ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 54 จะระบายแค้นแทนเจ้าให้ได้
ตอนที่ 54 จะระบายแค้นแทนเจ้าให้ได้
หนิวโหย่วเต้าอดขำไม่ได้
หยวนกังมองเห็น ‘ความรู้สึกเหมือนได้พบพวกเดียวกัน’ จากสีหน้าของปีศาจตัวนี้ ความรู้สึกที่ราวกับทุกคนล้วนเป็นปีศาจ ทำให้เขาอยากต่อยหน้าอีกฝ่ายสักหมัดยิ่งนัก เขาเอ่ยถามอย่างเฉยชาว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหมีตายได้อย่างไร?”
“เอ่อ…” หยวนฟางตกใจระคนสงสัย เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ตายได้อย่างไรหรือ?”
หยวนกังบุ้ยปากไปทางหนิวโหย่วเต้า “เขาคือวัว[1] !”
“วัว…” หยวนฟางตะลึง เบิกตากว้างอุทานออกมา “วัวหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะเฮอะๆ หันหลังจากไปโดยยกมือไพล่หลังไว้
หยวนกังก็เมินหยวนฟางเช่นกัน เดินตามออกไป เดินไปไม่กี่ก้าวก็ไล่ตามหลังหนิวโหย่วเต้าทัน เอ่ยถามว่า “เต้าเหยี่ย สติปัญญาของปีศาจหมีตัวนี้เหมือนจะไม่ค่อยมีไหวพริบเลย คุณจะเก็บเขาไว้จริงๆ น่ะเหรอ?”
เมื่อชีวิตที่แล้ว หนิวโหย่วเต้ามีลูกน้องคนสนิทใต้สังกัดอยู่มากมาย มีหลายครั้งที่รู้สึกถูกใจคนบางคนจึงรับเข้ามาทำงานด้วย หยวนกังเองก็ใช่ว่าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “นายมองพลาดแล้ว เจ้านี่มันเป็นตัวกะล่อนที่แสร้งทำเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือตัวหนึ่งเลยต่างหาก แค่ยังไม่เคยเรียนรู้อะไรมาก่อน ขาดแคลนประสบการณ์ชีวิต ถึงได้พลาดท่าตกอยู่ในมือของซ่งเหยี่ยนชิง ซ่งเหยี่ยนชิงเป็นคนอวดดีโอหังคนหนึ่ง นายเชื่อไหมว่าถ้าซ่งเหยี่ยนชิงรั้งอยู่ในวัดหนานซานนานอีกนิด ทันทีที่คลายความระแวงประมาทเผลอตัว มีความเป็นไปได้สูงว่าถึงพวกเราไม่ลงมือ เขาก็จะถูกปีศาจตัวนี้จัดการอยู่ดี!”
หยวนกังแปลกใจ “ทำไมคุณคิดแบบนั้น?”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มบางๆ พลางอธิบายว่า “นายคิดดูดีๆ สิ ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นหรอก เอาแค่เหล่าสมณะกว่ายี่สิบรูปนั้นเดิมทีสามารถฉวยโอกาสหนีเอาตัวรอดไปอย่างปลอดภัยได้ แต่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ก็ยังยินดีติดตามเสี่ยงภัยไปกับเขา…ก่อนหน้านี้ดูเหมือนซ่งเหยี่ยนชิงจะลงมือฆ่าพวกเขาไปสิบกว่าคนแล้ว ใจคนหยั่งวัดได้ยากที่สุด นับประสาอะไรกับสมณะกล้าลงมือสังหารพวกคนชั่วล่ะ คนที่สามารถซื้อใจคนสิบกว่าคนได้จะเป็นคนโง่เช่นนี้อย่างนั้นหรือ? อาศัยเพียงแค่จุดนี้ก็ทำให้มองเห็นชัดเจนแล้ว! เขาไม่ได้แย่เหมือนอย่างที่นายคิด พื้นฐานส่วนตัวถือว่าเป็นคนที่ไม่เลวเลย อย่างมากก็แค่มีปัญหาด้านมุมมองการใช้ชีวิตกับมุมมองด้านการให้คุณค่านิดหน่อยเท่านั้น นับว่าเป็นคนมีพรสวรรค์ที่สั่งสอนได้ ถ้าอยากซื้อใจคนประเภทนี้ แค่ทำดีกับเขาไม่มีประโยชน์หรอก มีแค่วิธีเดียวเท่านั้น นั่นคือทำให้เขาให้ยอมสยบซะ! ถ้านายว่างก็ไปสั่งสอนสักหน่อยแล้วกัน”
หยวนกังได้ฟังก็เงียบไป เผยสีหน้าครุ่นคิดไตร่ตรอง ก่อนจะหมุนตัวหันหลังกลับไปทันที ชนเข้ากับหยวนฟางที่เพิ่งเดินออกมาจากห้อง เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร ยกเท้าถีบอย่างรุนแรงทีหนึ่ง
พลั่ก! หยวนฟางถูกถีบยอดอกจนกระเด็นกลับเข้าไป
หยวนกังพุ่งตามเข้าไป ใช้หมัดเท้าเข่าศอกเข้าจู่โจมทันที ทุบตีอย่างบ้าคลั่ง!
ภายในห้อง หยวนฟางร้องโหยหวน ร้องขอความเมตตาอยู่ไม่ขาด
ไม่ง่ายเลยกว่าเสียงโหยหวนจะหยุดลง หยวนกังเดินออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เมินเฉยต่อองครักษ์ในบริเวณใกล้เคียงที่มองดูด้วยสายตาตกตะลึง เขาจัดเสื้อผ้าเล็กน้อย สาวเท้าจากไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง หยวนฟางเองก็เดินกะโผลกกะเผลกออกมาเช่นกัน เขาเช็ดเลือดกำเดา จมูกช้ำหน้าบวมเป่ง ใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าตนถูกซ้อมเพราะเหตุใด ไม่ได้รับแม้แต่คำอธิบาย ถูกทุบตีอย่างไร้เหตุผล…
…..
ณ จวนผู้ว่าการ ภายในสวนดอกไม้เงียบสงบ เฟิ่งหลิงปอยกมือไพล่หลังเงยหน้ามองจันทราบนท้องฟ้ายามค่ำคืน สีหน้าเจือความกลัดกลุ้ม พอคิดว่าต้องยกบุตรสาวให้ออกเรือนไปเช่นนี้ อารมณ์ก็ซับซ้อนอยู่บ้าง
เผิงอวี้หลานเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าแผ่วเบา พาดเสื้อคลุมกันลมตัวหนึ่งลงบนไหล่ของเขา
มาตรว่าจะอยู่ในช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิ ทว่าไอน้ำค้างในช่วงกลางคืนยังคงหนาวเย็น สามีของนางมิใช่ผู้บำเพ็ญเพียร สกัดกั้นไอเย็นที่เข้ารุกรานร่างกายไม่ได้ มิใช่แค่เพียงสามีของนางเท่านั้น แต่คุณสมบัติร่างกายของบุตรธิดาทั้งสามคนของนางต่างไม่เหมาะกับการบำเพ็ญเพียรเลยสักคน มิเช่นนั้นด้วยฐานะของนางย่อมฝากฝังลูกๆ ให้เข้าสู่สำนักหยกสวรรค์ได้ เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกจนปัญญาอยู่บ้าง ทว่าช่วยไม่ได้ มนุษย์แต่ละคนมีโครงสร้างเส้นลมปราณแตกต่างกันไปไม่มากก็น้อย มนุษย์ที่เหมาะจะบำเพ็ญเพียรมีจำนวนน้อยยิ่ง
เฟิ่งหลิงปอหันกลับมามอง ส่งยิ้มให้นางเล็กน้อย
เผิงอวี้หลานยื่นกระดาษบางๆ แผ่นหนึ่งให้เขา “ท่านพ่อของข้าส่งข่าวมาแล้ว สำนักหยกสวรรค์ทำการหารือกันภายในและเห็นชอบกับเรื่องนี้ แต่ก็กังวลว่าหลังจากท่านแบ่งคนส่งไปยังอำเภอชางหลูแล้วจะมีกำลังคนไม่พอ เวลานี้จึงส่งกองหนุนมาให้อย่างเร่งด่วนแล้ว”
หากอยู่ในสถานการณ์ปกติทั่วไป เป็นไปไม่ได้ที่กองกำลังทั้งหมดของสำนักหยกสวรรค์จะโยกย้ายมาอยู่ที่จังหวัดกว่างอี้ สำนักหยกสวรรค์ยังต้องคำนึงถึงเขตอิทธิพลของกลุ่มอำนาจอื่นๆ ด้วย คนของสำนักหยกสวรรค์ที่ส่งมาอยู่ที่นี่ส่วนหนึ่งก็รับหน้าที่เป็นผู้คุ้มกัน คนอีกส่วนหนึ่งก็รับผิดชอบเรื่องการเก็บรวบรวมสมุนไพรวิญญาณ สมุนไพรวิญญาณที่ชาวจังหวัดกว่างอี้เก็บมาได้ล้วนจะนำมามอบให้คนเหล่านี้เพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเสบียงและเงินทอง หลังจากทางนี้รวบรวมสมุนไพรวิญญาณมาได้ก็จะส่งต่อไปให้ทางสำนักหยกสวรรค์ ให้สำนักหยกสวรรค์หลอมเป็นโอสถสำหรับใช้ฝึกบำเพ็ญเพียรหรือไม่ก็นำออกไปขายในโลกบำเพ็ญเพียร
อันที่จริงหลังจากสำนักบำเพ็ญใหญ่ๆ ทำการจัดสรรแบ่งแยกอาณาเขตแล้ว พวกเขาก็ล้วนแต่ทำเช่นนี้กันทั้งสิ้น ฟ้ากว้างใหญ่ปฐพีไพศาล วัตถุดิบจำพวกสมุนไพรวิญญาณมิใช่สิ่งที่มีอยู่ทั่วไป ถ้าอาศัยเพียงส่งศิษย์ในสำนักออกท่องไปตามขุนเขาสายธารเพื่อค้นหาและเก็บเกี่ยวสมุนไพรวิญญาณ ประสิทธิภาพในการเก็บรวบรวมสมุนไพรมิแน่ว่าจะดีสักเท่าไร เจ้าสิ่งนี้มิใช่ของประเภทที่ว่าใครเร็วใครได้เสมอไป เพราะกำลังคนของแต่ละสำนักก็มีจำกัด ยิ่งไปกว่านั้นหากผู้บำเพ็ญเพียรล้วนทุ่มสมาธิไปกับการตามหาสมุนไพรวิญญาณกันหมด เช่นนั้นจะเป็นการถ่วงรั้งการฝึกบำเพ็ญเพียรให้ล่าช้าลงได้
แต่แน่นอน สิ่งที่เรียกว่าทรัพยากรบำเพ็ญเพียรมิได้หมายถึงสมุนไพรวิญญาณที่เก็บรวบรวมมาได้หลังทำการกำหนดอาณาเขตแล้วเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังรวมถึงเสบียงและเงินทองด้วย
ถ้าอยากให้การบำเพ็ญเพียรมีประสิทธิภาพ สินศาสตร์คู่ครองสถานที่[2]ล้วนไม่อาจขาดไปได้ สิ่งที่อยู่ในอาณาเขตของผู้อื่นไหนเลยจะปล่อยให้เจ้าไปหยิบฉวยมาได้ง่ายๆ?
หลังจากเฟิ่งหลิงปอรับกระดาษไปส่องอ่านใต้แสงจันทร์แล้ว เขาก็ขยำกระดาษเอาไว้ในมืออย่างเงียบๆ ผลลัพธ์ไม่ผิดไปจากที่คาดไว้ ผ่านไปพักใหญ่ เขาถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “ทางรั่วหนานเจ้าไปกล่อมดูอีกทีเถอะ!”
“อืม!” เผิงอวี้หลานพยักหน้าเล็กน้อย
ในเวลานี้เอง พ่อบ้านโซ่วเหนียนสาวเท้าก้าวเข้ามา ทำความเคารพทั้งสองคน
เฟิ่งหลิงปอเอ่ยถาม “เป็นอย่างไร?”
โซ่วเหนียนรายงานว่า “จัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ น่าจะเข้ามาพบนายท่านวันพรุ่งนี้ขอรับ”
เฟิ่งหลิงปอพยักหน้า สื่อว่าเข้าใจแล้ว เผิงอวี้หลานถามด้วยความเป็นกังวล “ซางเฉาจงผู้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร?”
โซ่วเหนียนตอบสั้นๆ “รูปโฉมงามสง่า บุคลิกสมชายชาตรีทีเดียวขอรับ!”
เผิงอวี้หลานร้องอ้อคำหนึ่ง เบาใจลงพอสมควร จากนั้นก็กังวลขึ้นมาเล็กน้อยอีกครั้ง รูปโฉมงามสง่าแล้วจะต้องตาบุตรสาวของตนหรือ? แต่นางกลับมิได้กังวลเลยว่าซางเฉาจงจะไม่แต่งกับบุตรสาวตน คาดว่าซางเฉาจงเองก็คงไม่กล้าเช่นกัน กลัวก็แต่วันหน้าซางเฉาจงจะเย็นชาต่อบุตรสาวตน ทำให้บุตรสาวตนได้รับความคับข้องหมองใจที่ไม่อาจบอกเล่าได้ บางครั้งความเย็นชาเฉยเมยก็ทำร้ายคนได้ยิ่งนัก
ผ่านไปสักพัก เผิงอวี้หลานมาที่เรือนของบุตรสาว เข้าไปในห้องของบุตรสาว
ภายในห้อง สี่สาวเหมย หลาน จู๋และจวี๋ได้รับคำสั่งให้จับตามองเฟิ่งรั่วหนานไว้ไม่ให้คลาดสายตา ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุเหนือความคาดหมายอันใดขึ้น ส่วนเฟิ่งรั่วหนานยังคงสวมชุดเกราะเอาไว้ตลอดไม่ถอดออกเลย นอนทื่ออยู่บนตั่ง
เผิงอวี้หลานโบกมือ สื่อให้สี่สาวถอยออกไป จากนั้นนั่งลงข้างตั่ง
นางยังไม่ทันได้เปิดปากพูด เฟิ่งรั่วหนานก็ชิงพูดก่อนแล้ว “ท่านแม่ ท่านไม่จำเป็นต้องมากล่อมข้าอีก ข้าบอกว่าไม่แต่งก็คือไม่แต่ง จะเป็นผู้ใดมาบังคับข้าก็ไม่มีประโยชน์!”
เผิงอวี้หลานเอ่ยอย่างมีน้ำโหอยู่บ้าง “ข้าเองก็ไม่อยากเห็นเจ้าออกเรือนไปกับคนแบบนี้เช่นกัน แต่ดีร้ายอย่างไรเจ้าก็เป็นแม่ทัพบัญชาการศึก อยู่ในสนามรบมาแล้วไม่รู้บ้างหรือว่าอะไรที่เรียกว่าเห็นแก่ส่วนรวม?”
เฟิ่งรั่วหนานลุกขึ้นนั่งทันที กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “นี่มันเรียกว่าเห็นแก่ส่วนรวมอย่างไร? ข้าว่าเป็นการเห็นแก่ส่วนรวมของสำนักหยกสวรรค์เสียมากกว่า! ท่านให้ท่านตามาหาข้าสิ ข้าจะได้ถามเขาดูว่าเสียสละหลานสาวของตนเพื่อเติมเต็มสำนักหยกสวรรค์ ใช่สิ่งที่ลูกผู้ชายพึงกระทำหรือ?”
“สามหาว!” เผิงอวี้หลานตบหน้านางหนึ่งฉาดดังเพียะ ลุกพรวดทันที ชี้หน้านางพลางดุด่า “หากไม่สนภาพรวมของสำนักหยกสวรรค์แล้วจังหวัดกว่างอี้จะมั่นคงได้หรือ? เจ้ารู้บ้างหรือไม่ว่ามีคนมากน้อยเพียงใดที่อยากปลิดชีวิตบิดาเจ้าน่ะ? การต่อสู้แย่งชิงระหว่างสำนักใหญ่หากไม่รุกก็ต้องถอย หากเจ้าไม่ขยายอิทธิพลอำนาจ คนอื่นที่มีอิทธิพลมีอำนาจก็จะมาฮุบกลืนเจ้า หากสำนักหยกสวรรค์ล่มสลาย จะยังรักษาจังหวัดกว่างอี้ไว้ได้อีกหรือ? บิดาเจ้า มารดาเจ้าอีกทั้งพี่ชายของเจ้าล้วนจะตายอย่างไร้หลุมฝังกลบ หรือนี่คือสิ่งที่เจ้าอยากเห็น?”
นี่มิใช่คำลวง สำนักนิกายต่างๆ ล้วนมีความสัมพันธ์เชิงพึ่งพาอาศัยกับกลุ่มอิทธิพลของโลกปุถุชนที่อยู่ในเขตพื้นที่ของตน หากเจ้ามีอาณาเขตพื้นที่กว้างใหญ่ขึ้นก็จะเก็บเกี่ยวทรัพยากรบำเพ็ญได้มากขึ้น เมื่อเจ้ายึดครองพื้นที่ได้จะต้องมีคนคอยช่วยดูแลจัดการเรื่องทางโลกให้ ต่อให้มีศิษย์ในสำนักมากมายแค่ไหนก็ไม่อาจส่งศิษย์ทั้งหมดไปยังโลกปุถุชนเพื่อจัดการเรื่องรบทัพจับศึกเล่นเกมการเมืองได้ หากมีอาณาเขตพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล เช่นนั้นต้องส่งศิษย์ออกไปมากน้อยเพียงใดถึงจะดูแลจัดการได้ทั่วถึง? เรื่องนี้ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง อีกทั้งจุดประสงค์หลักของผู้บำเพ็ญเพียรก็คือการฝึกบำเพ็ญเพียร ความสามารถในการจัดการเรื่องทางโลกของผู้บำเพ็ญเพียรอาจจะสู้คนในโลกปุถุชนไม่ได้ด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้ถึงจำเป็นต้องให้การสนับสนุนตัวแทนในโลกปุถุชนให้เข้ามาจัดการแทน เกื้อหนุนผู้กล้าและบุคคลมีความสามารถโดดเด่นในโลกปุถุชนให้ช่วยดูแลจัดการแทน นี่คือวิธีประหยัดกำลังศิษย์ในสำนักได้ดีที่สุด
หากอยากได้ทรัพยากรบำเพ็ญมากขึ้นก็จำเป็นต้องขยายอาณาเขตให้ใหญ่ขึ้น และหากต้องการขยายอาณาเขตให้ใหญ่ขึ้นก็ต้องรับศิษย์เพิ่มขึ้น ไม่อาจละเลยความปลอดภัยของตัวแทนในโลกปุถุชนรวมถึงคนที่เป็นเส้นสายกำลังหลักของตัวแทนได้ มิเช่นนั้นตัวแทนรวมถึงเส้นสายกำลังหลักของตัวแทนจะถูกคู่แข่งปลิดชีพได้ง่ายๆ นี่จึงเป็นที่มาของฝ่าซือติดตาม และเมื่ออาณาเขตขยายใหญ่ขึ้น จำนวนฝ่าซือติดตามที่ต้องจัดส่งออกไปย่อมเพิ่มขึ้นเช่นกัน จำเป็นต้องอบรบชุบเลี้ยงศิษย์มากขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรมากกว่าเดิมเพื่อจุนเจือ นี่คือเหตุผลที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กัน
เฟิ่งรั่วหนานกุมหน้า กัดริมฝีปาก น้ำตาเอ่อริน นางย่อมไม่อยากเห็นครอบครัวไม่เป็นสุข แต่นางก็ไม่อยากออกเรือนไปด้วยความอัปยศเช่นนี้
“รั่วหนาน ถือว่าแม่ขอร้องเจ้าได้หรือไม่?” น้ำเสียงเผิงอวี้หลานอ่อนลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ต้องให้แม่คุกเข่าขอร้องเจ้าหรือไม่?” ว่าแล้วนางก็เดินเข้าหยุดตรงหน้าบุตรสาว ย่อเข่าลง เตรียมจะคุกเข่า
เฟิ่งรั่วหนานยื่นสองมือออกไปประคองแขนนางไว้อย่างรวดเร็วพลางส่ายหน้า ไหนเลยจะรับการคุกเข่าขอร้องจากมารดาได้ นางเอ่ยทั้งน้ำตาว่า “ท่านแม่ ท่านอย่าทำเช่นนี้เลย แค่ข้าแต่งก็พอใช่หรือไม่?”
สองแม่ลูกพลันกอดกันร่ำไห้
“ท่านแม่ ข้าคับข้องใจนัก ซางเฉาจงคนนั้นรังแกกันเกินไปแล้ว…” เฟิงรั่วหนานสะอื้นไห้อยู่ในอ้อมกอดของมารดา
เผิงอวี้หลานลูบหลังบุตรสาว รับรองเป็นมั่นเหมาะ “เจ้าวางใจเถอะ แม่วางแผนเอาไว้แล้ว จะระบายแค้นแทนเจ้าให้ได้ พ่อเจ้าก็เห็นด้วยแล้ว!”
ช่วงเช้าวันต่อมา หนิวโหย่วเต้ายังนั่งสมาธิอยู่ในห้อง หยวนกังเคาะประตูแล้วเดินเข้ามา มาเอ่ยปลุกอยู่ด้านข้าง “เต้าเหยี่ย สามคนนั้นรออยู่ด้านนอก บอกว่ามาขอพบคุณ”
หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ เก็บลมปราณแล้วพ่นลมหายใจออกมา จากนั้นลืมตาขึ้น เขาย่อมทราบว่าสามคนนั้นหมายถึงผู้ใด นอกจากพวกซางเฉาจงแล้วจะเป็นใครไปได้อีก
เขาลุกขึ้นเดินออกมาด้านนอก มองเห็นคนทั้งสามอยู่ด้านล่างบันได ทั้งสามเดินเข้ามาพร้อมกันประสานมือเอ่ยทักทาย “เต้าเหยี่ย!” น้ำเสียงเจือความเคารพนับถือไม่น้อยเลย
หนิวโหย่วเต้ามิได้เก็บมาใส่ใจ ความนับหน้าถือตานี้เขาได้มาเพราะความสามารถตน อย่างไรก็ตามพอเห็นใต้ตาคล้ำเป็นวงของซางเฉาจง เขาก็อดขบขันไม่ได้ คาดว่าเมื่อคืนคนผู้นี้คงนอนไม่หลับเลยกระมัง เขาหุบยิ้ม ประสานมือเอ่ยทักทายอย่างเคร่งขรึม “มิทราบว่าท่านอ๋องมีเรื่องใดจะสั่งการหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางเฉาจงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ากำลังจะไปพบเฟิ่งหลงปอ จึงอยากเชิญเต้าเหยี่ยไปด้วยกัน”
“สำหรับเรื่องนี้ ข้าคงไม่ไปแล้ว เชิญพวกท่านตามสบายเถิด” หนิวโหย่วเต้ายิ้มแย้มพลางโบกมือให้ ทำเรื่องไม่ดีย่อมกระดากใจอยู่บ้าง เรื่องที่จำเป็นต้องคอยมองสีหน้าคนอื่นเช่นนี้ให้คนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ไปเผชิญเอาเองแล้วกัน เขาเอ่ยถามไปอีกประโยคหนึ่ง “แล้วเรื่องเงินหมื่นเหรียญทองเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซางเฉาจงส่ายหน้าด้วยความจนปัญญา “ไม่คุ้ยเคยกับผู้คนที่นี่ หาเงินมากขนาดนั้นในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ได้จริงๆ” เขาผายมือไปทางหลานรั่วถิงเล็กน้อย “คงได้แต่ต้องรบกวนท่านอาจารย์แล้ว อีกเดี๋ยวค่อยไปเจรจากับเฟิ่งหลิงปอ ขอค้างชำระไว้ก่อน ไปถึงอำเภอชางหลูแล้วค่อยคิดหาทางชดใช้”
ค้างชำระหรือ? หนิวโหย่วเต้ามองพวกเขาทั้งสาม มีสีหน้าหมดคำพูด เขาเอ่ยว่า “พวกท่านสามคนตรากตรำอยู่ทั้งคืนกลับคิดออกเพียงวิธีการเช่นนี้หรือ? หากพวกท่านไปมือเปล่าเช่นนี้ ประเดี๋ยวเสียหน้ากลับมาก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนพวกท่านแล้วกัน!”
………………………………………………..
[1] หนิว (牛) ในชื่อของหนิวโหย่วเต้าแปลว่าวัว
[2] เป็นปัจจัยสี่แห่งการบำเพ็ญ สิน คือ สินทรัพย์ ศาสตร์ คือ ศาสตร์วิชา คู่ คือ คู่ร่วมบำเพ็ญ สถานที่ คือ สถานที่เหมาะสมสำหรับฝึกบำเพ็ญ