ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 539 เมืองหลวงแคว้นฉีช่างไม่ถูกโฉลกกับข้าเลยจริงๆ
- Home
- ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า
- ตอนที่ 539 เมืองหลวงแคว้นฉีช่างไม่ถูกโฉลกกับข้าเลยจริงๆ
ตอนที่ 539 เมืองหลวงแคว้นฉีช่างไม่ถูกโฉลกกับข้าเลยจริงๆ
ไม่จำเป็นต้องให้เขาพูดอีก พอเห็นน้ำชา ตู๋กูจิ้งก็เข้าใจทันที เห็นได้ชัดว่าหนิวโหย่วเต้าหวาดระแวงทางนี้ ขนาดมีปู้สวินอยู่ด้วย แต่ยังเสแสร้งกับผู้มีชื่อเสียงอย่างท่านอาจารย์เช่นนี้ เพียงเท่านี้ก็เห็นได้ชัดเจนแล้ว
ตอนนั้นหอจันทร์กระจ่างไล่ล่าสังหารหนิวโหย่วเต้า เนื่องจากสถานการณ์เร่งด่วน ท่านอาจารย์จึงเดินทางมาหาฮ่องเต้แคว้นฉีด้วยตัวเอง ใช้ประโยชน์จากเครือข่ายข่าวสารอันกว้างขวางของแคว้นฉี
เรื่องนี้อาจารย์จัดการอย่างรอบคอบ คนกลางอย่างแคว้นฉีไม่มีทางสงสัยแน่นอน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจปล่อยให้กระดาษที่คั่นอยู่กึ่งกลางแผ่นนี้ถูกแทงทะลุได้ ไม่อาจปล่อยให้ตัวต้นเรื่องทั้งสองฝ่ายมองเห็นกันและกันผ่านรอยขาดบนกระดาษได้
ผลลัพธ์ของการมองเห็นกันและกันเป็นอย่างไรน่ะหรือ คนธรรมดาอาจจะไม่ใส่ใจ แต่หนิวโหย่วเต้าใช่คนธรรมดาหรือ? คนที่สามารถบีบคั้นให้เซ่าผิงปอต้องหลบหนีเอาชีวิตรอดได้ คนที่สามารถหนีรอดจากการวางแผนไล่ล่าอย่างรัดกุมของหอจันทร์กระจ่างได้ การตอบสนองจะเฉียบไวขนาดไหนกัน!
ฮ่องเต้แคว้นฉีอาจจะไม่ทราบเรื่องที่หอจันทร์กระจ่างตามไล่ล่าหนิวโหย่วเต้าในตอนนั้น แต่หนิวโหย่วเต้าที่มีฐานะเป็นเป้าหมาย ในการปะทะตอบโต้กลับไปกลับมากับหอจันทร์กระจ่างตอนนั้น จู่ๆ ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงกะทันหันขึ้นกลางคัน มีหรือที่หนิวโหย่วเต้าจะจำไม่ได้?
ในที่สุดตอนนี้หนิวโหย่วเต้าก็ทราบถึงสาเหตุของความเปลี่ยนแปลงแล้ว กระดาษที่คั่นอยู่กึ่งกลางขาดทะลุแล้ว หนิวโหย่วเต้าเหลียวหน้ากลับมา มองเห็นท่านอาจารย์ที่อยู่ด้านหลังของรอยขาดนั้น เขาจะไม่สงสัยได้หรือ? เกรงว่าพอนึกย้อนกลับไปคงจะรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที!
ชาถ้วยนี้บ่งชี้ถึงปัญหาอย่างชัดเจน!
เดิมทีคิดว่าได้คันฉ่องบานนั้นมาแล้ว หอจันทร์กระจ่างตกลงสงบศึกกับหนิวโหย่วเต้าแล้ว บุญคุณความแค้นระหว่างสองฝ่ายจบลงแล้ว ไม่มีทางเอ่ยถึงเรื่องในตอนนั้นขึ้นมาอีก
เดิมทีคิดไว้ว่าเรื่องนั้นทำให้ฮ่องเต้แคว้นฉีขายหน้า หลังจบเรื่องท่านอาจารย์ก็ไปเอ่ยปลอบฮ่องเต้แล้วว่าไม่เป็นไร เรื่องผ่านไปแล้วก็ให้แล้วกันไป
หลักการก็เข้าใจง่ายนัก คนที่รู้เรื่องดีไม่มีทางเอ่ยถึงเรื่องนี้ให้ฮ่องเต้ขายหน้า การเผยแพร่เรื่องนี้ต่อภายนอก ทำให้ฮ่องเต้เสียพระเกียรติมันน่าสนุกนักหรือ?
ผู้ใดจะทราบว่าจู่ๆ หนิวโหย่วเต้าจะมาที่เมืองหลวงแคว้นฉี แล้วยังบุกเข้าไปในวังหลวงเพื่อตามล่าเซ่าผิงปอ
ผู้ใดจะทราบว่าฮ่องเต้เฮ่าอวิ๋นถูยังจะถือโอกาสนี้คุมตัวหนิวโหย่วเต้ามาที่นี่อีก
คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เรื่องราวเปิดเผยออกมาเช่นนี้ ทำให้ทางนี้ป้องกันไม่ทัน
“ด้วยฐานะของข้า ตอนนี้เขายังไม่มีหลักฐานที่จะไปพูดกับผู้ใดได้ เจ้าคงรู้ว่าควรทำอย่างไร” แววตาอวี้ชางเย็นชา เอ่ยเสียงทุ้ม
“ขอรับ!” ตู๋กูจิ้งตอบรับ ทราบถึงความสำคัญของเรื่องนี้ได้ ต่อให้เรื่องคันฉ่องบานนั้นจะเปิดเผยออกไปก็ไม่สนใจแล้ว
หากเรื่องคันฉ่องเผยออกไป จริงอยู่ที่จะมีปัญหามากมายประเดประดังเข้ามาหาหอจันทร์กระจ่าง แต่ถึงอย่างไรหอจันทร์กระจ่างก็เป็นกลุ่มอิทธิพลลึกลับ ยากที่จะขุดรากถอนโคนได้ ทว่าถ้าเกิดฐานะของท่านอาจารย์เปิดเผยออกไป นั่นกลับจะเป็นการเผยรากฐานของหอจันทร์กระจ่างออกไปด้วย
“แต่คนผู้นี้เจ้าเล่ห์นัก เมื่อเขาตระหนักได้ถึงอันตรายแล้ว เขาย่อมไม่มีทางที่จะไม่ป้องกัน…”
ตู๋กูจิ้งเอ่ยยังไม่ทันจบ อวี้ชางก็ล้วงขวดกระเบื้องเคลือบขนาดเล็กใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นส่งให้เขา ขณะเดียวกันก็ยกมือซ้ายขึ้นมา บี้นิ้วมือพลางสูดดมอยู่ตรงปลายจมูก
ตู๋กูจิ้งพลันกระจ่างแจ้ง ท่านอาจารย์เตรียมแผนรับมือไว้แล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่จับแขนหนิวโหย่วเต้า เขาได้ทำอะไรบางอย่างไว้บนร่างของหนิวโหย่วเต้า
….
รถม้าเคลื่อนออกจากสวนไม้เลื้อย หนิวโหย่วเต้าที่นั่งอยู่ในรถม้าอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา เอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ผู้ดูแลหลวง ท่านไม่ได้แจ้งเรื่องกับทางนี้ไว้ก่อน เหตุใดถึงไม่บอกข้าเลย?”
เขานึกว่าอวี้ชางรู้อยู่แต่แรกแล้ว หากตนไม่มา นั่นกลับจะยิ่งแย่กว่าเดิม
แต่พอเข้าสู่สวนไม้เลื้อยแล้วได้ยินปู้สวินเอ่ยกับอวี้ชางทำนองว่า ‘ไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ถือวิสาสะมาเยี่ยมเยือน’ หนิวโหย่วเต้าก็นึกเสียใจเป็นอย่างมาก
หากรู้แต่แรกว่าทางนี้ไม่ทราบเรื่อง ต่อตีให้ตายเขาก็ไม่มีทางมาที่นี่ คงคิดหาทางหลบลี้จากไป จะปล่อยให้อวี้ชางทราบว่าเขารู้เรื่องแล้วได้อย่างไร?
แต่จะว่าไปแล้ว ตนเองก็ฉลาดมากไปจนตกเป็นเหยื่อความฉลาดของตัวเอง ด้วยหูตาของอีกฝ่ายแล้ว จะไม่รู้ได้หรือว่าอวี้ชางอยู่ที่สวนไม้เลื้อยหรือเปล่า? ยังจำเป็นต้องกังวลด้วยหรือว่าจะมาเสียเที่ยว? ด้วยฐานะตัวตนของอีกฝ่ายยังต้องกังวลว่าอวี้ชางจะไม่ยอมพบเขาด้วยหรือ? จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้าด้วยอย่างนั้นหรือ?
ปู้สวินกล่าวว่า “ความหมายของเจ้าคือ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็ล้วนต้องรายงานเจ้าล่วงหน้าอย่างนั้นหรือ?”
ก่อนจะดำเนินเรื่องสำเร็จ เขาจะพูดออกไปให้หนิวโหย่วเต้าหาข้ออ้างมาปฏิเสธได้หรือ
หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจดังเฮ้อ “ท่านผู้ดูแลหลวง ครั้งนี้เกรงว่าข้าคงถูกท่านพาซวยแล้ว”
ปู้สวินเอ่ยถาม “หมายความว่าอย่างไร? มีโอกาสได้ทำความรู้จักอาจารย์อวี้ชางยังไม่ดีอีกหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า นอกจากยิ้มเจื่อนแล้วยังจะกล่าวอันใดได้อีก
ระหว่างคนเรามีความแตกต่างด้านศักดิ์ฐานะอยู่ คนบางจำพวก เพียงพูดประโยคเดียวก็ทำให้เจ้าตายได้แล้ว
คนบางจำพวก แค่เจ้ากระแอมเล็กน้อยก็นับว่าหาเรื่องใส่ตัวแล้ว
ส่วนคนอย่างอวี้ชางนี้ ตัวตนสถานะล้วนประจักษ์ชัด ถ้อยคำบางอย่างไม่อาจกล่าวเหลวไหลได้ เขาไม่มีหลักฐานยืนยัน ต่อให้พูดไปก็สั่นคลอนอวี้ชางไม่ได้ อย่างมากก็แค่สร้างความไม่สะดวกให้อวี้ชางนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น ยามนี้แหวกหญ้าให้งูตื่นไปแล้ว อีกฝ่ายต้องระมัดระวังแน่ เป็นไปได้ยากที่จะจับจุดอ่อนอันใดของอีกฝ่ายได้
หากไม่มีหลักฐานยืนยัน ด้วยฐานะของอวี้ชางแล้ว ไม่มีผู้ใดกล้าบุ่มบ่ามทำอะไร เว้นเสียแต่ยอดคนทั้งเก้า แต่ถึงจะเผยเรื่องนี้ออกไป เกรงว่าในสายตาของยอดคนทั้งเก้าแล้วคงไม่อาจนับเป็นเรื่องสำคัญอันใดเลย
อีกทั้งขอเพียงเขากล้าพูด เขายังคิดว่าจะรอดไปได้หรือ? ต้องถูกแคว้นฉีคุมตัวไว้ทันทีแน่นอน!
เจ้าบอกว่าอวี้ชางเป็นคนของหอจันทร์กระจ่างอย่างนั้นหรือ? แม่ทัพบัญชาการฮูเหยียนอู๋เฮิ่นแห่งแคว้นฉีก็เป็นศิษย์ของอวี้ชาง กุมอำนาจทหารไว้ในมือ หากเอ่ยไปเช่นนี้ต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่ มิใช่เรื่องเล็กๆ เลย แคว้นฉีจะไม่คุมตัวเขาไปสอบสวนให้กระจ่างได้หรือ?
ตอนนี้ถึงเขาหนีก็หนีไม่ทันแล้ว ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ถูกคุมตัวอีก การถูกคุมตัวอยู่ใต้จมูกอวี้ชาง แบบนั้นมันออกจะอันตรายเกินไปหน่อย คล้ายว่าหน่ายจะมีชีวิตอยู่แล้วอย่างไรอย่างนั้น
หนิวโหย่วเต้ารู้ดีว่าครั้งนี้ตนอาจจะเจอปัญหาใหญ่เข้าแล้ว ก็ได้แต่หวังว่าตนจะคิดมากไป
ปู้สวินไม่เข้าใจว่าเขาถอนหายใจทำไม จึงเอ่ยถามไป “เจ้าคงไม่คิดจะตามข้ากลับวังกระมัง?”
หนิวโหย่วเต้าทราบเจตนาของเขา กำลังสื่อว่าตนสามารถลงจากรถม้าไปได้แล้ว แต่ตอนนี้เขากลับไม่มีทีท่าว่าจะลงจากรถม้า “ขอติดรถไปด้วยแล้วกัน ข้านัดพบลูกน้องที่นอกวังหลวง”
เขาสงสัยว่าตนจะตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง สงสัยว่าอีกฝ่ายอาจจะทำทุกวิถีทางเพื่อสังหารเขา เขาจึงไม่กล้าแยกจากปู้สวินไปง่ายๆ
พอเห็นเขาว่ามาเช่นนี้ ปู้สวินก็ไม่พูดอะไรอีก อีกฝ่ายยอมไว้หน้าแล้ว แค่ขอติดรถไปด้วย ไหนเลยจะทำให้ไม่ได้
รถม้าเคลื่อนที่ไปพร้อมเสียงกุกกัก จวบจนมองเห็นวังหลวงแล้ว หนิวโหย่วเต้าถึงยื่นมือออกไปนอกหน้าต่างรถม้า รับแสงตะวันเล็กน้อย
รถม้าหยุดลงนอกประตูวัง
หนิวโหย่วเต้าลงจากรถม้า ปู้สวินเลิกม่านหน้าต่าง เอ่ยเตือนว่า “อย่าก่อเรื่องในเมืองหลวงล่ะ”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มเจื่อน “ถูกท่านเคี่ยวกรำไปแล้ว ต่อให้ท่านขอให้ข้าอยู่ต่อข้าก็ไม่กล้าอยู่แล้ว ข้าไปเลยได้หรือไม่?”
ทางนี้เพิ่งจะเอ่ยจบ พลันมีเงาดำร่างหนึ่งโผลงมาจากอากาศ ลุงเฉินบังคับอินทรีหยกทมิฬตัวหนึ่งบินเข้ามา วนต่ำอยู่เหนือรถม้า ทำให้องครักษ์นอกวังหลวงตื่นตัวขึ้นมาทันที
ในเขตวังหลวง ไม่อนุญาตให้วิหคพานะบินเพ่นพ่านส่งเดช หากไม่มีปู้สวินอยู่ด้วย คาดว่าคงเข้าจับกุมไปสอบสวนทันที
“ผู้ดูแลหลวง ไว้พบกันใหม่วันหน้า!” หนิวโหย่วเต้าประสานมือกล่าวอำลา ทะยานกายออกไป เหินขึ้นสู่อากาศ ร่อนลงบนหลังวิหคยักษ์
ก่วนฟางอี๋ที่ตามหลังรถม้ามาตลอดทางก็ทะยานกายขึ้นไปเช่นกัน
วิหคยักษ์บรรทุกมนุษย์สามคนไว้ กระพือปีกบินจากไปไกลอย่างรวดเร็ว
หนิวโหย่วเต้าไม่กล้าชักช้า สั่งการก่วนฟางอี๋เอาไว้แต่แรกแล้วว่าทันทีที่ส่งสัญญาณให้ออกเดินทาง ก็ต้องจากไปอย่างรวดเร็ว อย่าให้คนเขาได้มีโอกาสสกัดกั้น
“เจ้านี่มีวิหคพานะไว้เดินทางด้วย!” ปู้สวินเฝ้ามองอยู่ตรงหน้าต่างพลางเอ่ยพึมพำ ค่อยๆ ปล่อยม่านลง
รถม้าถูกควบคุมให้มุ่งหน้าเข้าสู่วังหลวงต่อ ปู้สวินที่นั่งอยู่ในรถม้าขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
วาจาวกวนของหนิวโหย่วเต้ากระตุ้นความสงสัยของเขา เขาสังหรณ์ใจรางๆ ว่าหนิวโหย่วเต้ากำลังเตือนบางเรื่องแก่เขาอยู่…
เมืองหลวงแคว้นฉีที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลอยู่ห่างไกลออกไป กลางป่าบนเนินเขานอกเมืองลูกหนึ่ง วิหคพาหนะสองตัวเหินสู่อากาศตามกันไป พวกหยวนกังที่ได้รับข่าวก็เร่งเดินทางมาซ่อนตัวรอรับอยู่นอกเมือง พอเห็นหนิวโหย่วเต้าก็เดินทางตามไปทันที
ในที่สุดก่วนฟางอี๋ก็มีโอกาสได้เปิดปากพูดแล้ว “เจ้ารีบร้อนจากไปเช่นนี้ เกิดเรื่องใดขึ้นแล้วกระมัง”
หนิวโหย่วเต้าเรียกเอาแหวนกระดิ่งควบคุมอินทรีหยกทมิฬมาจากลุงเฉิน ลุงเฉินทะยานตัวออกจากหลังวิหคตัวนี้ร่อนลงบนร่างของวิหคอีกตัวที่อยู่ใกล้ๆ ตามคำสั่งของเขา
ลุงเฉินเองก็รู้ตัวดีเช่นกัน ทราบดีว่าฐานะของตนถูกเปิดเผยแล้ว เรื่องบางอย่างจำต้องหลบเลี่ยงไว้จะดีกว่า
ในยามนี้หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจออกมา “อาจารย์อวี้ชางที่ซื้อสวนไม้เลื้อยแห่งนั้นของเจ้าไป มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นคนของหอจันทร์กระจ่าง…” เขาเล่าเรื่องที่ปู้สวินพาตนไปพบอวี้ชางออกมา
“เอ่อ…” ก่วนฟางอี๋ไม่อยากจะเชื่อ “จะเป็นไปได้หรือ?” ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “อาจจะบังเอิญก็ได้ แต่เรื่องในตอนนั้นมันน่าสงสัยเกินไป ตอนนั้นข้าใช้แผนรับมือออกมาต่อเนื่อง น่าจะเบี่ยงเบนความสนใจของหอจันทร์กระจ่างไปได้แล้ว ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นมันก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ตลอดการเดินทางสะดวกราบรื่น แต่หลังจากที่หน่วยข่าวกรองเข้ามาสกัดพวกเราอย่างกะทันหันได้ไม่นาน คนของหอจันทร์กระจ่างก็รู้ตำแหน่งของพวกเราได้อย่างแม่นยำทันที หากมิใช่เพราะข้าระมัดระวังเป็นอย่างมาก เกรงว่าครั้งนั้นคงยากจะหลบหนีมาได้”
“เพื่อให้หลานได้กราบอาจารย์ โดยเฉพาะจะให้กราบคนต่ำต้อยเช่นข้าเป็นอาจารย์ ถึงกับต้องดั้นด้นมาหาฮ่องเต้แคว้นฉี แค่สอบถามเล็กน้อยก็พอแล้ว คนไม่อยู่แล้วก็ควรแล้วกันไป อีกทั้งมิใช่เรื่องเร่งด่วนอันใด วันหน้าค่อยติดต่อกันอีกก็ได้ ด้วยเส้นสายของอวี้ชาง การจะติดต่อข้ามันยากนักหรือ? เป็นเขาไม่รู้ความหรือเป็นเฮ่าอวิ๋นถูที่เบาปัญญากันเล่า จำเป็นต้องเรียกใช้กองกำลังของแคว้น ใช้อำนาจของหน่วยข่าวกรองเพื่อออกค้นหาทั่วทั้งแคว้นเลยอย่างนั้นหรือ?”
“จะลากตัวข้าที่เดินทางไปไกลแล้วกลับมาเพื่อให้หลานได้กราบเป็นอาจารย์ ผู้ใดจะกราบผู้ใดเป็นอาจารย์กัน ไม่เสียมารยาทไปหน่อยหรือ มีการกราบอาจารย์เช่นนี้ด้วยหรือ? อีกทั่งช่วงเวลามันก็ประจวบเหมาะในตอนนั้น จะไม่ให้ข้านึกสงสัยว่ามีเจตนาแอบแฝงอยู่ก็คงยาก”
ก่วนฟางอี๋มีสีหน้าคร่ำเคร่งขึ้นมา “พอเจ้ากล่าวมาเช่นนี้ก็น่าสงสัยจริงๆ หากว่าอวี้ชางเป็นคนของหอจันทร์กระจ่าง เกรงว่าฐานะในหอจันทร์กระจ่างคงไม่ธรรมดา”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ต้องเป็นสมาชิกระดับสูงแน่นอน ด้วยฐานะและอิทธิพลของเขาแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะยอมก้มหัวให้คนอื่น อาจจะเป็นผู้นำของหอจันทร์กระจ่างก็ได้”
พอคิดว่าอาจจะล่วงรู้ตัวตนประมุขหอจันทร์กระจ่างที่แสนลึกลับคนนั้นเข้าแล้ว ก่วนฟางอี๋ก็อกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา “อาจารย์อวี้ชางคนนี้ข้องเกี่ยวกับผู้ทรงอำนาจมากมายในแคว้นต่างๆ มีนักเรียนจำนวนมากที่มีตำแหน่งสำคัญในแคว้นต่างๆ หากเขาเป็นสมาชิกระดับสูงของหอจันทร์กระจ่างจริงๆ ล่ะก็ ความเชื่อมโยงนี้มันก็ออกจะใหญ่โตเกินไปหน่อยแล้ว เจ้าคงไม่ได้บอกปู้สวินไปกระมัง?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ข้าจะกล้าพูดหรือ? หากพูดไปแล้วจะออกจากเมืองหลวงแคว้นฉีได้หรือ?”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยอย่างวิตกกังวล “อวี้ชางรู้หรือเปล่าว่าเจ้าจับได้แล้ว?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ครั้งนับว่าเฮ่าอวิ๋นถูพาข้าซวยแล้วแล้ว มีปัญหาก็ไม่อาจบอกออกไปได้ เรื่องเช่นนี้ไม่สามารถเผยออกไปได้ หากเผยออกไป ขอเพียงเขามีชนักติดหลัง เขาจะต้องสงสัยขึ้นมาแน่”
ก่วนฟางอี๋ร้อนใจแล้ว “เช่นนั้นแล้วเจ้ายังจะรีบร้อนหนีอีกหรือ เจ้ารีบหนีออกมาเช่นนี้ อวี้ชางไหนเลยจะไม่ยิ่งมั่นใจว่าเจ้าจับได้แล้ว จะยอมปล่อยเจ้าไปได้หรือ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “หากมีปัญหาจริง เขาย่อมต้องทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดข้า แม้แต่น้ำชาในสวนไม้เลื้อยข้ายังไม่กล้าดื่มเลย จะกล้ารั้งอยู่ต่อได้อย่างไร หากว่าไม่มีปัญหาอะไร ถึงรีบหนีก็ไม่มีทางใส่ใจ แต่หากมีปัญหาจริง ถ้าไม่หนีก็ตายแน่ เจ้าว่าข้าควรหนีหรือไม่เล่า? แม่งเอ้ย เมืองหลวงแคว้นฉีช่างไม่ถูกโฉลกกับข้าเลยจริงๆ มาทีไรก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุนทุกที”
………………………………………………………………………….