ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 540 เป็นฝีมือข้าเอง
บทที่ 540 เป็นฝีมือข้าเอง
“ไม่ว่าอวี้ชางจะใช้ผู้นำหอจันทร์กระจ่างหรือไม่ แต่ฐานะของเขาเชื่อมโยงมากมายเกินไป ไม่อาจปล่อยให้เกิดความผิดพลาดได้ หอจันทร์กระจ่างต้องทุ่มกำลังมหาศาลเพื่อกำจัดเจ้าแน่นอน ตอนนี้พวกเราจะไปไหนกัน? ควงไม่อาจซ่อนตัวไม่โผล่หน้าไปชั่วชีวิตได้กระมัง”
ก่วนฟางอี๋เหลียวมองรอบข้างด้วยความหวาดกลัว ทราบดีว่าหากโชคร้ายทราบฐานะของอวี้ชางเข้า เช่นนั้นล่วงเกินหอจันทร์กระจ่างเข้าแล้วจริงๆ เรื่องใหญ่หลวงเช่นนี้ต้องมีการทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อกำจัดทิ้งแน่ คิดๆ ไปก็หวาดกลัวนัก
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ไปที่ใดแล้วปลอดภัยย่อมต้องไปที่นั่น ข้าไม่เชื่อหรอกว่าหอจันทร์กระจ่างจะกล้ากำแหงในอาณาเขตของเก้าเจ้าศักดา ตอนนี้เรื่องสำคัญคือต้องเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ให้ได้ก ขอเพียงพ้นเคราะห์นี้ไปได้ เรื่องร้ายอาจจะกลายเป็นดี”
เดิมทีทางนี้วางแผนจะมุ่งหน้าไปยังแคว้นเว่ยต่อ แต่ตอนนี้เป็นเพราะเรื่องนี้จึงต้องเปลี่ยนแผนอย่างสิ้นเชิง
กองกำลังของหอจันทร์กระจ่างกระจายตัวอยู่ทุกแคว้น ก่อนที่จะหลุดพ้นจากเรื่องนี้ ไหนเลยจะกล้าโผผล่หน้าไปที่แคว้นเว่ย
….
ณ สวนไม้เลื้อย ภายในห้องที่เงียบสงบห้องหนึ่ง อวี้ชางนั่งขัดสมาธินิ่งอยู่บนเบาะกลม สองมือวางบนเข่า ดวงตาปรือขึ้นกึ่งหนึ่ง แววตาเย็นชาแปลกพิกล
ตู๋กูจิ่งเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามาเพิ่งจะปิดประตูห้อง อวี้ชางก็เอ่ยถามขึ้นมาก่อน “หาเบาะแสทิศทางเจอหรือยัง?”
ตู๋กูจิ่งคุกเข่าลงตรงหน้าเขา “คนผู้นี้เจ้าเล่ห์มาก จงใจอ้อมไปอ้อมมา คงไม่ทราบว่าถูกวางเบาะแสติดตามไว้กับตัวแล้ว เขาอ้อมไปอ้อมมาก็ถ่วงเวลาเช่นนี้กลับเป็นการให้เวลาพวกเราแจ้งกำลังคนรอบข้างได้เตรียมตัว ยืนยันทิศทางในขั้นสุดท้ายแล้วขอรับ มุ่งหน้าไปทางหอไร้ขอบเขต”
“หอไร้ขอบเขตหรือ!” มุมปากอวี้ชางกระตุกเล็กน้อย แค่นหัวเราะเย็นชา “ใช่แล้ว คงรู้ว่าพวกเราไม่กล้าลงมือในหอไร้ขอบเขตและไม่กล้าก่อเรื่องวุ่นวายในหอไร้ขอบเขตจริงๆ เรื่องนี้จะผิดพลาดไม่ได้ อย่าปล่อยให้พวกเขาไปถึงหอไร้ขอบเขต มิเช่นนั้นจะเป็นผลร้ายต่อพวกเรา ต้องขวางพวกเขาไว้ให้ได้”
ตู๋กูจิ่งตอบว่า “อาจารย์โปรดวางใจ มีเหยื่อล่ออยู่บนตัวเขาแล้ว ขอเพียงเขาไม่สังเกตเห็นก็หนีไม่รอดแน่ขอรับ”
อวี้ชางเอ่ยเตือน “อย่าลืมเล่า ก่วนฟางอี๋คนนั้นมียันต์กระบี่สวรรค์อยู่กับตัว”
ตู๋กูจิ่งกล่าวว่า “ไม่มีทางจะมียันตืกระบี่สวรรค์ให้ใช้ไม่รู้หมดสิ้น ระดมกำลังยอดฝีมือจำนวนมากให้ตามไปขัดขวางแล้ว ถึงมียันต์กระบี่สวรรค์ก็หนีไม่รอดขอรับ ต่อให้จับเป็นไม่ได้ แต่ยังคงกำจัดเขาทิ้งได้ไม่เป็นปัญหาเลยขอรับ”
….
ณ จวนครองฟ้า เสวียนเวยนั่งอยู่หลังโต๊ะถือจดหมายลับอ่านดู
นางพลันฟาดจดหมายลงบนโต๊ะเสียงดังปัง! เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “คังเหอทำงานประสาอะไร?”
ซีเหมินฉิงคงเดินเข้ามา ยื่นมือไปดึงจดหมายที่นางทับไว้บนโต๊ะออกมา สะบัดกางอ่าน หลังอ่านจบเขาขมวดคิ้วนิดๆ เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเสวียนเวยถึงโมโห
“อ้างอิงจากที่กล่าวว่า เป็นตัวเขาเองที่ไม่ยอมมา แตงที่ฝืนเด็ดย่อมไม่หวาน จากไปแล้วก็ปล่อยไปเถอะ จะโมโหไปไยเล่า” ซีเหมินฉิงคงเอ่ยปลอบใจประโยคหนึ่ง
เสวียนเวยส่ายหน้า “หากเขาถูกคนอื่นลักพาตัวไปยังพอว่า แต่การที่เขาไม่ยอมมาทำให้ข้าโมโห เขาไม่ไยดีแคว้นเว่ยของข้า หนีไปซบที่อื่นแล้ว”
ซีเหมินฉิงคงกล่าวว่า “บางทีอาจจะพะวงถึงเป่ยโจว ไม่ยินดีจะละทิ้ง”
เสวียนเวยเอ่ยว่า “ตอนนี้เขาไม่มีทางไปที่เป่ยโวได้ แม้แต่แคว้นฉีก็เริ่มลงมือจับกุมเขาแล้ว หากอยากหนีออกจากแคว้นฉีอย่างราบรื่นจะต้องมีกลุ่มอิทธิพลอื่นมารับตัวเขาไปแน่นอน แคว้นเว่ยของเราไม่ดีอย่างไร ในเจ็ดแว่นแคว้นแผ่นดินของเรามั่งคั่งที่สุด ไหนเลยจะไม่คู่ควรสำหรับเขา?”
ซีเหมินฉิงคงเอ่ยปลอบ “อย่าโกรธไปเลย หากมีโอกาสเหมาะสมข้าจะให้บทเรียนเขาสักหน่อย”
เสวียเวยเอียงคอมอง กลอกตาใส่เขาทีหนึ่งท่าทางเยี่ยงเด็กสาวๆ ให้ความรู้สึกน่าเอ็นดูนิดๆ นางเอ่ยว่า “หนิวโหย่วเต้าไม่ปล่อยเขาไป แคว้นฉีก็ต้องการลงมือกับเขา ตอนนี้มาล่วงเกินแคว้นเว่ยของเราเข้าอีก เข้าไม่โผล่หัวออกมาแน่ ทันทีที่โผล่ออกมาแปลว่าต้องมีที่พึ่งอยู่ เกรงว่าเขาคงมิใช่คนที่เจ้าจะลงสั่งสอนได้ง่ายๆ”
โฉมงาทรงเสน่ห์แต่กลับทำตัวหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิง! ซีเหมินฉิงคงชอบเห็นนางทำท่าทีเช่นนี้ เขายิ้มน้อยๆ เอ่ยไปว่า “แค่สุนัขจรพลัดถิ่นตัวหนึ่ง ไม่คู่ควรให้เก็บมาใส่ใจเลย ไปแล้วก็ปล่อยไปเถิด เป็นเขาที่ไม่รู้ความเอง แล้วไปเถิด”
เสวียเวยมองออกไปนอกประตู ท่าทางคล้ายจะเอ่ยกับตัวเอง “ข้าก็อยากเห็นนักว่าเขาหมางเมินแคว้นเว่ยของข้าแล้วไปเห็นดีผู้ใดเขา”
ในเวลานี้เอง มีขันทีอีกคนเดินเข้ามา ถือจดหมายลับฉบับหนึ่งด้วยสองมือพอวางลงแล้วก็ถอยออกไปอีกครั้ง
เสวียนเวยยื่นมือไปหยิบมา หลังจากอ่านจบก็หัวเราะหยันอีกครั้ง “ดีนัก เนื้อไม่ได้กินหนังไม่ได้รองดันได้กระดูกมาแขวนคอ ล้วนคิดว่าเป็นฝีมือแคว้นเว่ยของข้ากันหมดแล้ว”
ซีเหมินฉิงคงดึงจดหมายจากมือนางออกมาอ่านอีกครั้ง พบว่าเป็นจดหมายจากหยวนกัง ต้องการตัวคนจากทางนี้ ให้ส่งมอบตัวเซ่าผิงปอออกมาเสีย เรื่องเงื่อนไขสามารถเจรจากันได้
ทางนี้รู้แก่ใจดีว่าเพียงใช้หยวนกังบังหน้า คนที่ต้องการตัวคนก็คือหนิวโหย่วเต้า…
….
นภาสูงปฐพีกว้างไกล เย็นย่ำตะวันยอแสงแล้ว
เมื่อทอดมองลงมาจากกลางอากาศสูง พสุธาไพศาลเบื้องหน้าราวกับมังกรขนาดมโหฬารที่นอนพาดอยู่ ฝั่งหนึ่งคือทุ่งหญ้าเขียวขจี อีกฝั่งคือทะเลทรายไกลสุดลูกหูลูกตา
หยวนกังคุ้ยเคยกับภูมิประเทศแถบนี้ดี อดีตอันน่าเศร้าเอ่อท้นขึ้นมาในหัวใจ ทันใดนั้นมีจุดดำๆ ลอยขึ้นมาจากยอดเขาที่พาดขวางอยู่ด้านหน้า ไม่ได้มีเพียงจุดเดียว แต่มีถึงสามจุด
หยวนกังที่ระลึกถึงเรื่องราวในอดีตอยู่พลันได้สติกลับมา ตะโกนเสียงดัง “เต้าเหยี่ย!”
หนิวโหย่วเต้าสังเกตเห็นแล้ว
ไม่ได้มีจุดดำเพียงสามจุดเท่านั้น มีจุดดำนับไม่ถ้วนลอยสูงขึ้นมารอบข้าง บินถลาเข้ามาจากสองฝั่งซ้ายขวา
“ข้างหลัง!” ก่วนฟางอี๋หวีดร้องขึ้นมา
หนิวโหย่วเต้าหันกลับไปทันที เห็นเพียงมามีจุดดำสามจุดลอยขึ้นมาจากพื้นด้านหลังอีก กระจายตัวไล่ระดับความสูงกัน เหินลอยเข้ามาใกล้
เห็นได้ชัดว่านี่คือการปิดล้อมโจมตีจากสี่ทิศทาง มิใช่เรื่องบังเอิญแน่
เขาไม่ค่อยเข้าใจนัก ต่อให้มีการดักสกัด ต่อให้เดาได้ว่าเขาจะมาหอไร้ขอบเขต แต่ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล ขอบเขตการบินกว้างขวาง เหตุใดถึงซุ่มโจมตีได้แม่นยำขนาดนี้เล่า? เช่นนี้แปลว่ารู้ทิศทางการบินของเขาอย่างแน่ชัดกระมัง?
หน้าหลังว้ายขวา มีวิหคพาหนะอยู่ถึงสิบตัว มีคนนำวิหคพาหนะสิบตัวมาใช้ดักสกัด!
ทุกคนล้วนหวั่นวิตกขึ้นมา ระหว่างเดินทางหนิวโหย่วเต้าเตือนให้ทุกคนระวังเอาไว้ การเดินทางนี้อาจะเผชิญอุปสรรค ทำให้ทุกคนเฝ้าระวังมาตลอดทาง
“ทะเลทราย! พุ่งเข้าไปเลย!” หยวนกังถือดาบสามคำรามไว้ในมือแล้ว จ่อดาบชี้ไปด้านหน้าพลางตะโกนขึ้นมา
จะให้เพิ่มระดับความสูงขึ้นไปอีกก็เป็นไปไม่ได้ วิหคยักษ์ร่างใหญ่โตเช่นนี้ไม่สามารถบินสูงอย่างไร้ขีดจำกัดได้ หนิวโหย่วเต้าทราบดีว่าเขาสามารถเรียกใช้แมงป่องทรายได้ ขอเพียงเข้าสู่ทะเลทรายได้ก็มีตัวช่วยแล้ว
วิหคของทางฝั่งนี้ปรับแถวในอยู่ในรูปขบวนสามเหลี่ยมทันที
หยวนฟางมองไปรอบๆ ด้วนสีหน้าหวาดกลัว กลับเป็นอิ๋นเอ๋อร์ที่มีสีหน้าเฉยเมยไม่รู้จักความกลัว ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
พอเห็นนางสงบสุขุมหยวนฟางก็เบาใจลง
“อินทรีแดงนักล่า!”
จากนั้นวิหคของทางฝั่งนี้ก็ส่งเสียงร้องอย่างกระวนกระวาย ก่วนฟางอี๋หน้าเปลี่ยนสีตะโกนขึ้นมาในทันใด
เห็นเพียงว่าวิหคยักสามตัวที่ขวางอยู่ด้านหน้า มีตัวหนึ่งที่เร่งความเร็วพุ่งเข้ามาหา เพอเข้ามาใกล้จึงเห็นว่าเป็นอินทรียักษ์ตัวหนึ่งที่มีขนมีแดงสด
อินทรีแดงนักล่าเป็นดาวข่มของอินทรีหยกทมิฬ ไล่ล่าสังหารอินทรีหยกทมิฬได้ ความเร็วในการเหินบินก็เร็วกว่าอินทรีหยกทมิฬ
ไม่ใช่เพียงด้านหน้าเท่านั้น สองฝั่งซ้ายขวาก็มีอินทรีแดงนักล่าพุ่งเข้ามาเช่นกัน อินทรีแดงนักล่าสามตัวพุ่งเข้ามาจากสามทิศทาง ความเร็วว่องไวกว่าทางนี้มาก ทำให้ทางนี้ไร้ทางหลบหนี
ในตอนที่แทบจะมองเห็นคนชุดดำอำพรางหน้าที่อยู่บนหลังวิหคตัวหน้าสุดได้ชัดเจน คนชุดดำทั้งสามยกแขนขึ้นมาแทบจะพร้อมเพรียงกัน ต่างน้าวดึงธนูคันหนึ่งขึ้นสายลูกศรทีเดียวสามดอก
ศรเก้าดอกพุ่งผ่านอากาศเข้ามาเสียงดังฟึบๆๆ
ขณะที่พวกหนิวโหย่วเต้าเตรียมป้องกันอยู่ จู่ๆ ศรทั้งเก้าดอกพลันสลายตัวไปคล้ายกับหมอกควัน
“ศรทะลวงสวรรค์!”
ก่วนฟางอี๋หวีดร้องออกมา สะบัดมือยิงลำแสงสายหนึ่งพุ่งออกไปด้านหน้า
เกิดเสียงดังปัง! ยันต์เบิกบรรพตระเบิดตัวขึ้นกลางอากาศ กระแสลมทรงพลังปะทุขึ้นมา
รอจนวิหคพาหนะของคนทั้งสามฝ่าผ่านกระแสลมกระโชกก็มองเห็นเข็มมากมายที่บางดั่งเส้นขนวัวปลิวว่อนล่องลอบ ศรทะลวงสวรรค์ที่ระเบิดตัวออกมาถูกยันต์เบิกบรรพตที่ปะทุขึ้นมาสกัดกั้นไว้ในทันที ปลิวว่อนดั่งเส้นไหมเริงระบำ สิ้นอานุภาพโจมตีแล้ว
อินทรีแดงนักล่าที่พุ่งเข้ามาหาจากด้านหน้าพลันเหินขึ้นด้านบนดด้วยความตระหนก คลาดกับอินทรีหยกทมิฬสามตัวที่อยู่ด้านล่างไป
ทว่าอินทรีหยกทมิฬอีกสองตัวที่บรรทุกคนชุดดำหกคนไว้ก็พุ่งลงมาหาเช่นกัน ห้าคนในกลุ่มนั้นน้าวสายขึ้นศร ยิงธนูออกไปพร้อมกัน
ศรทะลวงสวรรค์สิบห้าดอกพุ่งเข้ามาอีกครั้งเกิดเสียงฟึบๆๆ
“สารเลว!”
ก่วนฟางอี๋ก่นด่าพร้อมกับลงมือไปในเวลาเดียวกัน ไม่ใช่เพียงนางเท่านั้น แต่สวี่เหล่าลิ่วที่อยู่กับหยวนกัง ลุงเฉินที่อยู่กับหยวนฟางและอิ๋นเอ๋อร์ต่างยิงลำแสงสายหนึ่งออกมาจากมือด้วยเช่นกัน
ปังปังปัง! ยันต์เบิกบรรพตสามแผ่นพุ่งออกไปพร้อมกัน ระเบิดสกัดขวางด้านหน้า
วิหคยักษ์ทั้งสามตัวพุ่งผ่านพายุเข็มที่ปลิวว่อนอีกครั้ง
หนิวโหย่วเต้ายันกระบี่ไว้บนหลังวิหคด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จู่ๆ ก็ยื่นมือช้างหนึ่งออกไป คีบเข็มบางเล่มหนึ่งไว้ในมือ สังเกตเห็นว่าบนเข็มมีสีน้ำเงินเคลือบอยู่ เป็นยาพิษ!
ก่วนฟางอี๋ราวกับเล่นมายากลอยู่ แขนเสื้อสองข้างสะบัดไหว ลำแสงหกสายพุ่งออกไปอย่างต่อเนื่อง ระเบิดขัดขวางอินทรีหยกทมิฬสองตัวที่พุ่งเข้ามาหา
เมื่อทราบดีว่าเป็นมือสังหารจากหอจันทร์กระจ่าง นางจะทำตัวตระหนี่อีกได้อย่างไร ขอเพียงฝ่าวงล้อมออกไปได้ก็คุ้มค่าแล้ว
ส่วนอีกฝ่ายก็ใช่ว่าจะไม่ทุ่มทุนเลย ศรทะลวงสวรรค์ทุกดอกล้วนสร้างขึ้นยากนัก ทุกดอกล้วนมีราคาแพงลิบลิ่ว
คนชุดดำทั้งหกที่มุ่งหน้าเข้ามาหาก็ตกตะลึงเช่นกัน นำยันต์อาคมออกมาใช้อย่างบ้าคลั่งได้ ครอบครองยันต์อาคมไว้มากมายเพียงใดกันแน่ หากมิใช่เพราะทราบดีว่าเป้าหมายคือผู้ใดคงจะหลงคิดไปแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นคนของสำนักชะตาสวรรค์เสียแล้ว
ฝั่งคนชุดดำผู้หนึ่งที่ไม่มีคันธนูและอาวุธใดๆ ติดตัวอยู่เลย จู่ๆ ก็พุ่งตัวออกมาจากหลังอินทรีหยกทมิฬตัวหนึ่ง ซัดกระแสฝ่ามือสีเขียวเข้าใส่ในชั่วพริบตา
มองเห็นกระแสฝ่ามือสีเขียวนี้ หนิวโหย่วเต้าพลันนึกถึงตอนที่ต้วนหู่เล่าฉากที่เฮยหมู่ตานถูกใครบางคนโจมตีให้ฟังขึ้นมาในทันใด
ปังๆๆ…
ยันต์เบิกบรรพตห้าแผ่นระเบิดขึ้นพร้อมกันคนชุดดำผู้นั้นพุ่งฝ่ากระแสลมโหมกระโชกออกมา เหวี่ยงแขนหมุนเป็นวง ภาพท่อนแขนมายาที่เปี่ยมด้วยกระแสปราณสีเขียวสวนจากด้านล่างพุ่งขึ้นสู่ด้านบน ภาพเงากรงเล็บที่ใหญ่โตดั่งกรงเล็บมังกรพุ่งจากด้านล่างขึ้นสู่นภาสูง
วิหคทั้งสามตัวไม่มีแนวป้องกันด้านล่าง ไม่มีผู้ใดคอยสกัดขวาง ถูกเงากระเล็บที่พุ่งขึ้นมาโจมตีใส่อย่างจัง
“แกวก…”
อินทรีหยกทมิฬทั้งสามตัวที่พวกหนิวโหย่วเต้าโดยสารอยู่ร้องโหยหวน ถูกจนตีจนขนปลิวว่อน โลหิตสาดกระเซ็นกลางนภา ผู้โดยสารเผชิญแรงกระแทกมหาศาลต่างกระเด็นออกไป
สวี่เหล่าลิ่วลากตัวหยวนกังเหินทะยานลงสู่เบื้องล่าง ลุงเฉินดึงหยวนฟางกับอิ๋นเอ๋อร์ไว้ ก่วนฟางอี๋ใช้ยันต์อาคมอีกสองแผ่นเพื่อสกัดมือสังหารบนหลังอินทรีหยกทมิฬทั้งสองตัวยื้อเวลาให้หนิวโหย่วเต้าหลบหนี
“ท่านรีบลงมือสิ!” หยวนฟางหวาดกลัวจนร้อนรน ร้องตะโกนใส่อิ๋นเอ๋อร์
อิ๋นเอ๋อร์ที่กำลังไถลลงสู่ด้านล่างเงยหน้ามองขนนกที่ปลิวว่อนอยู่กลางอากาศ ยังมีอินทรีหยกทมิฬอีกสามตัวที่กระพือปีกบินแต่ร่วงดิ่งลงมา นางค่อยๆ มุ่นคิ้วขึ้นมา
“เต้าเหยี่ย!” จู่ๆ ก่วนฟางอี๋ก็กรีดร้องขึ้นมา
ในช่วงที่นางละสายตาไปได้ถูกหนิวโหย่วเต้าสลัดแขนทิ้ง พอหันกลับไปมองก็พบว่าหนิวโหย่วเต้าเหินทะยานออกไปในทิศทางหนึ่ง ไล่ตามยอดฝีมือคนนั้นที่เพิ่งโจมตีใส่เมื่อครู่นี้
วิหคยักษ์ที่บรรทุกมือสังหารบินอยู่กลางอากาศเริ่มไล่ตามเข้าไปหาพวกเขา
พอชายชุดดำที่ไม่มีอาวุธติดตัวเห็นหนิวโหย่วเต้าเหินทะยานเข้ามาหาตน ดวงตาพลันฉายแววตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ค่อนข้างแปลกใจ ตัวยังกลัวเขาจะหนีอยู่เลย ไม่คิดเลยว่าจะเป็นฝ่ายเข้ามาหา เขารู้สึกว่าน่าสนใจจึงเพิ่มแรงเสียดทานชะลอความเร็วลง
หนิวโหย่วเต้าทะยานไล่ตามมา แทบจะเหินเคียงคู่กันแล้ว ทั้งสองต่างหันมาสบตากัน
หนิวโหย่วเต้าจ้องมองเขาแล้วเอ่ยถาม “ตอนที่ตามไล่ล่าข้าในครั้งก่อน เจ้าคือคนที่ทำร้ายเฮยหมู่ตานในเขตลุ่มน้ำจิ่วต้วนใช่หรือไม่?”
อีกฝ่ายกะพริบตาเล็กน้อย เปล่งน้ำเสียงที่ดูชราวัยอย่างเห็นได้ชัด “ลุ่มน้ำจิ่วเต้าหรือ? เจ้าหมายถึงสตรีที่ตกหน้าผาแล้วหลบหนีไปได้คนนั้นหรือ? หากว่าเป็นนาง เช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว เป็นฝีมือข้าเอง”
……………………………………………………………………………………….