางฝั่งแคว้นเยี่ยนถึงจะเข้าควบคุมมณฑลเป่ยโจวได้ง่ายๆ
มิเช่นนั้นหากมณฑลเป่ยโจววุ่นวาย แคว้นเยี่ยนและแคว้นหากต้องการเข้ามาช่วงชิงมณฑลเป่ยโจวไป อีกฝ่ายก็ยังจะมาเจรจาอะไรกับพวกเขา ยังจะตอบรับเงื่อนไขอันใดของพวกเขาอีกหรือ?
สำนักเขามหายานเองก็ไม่มีสิทธิ์จะโยกย้ายจากมณฑลเป่ยโจวไปยังมณฑลหนานโจวได้ง่ายๆ เช่นกัน หากสังหารเซ่าเติงอวิ๋นตอนนี้ มันจะไม่เป็นผลดีต่อสำนักเขามหายานและไม่เป็นผลดีต่อหนิวโหย่วเต้าเช่นกัน ด้วยเหตุนี้หวงเลี่ยจึงต้องเตือนไว้
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าเล็กน้อย สื่อว่าเข้าใจแล้ว เขาเอ่ยกับเซ่าเติงอวิ๋นต่อ “แม่ทัพเซ่า ท่านคุ้ยเคยกับที่นี่ ช่วยนำทางข้าไปเดินดูรอบๆ ได้หรือไม่?”
เซ่นเติงอวิ๋นเอ่ยอย่างเย็นชา “ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น สถานที่ของข้าไม่ต้อนรับเจ้า!”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะเหอะๆ ออกมา
ขณะที่กำลังจะเปิดปากพูด พลันมีศิษย์สำนักเขามหายานคนหนึ่งเดินเข้ามา หลังจากทำความเคารพหวงเลี่ยก็รายงานจงหยางซวี่ว่า “อาจารย์ สืบพบเบาะแสจากบ้านเมืองหลังนั้นแล้วขอรับ มีชาวบ้านคนหนึ่งเห็นคนชุดดำปิดหน้ากลุ่มหนึ่งบังคับวิหคยักษ์สามตัวพาเซ่าผิงปอกับเซ่าซานเสิ่งจากไปแล้ว”
หวงเลี่ยถามทันที “ทราบหรือไม่ว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร?”
ฝ่ายศิษย์ตอบว่า “จากที่สอบถามชาวบ้านมาก็ไม่ทราบความมากนัก เพียงบังเอิญเห็นเข้าเท่านั้น ไม่ทราบเช่นกันว่าคนเหล่านั้นเป็นผู้ใดขอรับ”
พอได้ยินว่าใช้วิหคยักษ์ทีเดียวสามตัว ทั้งยังมีคนชุดดำปิดหน้าอีก เรื่องนี้สะกิดใจหนิวโหย่วเต้าขึ้นมาในทันใด นึกถึงเหตุการณ์ที่ต้วนหู่กับเฮยหมู่ตานเคยเผชิญการโจมตี หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเนิบๆ ด้วยเสียงเคร่งขรึม “น่าจะเป็นคนของหอจันทร์กระจ่าง!”
เซ่าเติงอวิ๋นเหลือบมองหนิวโหย่วเต้าเล็กน้อย
หวงเลี่ยแปลกใจ “หอจันทร์กระจ่าง?”
“ท่านนึกว่าที่ข้าบอกว่าเขาเป็นคนของหอจันทร์กระจ่างคือการล้อเล่นหรือ?” หนิวโหย่วเต้าถามกลับ
สีหน้าหวงเลี่ยค่อยๆ มืดมนลง มองไปทางเซ่าเติงอวิ๋น ไม่รู้ว่าคนผู้นี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับหอจันทร์กระจ่างด้วยหรือไม่ แต่ก็ไม่สำคัญแล้ว ไม่จำเป็นต้องสอบสวนอีก สำนักเขามหายานวางแผนจะละทิ้งมณฑลเป่ยโจวแล้ว ไม่มีทางเข้าไปยุ่งเรื่องนี้อีก ปล่อยให้คนอื่นปวดหัวไปแล้วกัน
หนิวโหย่วเต้าหันหลังเดินออกไป ดึงก่วนฟางอี๋ออกไปด้านข้าง กระซิบสั่งการ “รีบติดต่อไปหาทางหอจันทร์กระจ่าง สอบถามว่าทางนั้นได้พาตัวคนไปหรือไม่ หากว่าใช่ ให้หอจันทร์กระจ่างส่งตัวกลับมา เรื่องเงื่อนไขต่อรองกันได้!”
ก่วนฟางอี๋พยักหน้ารับ หันหลังเดินออกไปหาลุงเฉินเพื่อจัดการตามที่สั่ง
หนิวโหย่วเต้าหันไปมองเซ่าเติงอวิ๋น เดิมทีคิดจะพาเขาออกไปคุยกันที่อื่น ลองหยั่งเชิงให้แน่ชัด ทดสอบท่าทีของคนผู้นี้ดู
เหตุใดต้องหยั่งเชิงน่ะหรือ? เพราะเขายังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะสังหารอีกฝ่ายอย่างไรเล่า!
เดิมทีไม่เคยคิดจะสังหารเซ่าเติงอวิ๋นเลย แต่เซ่าผิงปอหนีไปได้ รูปการณ์จึงเปลี่ยนไปทันที
ขอเพียงเซ่าเติงอวิ๋นยังควบคุมมณฑลเป่ยโจวอยู่ เซ่าผิงปอก็ยังมีโอกาสกลับมาได้
ขอเพียงเซ่าเติงอวิ๋นยังกุมอำนาจของมณฑลเป่ยโจวอยู่ เซ่าผิงปอก็ยังมีอิทธิพลต่อภายนอก มีกำลังพอจะสร้างปัญหาต่อได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การสังหารเซ่าเติงอวิ๋นและก่อความวุ่นวายให้มณฑลเป่ยโจว ตัดที่พึ่งที่สำคัญที่สุดของเซ่าผิงปอทิ้งก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
แต่หากก่อความวุ่นวายในมณฑลเป่ยโจว มันก็จะกระทบถึงแผนที่เขาจะเขี่ยสำนักหยกสวรรค์ออกจากมณฑลหนานโจว เมื่อเทียบกันดูแล้ว เขาคิดว่าเซ่าผิงปออันตรายกว่าสำนักหยกสวรรค์
จะสังหารหรือไม่ เขายังต้องใคร่ครวญดูให้ดีก่อน ชั่งผลดีผลเสียให้แน่ใจ ดังนั้นจึงต้องลองหยั่งเชิงจุดยืนของเซ่าเติงอวิ๋นดู นี่คือกุญแจสำคัญที่จะตัดสินว่าเขาควรลงมือหรือไม่
จนใจที่เซ่าเติงอวิ๋นไม่สนใจเขาเลย เขาจึงได้แต่ต้องคิดหาทางด้วยตัวเองไปก่อน เดินยันกระบี่เตร็ดเตร่อยู่ในจวนผู้ว่าการมณฑลแห่งนี้
บังเอิญพบศิษย์คนหนึ่งของสำนักเขามหายานเข้า หนิวโหย่วเต้าจึงสอบถามสถานการณ์ดูเล็กน้อย จนมาถึงห้องหนังสือที่เซ่าผิงปอใช้สะสางภาระงานเป็นประจำ
ภายในห้องหนังสือแทบจะไม่มีเครื่องประดับใดๆ ให้ชื่นชมเลย บนผนังสี่ด้านซึ่งมีพื้นที่จำกัดมีแผนที่ต่างๆ แขวนอยู่ ส่วนใหญ่มีการทำเครื่องหมายต่างๆ เอาไว้ด้วย
เอกสารบางส่วนยังวางกองอยู่ที่หัวโต๊ะ หนิวโหย่วเต้าพลิกดูเล็กน้อย บนเอกสารมีคำวิจารณ์ต่างๆ จากเซ่าผิงปอ
เอกสารบางส่วนที่เซ่าผิงปอเขียนขึ้นด้วยตัวเองก็ดึงดูดความสนใจหนิวโหย่วเต้าได้เช่นกัน หลังจากพลิกอ่านอยู่สักพักก็ยิ่งทำให้หนิวโหย่วเต้าประทับใจกับข้อมูลและกลยุทธ์การปกครองในเอกสารมากขึ้น
เมื่อพิจารณาจากวันที่ซึ่งประทับอยู่บนเอกสารส่วนหนึ่งแล้ว หนิวโหย่วเต้าสังเกตเห็นว่าปริมาณภาระงานประจำวันของเซ่าผิงปอชวนให้น่าทึ่งนัก
พอออกจากห้องหนังสือก็เดินเตร่ไปเตร่มา เขาค่อนข้างสนใจสถานที่ส่วนตัวที่สองพ่อลูกตระกูลเซ่าใช้ชีวิตอยู่เป็นประจำ
ที่สนใจก็เพราะเขาอยากทำความเข้าใจศัตรูของตนในแง่มุมอื่นๆ ให้มากขึ้น ได้โอกาสเช่นนี้แล้ว เขาไม่มีทางยอมพลาด
สุดท้ายก็มาถึงห้องสงบใจของเซ่าเติงอวิ๋น ได้ยินว่าเซ่าเติงอวิ๋นไม่อนุญาตให้คนอื่นได้เข้ามายังที่แห่งนี้
ภายในห้องสงบใจเรียบง่ายนัก มีโต๊ะวางกระถางธูปอยู่หนึ่งตัว ภาพเหมือนหนึ่งแผ่น ป้ายวิญญาณหนึ่งอันและเบาะกลมหนึ่งใบ
บุรุษองอาจในภาพวาดสวมชุดเกราะ ควบทะยานอยู่บนหลังอาชา บุคลิกทรงอำนาจ
ถ้อยคำที่สลักไว้บนป้ายวิญญาณคือ ‘หนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วผู้บัญชาการทัพแห่งแคว้นเยี่ยน’ ทำให้หนิวโหย่วเต้าแปลกใจมาก ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
เขาสูดจมูกเล็กน้อย ดมกลิ่นควันธูปภายในห้องสงบใจ จากนั้นมองสภาพรอบข้างที่มีเขม่าเปื้อนสะสมเป็นระยะเวลานาน ตามด้วยมองเบาะกลมที่มีรอยยุบจากการคุกเข่าทับซ้ำๆ มาเนิ่นนาน จึงมั่นใจว่าเป็นสถานที่ที่ใช้เซ่นสรวงมาเป็นระยะเวลายาวนาน หนิวโหย่วเต้ายืนเงียบอยู่หน้าป้ายวิญญาณพักหนึ่งถึงได้หันหลังเดินออกไป
เดินเตร่อยู่ในจวนต่อไปพักหนึ่งก็พบก่วนฟางอี๋ที่ออกมาตามหาเขา พอเจอหน้าอีกฝ่ายก็ถามทันที “ไปมุดหัวอยู่ที่ใดมา?”
“เดินเล่นเรื่อยเปื่อยน่ะ” หนิวโหย่วเต้าตอบส่งๆ ไป พานางเดินกลับไปที่ด้านหน้าเรือน ไปยังโถงที่คุมตัวเซ่าเติงอวิ๋นเอาไว้
หลังเจรจากันเล็กน้อย ศิษย์สำนักเขามหายานก็ปล่อยเขาเข้าไป
เซ่าเติงอวิ๋นที่นั่งอยู่หลังโต๊ะตัวยาวจ้องมองหนิวโหย่วเต้าที่เดินเข้ามาด้วยแววตาเย็นชา สงบนิ่งเฉยเมย
พ่อบ้านหยางซวงค่อนข้างกระวนกระวาย ก่อนหน้านี้เขาก็มองออกถึงเจตนาสังหารที่หนิวโหย่วเต้ามีต่อเซ่าเติงอวิ๋นเช่นกัน จึงรีบเดินเข้าไปขวางหนิวโหย่วเต้าไว้ ประสานมือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านหนิว มีเรื่องใดจะสั่งการหรือขอรับ?”
เซ่าเติงอวิ๋นตวาดใส่ “จะเข้ามาบังทำไม? หลบไป!”
หยางซวงเหลียวมอง ถอยหลบไปด้านข้างด้วยสีหน้าจำใจ
หนิวโหย่วเต้าเดินเข้าไปหยุดหน้าโต๊ะ ยืนค้ำกระบี่เอ่ยไปว่า “เชิญท่านแม่ทัพไปเดินเล่น เหตุใดท่านแม่ทัพถึงไม่กล้าไป?”
เซ่าเติงอวิ๋นแค่นเสียงเย็นชา “จำเป็นต้องทำเช่นนั้นด้วยหรือ?”
ชิ้ง! หนิวโหย่วเต้าพลันชักกระบี่ออกจากฝัก กระบี่โผล่ออกมาครึ่งเล่ม ส่องประกายเยียบเย็น
หยางซวงตะโกนด้วยความตกใจ “มีใครอยู่บ้าง! ใครอยู่ข้างนอกบ้าง!” พุ่งเข้ามาขวางอยู่หน้าโต๊ะอีกครั้ง
เซ่าเติงอวิ๋นนั่งนิ่ง เอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน “หยางซวง หลีกไป!”
……………………………………………………………………………………………..