ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 546 แผนแคว้นจิ้นครองใต้หล้า
ตอนที่ 546 แผนแคว้นจิ้นครองใต้หล้า
Ink Stone_Fantasy
ขามามีรถม้าเข้าสู่สวนไม้เลื้อยเพียงคันเดียว แต่ขาออกกลับมีสองคัน สวนไม้เลื้อยส่งรถม้าคันหนึ่งคุ้มกันเซี่ยลิ่งเพ่ยออกไป
ปู้สวินที่นั่งอยู่ในรถม้าคันหนึ่งมองก่วนฟางอี๋ที่นั่งอยู่ทางขวา จากนั้นก็มองหนิวโหย่วเต้าที่นั่งอยู่ทางซ้าย พลันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
หนิวโหย่วเต้าหันกลับไป ถามอย่างคล้ายจะแปลกใจ “อะไรหรือ?”
ปู้สวินค่อยๆ หลับตาลง ไม่พูดอะไรอีก
รถม้าทั้งสองคันมุ่งตรงสู่เรือนรับรองแขกต่างแคว้น หยุดลงนอกประตูใหญ่ ไม่นานนักเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบดูแลที่นี่ก็รีบเดินเข้ามาหา ปู้สวินที่นั่งอยู่ในรถม้าเลิกม่านหน้าต่างเอ่ยสั่งการเสียงเรียบไม่กี่ประโยค เจ้าหน้าที่คนนั้นตอบรับต่อเนื่อง จากนั้นก็นำทางหนิวโหย่วเต้า ก่วนฟางอี๋และเซี่ยลิ่งเพ่ยเข้าสู่ด้านใน รับผิดชอบดูแลด้วยตัวเอง
เซี่ยลิ่งเพ่ยมองซ้ายมองขวาไปตลอดทาง แม้จะสนใจใคร่รู้ แต่ก็มีท่าทางกระสับกระส่ายอยู่หลายส่วน
เขาได้ออกมาสัมผัสโลกภายนอกน้อยครั้งนัก อยู่ภายใต้การปกป้องดูแลของพวกอวี้ชางมาโดยตลอด ตามหลักแล้วยังคงเป็นครั้งแรกที่แยกกับพวกอวี้ชางที่อยู่ทางสวนไม้เลื้อย การออกมาคนเดียวเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อีกทั้งแอบมองท่านอาจารย์ด้านหน้าที่เพิ่งจะกราบฝากตัวไปอยู่เป็นระยะ คิดว่าดูอ่อนวัยเกินไปหน่อย
ปู้สวินที่เฝ้ามองตามอยู่ริมหน้าต่างรถม้าค่อยๆ ปล่อยมือลง แววตาลุ่มลึกถูกม่านหน้าต่างรถม้าค่อยๆ บดบังไป
หลังจากจัดการภายในเรือนรับรองเรียบร้อยแล้ว หนิวโหย่วเต้ายืนค้ำกระบี่อยู่ใต้ชายคาเพียงลำพัง ฝนหยุดแล้ว ฟ้าค่อยๆ กระจ่างใส ยังมีหยดน้ำไหลลงมาจากชายคาเป็นครั้งคราว
รออยู่ครู่หนึ่งก่วนฟางอี๋ก็มาถึง ยืนเคียงข้างพลางเอ่ยเสียงเบา “ตรวจสอบแล้ว มิใช่ผู้บำเพ็ญเพียร”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ติดต่อหาคนของสำนักเบญจคีรี ให้พวกเขาไปหาพวกเจ้าลิงแล้วเอาวิหคพาหนะที่ไม่ได้ใช้งานกลับไปก่อน”
ตอนนี้ก่วนฟางอี๋ทราบจุดประสงค์ในการกลับมาของเขาแล้ว อีกทั้งนับว่ายอมรับในตัวคนผู้นี้แล้ว มีลูกไม้มากจริงๆ การที่กล้าเล่นลูกไม้เช่นนี้ได้นับมีความกล้าไม่น้อยเลยจริงๆ
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ความกังวลของนางก็ยังไม่ลดน้อยลง ถามไปว่า “รับศิษย์คนนี้ไว้แล้วมีประโยชน์ใด? จะใช้เขาข่มขู่อวี้ชางได้หรือ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เก็บแม่ม่ายลูกกำพร้าคู่นี้ไว้ข้างกายนานหลายปี แต่ก่อนคิดว่ามีคุณธรรม แต่พอตอนนี้ทราบฐานะของอวี้ชางแล้ว หรือเจ้ายังคิดว่าเป็นเหตุผลเรื่องคุณธรรมอีกเล่า? ฐานะของคนเหล่านี้เร้นลับเปิดเผยไม่ได้ คนใดไม่เกี่ยวข้อง เลี่ยงได้ย่อมต้องหลีกเลี่ยงเป็นแน่ ไม่มีพาตัวภาระสองคนที่ไร้ประโยชน์ไปไหนมาไหนด้วย จะมองอย่างไรก็น่าสงสัยทั้งสิ้น บิดาของศิษย์ข้าคนนี้ไม่เผยชื่อเสียงเรียงนาม แต่ในเมื่อสามารถเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับคนอย่างอวี้ชางได้ เกรงว่าคงไม่ธรรมดา”
พอเอ่ยมาเช่นนี้ ก่วนฟางอี๋คิดดูอย่างละเอียดก็ค่อนข้างฉงนขึ้นมา ถามออกไป “เจ้าคิดว่าเป็นผู้ใด?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า ข้าหาใช่เทพเซียนที่ทำนายชะตาได้ไม่ แค่รอดูไปก็พอ หากว่าไม่สำคัญ พวกเขาจะรอจนครบกำหนดสามวัน แต่หากว่ามีความสำคัญต่อพวกเขา พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้ข้าได้ใช้เวลาได้เล่นลูกไม้อย่างเต็มที่แน่ มีความเป็นไปได้สูงที่จะมาหาข้าภายในวันนี้เลย!”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยอย่างหวั่นวิตก “หากหอจันทร์กระจ่างใช้ไม้แข็งขึ้นมา เกรงว่าผู้คุ้มกันของเรือนรับรองแขกคงไม่อาจขวางกลุ่มคนจากหอจันทร์กระจ่างได้ พวกเราอยู่ที่นี่ตามลำพัง เจ้าไม่กลัวอันตรายหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าปู้สวินไร้พิษสงหรือ? แรกเริ่มเขายังไม่เข้าใจ แต่หากภายหลังยังไม่เฉลียวใจถึงความผิดปกติอีก เขายังจะเป็นผู้รับผิดชอบควบคุมหน่วยข่าวกรองได้หรือ? ยังจะใช่คนที่ช่วยผลักดันเฮ่าอวิ๋นถูฝ่ามรสุมนองเลือดแย่งชิงบัลลังก์ในตอนนั้นมาได้อีกหรือ? ท่าทีบังคับที่ข้ามีต่ออวี้ชางที่สวนไม้เลื้อยก็ล้วนทำเพื่อให้เขาเห็นทั้งนั้น หากเขายังไม่นึกสงสัยในจุดประสงค์ที่ข้ากลับมารับศิษย์ครั้งที่สองอีก หากว่าเชื่อคำพูดที่ข้ากล่าวไปก่อนหน้านี้จริงๆ เช่นนั้นสิถึงจะแปลก เกรงว่ารอบข้างในเวลานี้คงเต็มไปด้วยสายข่าวของปู้สวินแล้ว เกรงว่าอวี้ชางคงถูกเขาจับตามองแล้ว เจ้าให้หอจันทร์กระจ่างลองทำอะไรบุ่มบ่ามดูสิ”
ก่วนฟางอี๋พลันกระจ่างขึ้นมาทันที เข้าใจเรื่องราวแล้ว แผนนี้ดูเหมือนจะเป็นเพียงการหลอกใช้ประโยชน์เท่านั้น แต่ความจริงกลับมีรายละเอียดแฝงอยู่ ร้อยเรียงกับดักเอาไว้ภายในแผนการ ถึงจะทำให้ทางนี้ดูเหมือนตกอยู่ในอันตราย แต่ความจริงแล้วยากจะถูกคุกคามได้ นางอดกลอกตาใส่เขาไม่ได้ “คนอย่างเจ้าช่างเจ้าเล่ห์เหลือเกิน”
ด่าก็ส่วนด่า แต่ในใจยังคงทราบดี นี่คือแบบอย่างชั้นดีในการพยายามเอาชีวิตรอดเมื่อตกอยู่อันตราย คนธรรมดาไม่อาจหลีกเลี่ยงอันตรายเช่นนี้พ้น ไหนเลยจะกล้าเป็นฝ่ายบุกเข้ามาเสี่ยงอันตรายอีก จะใช้แผนนี้ได้ไม่เพียงแต่ต้องมีความสามารถเท่านั้น แต่ยังต้องมีความกล้าหาญสุขุมเยือกเย็นให้มากพอด้วยถึงจะเอาอยู่
พอเข้าใจแล้วนางก็สงบใจได้
พอย้อนคิดดูแล้ว หากมิใช่เพราะปล่อยมาจนถึงขั้นนี้ หากหนิวโหย่วเต้าแจ้งเรื่องราวให้นางทราบล่วงหน้า คาดว่านางคงอกสั่นขวัญเสียแน่ เรื่องเช่นนี้หากประมาทเพียงนิดก็อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ เรียกได้ว่าเสี่ยงถึงชีวิต ดีไม่ดีนางอาจจะคัดค้านอย่างรุนแรง
….
ณ วังหลวงแคว้นจิ้น ไม่ค่อยมีแสงทองอร่ามแวววาว ส่วนใหญ่ตกแต่งด้วยสีดำ
ภายในห้องโถงแห่งหนึ่ง ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่มีคิ้วชี้เฉียงเข้าหาจอนผม ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา ยืนอยู่เบื้องหน้าแผนที่ฉบับหนึ่ง สวมชุดสีดำ รูปร่างล่ำสันกำยำ จ้องมองแผนที่ด้วยแววตาวาวโรจน์ดั่งพยัคฆ์
คนผู้นี้ก็คือไท่ซู่สยง ฮ่องเต้แคว้นจิ้น
ขันทีคนหนึ่งถือกระดาษกางไว้ อ่านออกเสียงอยู่ด้านหลังเขา “…นับตั้งแต่ซางเจี้ยนปั๋วถึงแก่กรรม ขวัญกำลังใจทัพแคว้นเยี่ยนไม่มั่นคง เกิดความวุ่นวายโกลาหล ราชสำนักค่อยๆ อ่อนแอลง กระทั่งฮ่องเต้อ่อนแอเจ้าศักดินาแกร่งกล้าขึ้นจะถึงช่วงที่เกิดวิกฤตใหญ่หลวงตามมา ฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนไร้ความสามารถ โปรดคนฉ้อฉล คลางแคลงขุนนางมีความสามารถ ไม่มีทางพลิกสถานการณ์ได้ กลายเป็นลูกแกะที่รอวันถูกสี่แคว้นฝั่งตะวันออกเชือด ไม่ควรค่าให้กังวล! แคว้นเว่ย กษัตริย์เลอะเลือน หมกมุ่นสูญเสียความทะเยอทะยาน ขุนนางข้าราชบริพารรักสบาย ตามความเห็นของแซ่เซ่า แม้แคว้นเว่ยจะมั่งคั่ง แต่ความจริงเป็นหมูอ้วนพีเปราะบางไร้กำลัง! จักรพรรดิแคว้นฉีองอาจทรงธรรม ทว่าชราวัย เหล่าองค์ชายลอบเคลื่อนไหวพร้อมลงมือ ต่างปกปิดความคิดอยากจะขึ้นแทนที่เอาไว้ เหตุเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า”
“หากฝ่าบาทประสงค์ครองใต้หล้า แคว้นเว่ยก็คือคลังเสบียง ต้องพิชิตมาให้ได้ ในการกวาดล้างสี่แคว้นฝั่งตะวันอก แคว้นฉีอุดมกองทหารม้าชาญศึก หากประสงค์ครองใต้หล้าต้องมีคลังเสบียงไว้เติมกำลังก่อน หนึ่งฟ้ามิอาจมีสองตะวันได้ แคว้นเป้าหมายคลังเสบียงมีเสวียนเวยกางปีกปกป้อง ทางนี้สามารถส่งสาวงามไปยั่วยวนล่อลวงฮ่องเต้แคว้นเว่ยได้ ยุแยงสร้างความร้าวฉานระหว่างพี่น้องผู้ครองแคว้นเว่ย ต้องก่อให้เกิดปัญหาวุ่นวายขึ้นแน่ ส่วนดินแดนทหารม้าชาญศึก สามารถส่งผู้มีความสามารถเข้าไปช่วยหนุนเสริมความทะเยอทะยานในใจเหล่าองค์ชายได้ เมื่อถึงเวลาอันสมควร ทั้งสองแคว้นต่างเกิดจลาจลวุ่นวาย ฝ่าบาทยกทัพเข้าพิชิตคลังเสบียงก่อน เฮ่าอวิ๋นถูจะรับมือศึกนอกได้ก็ต้องสยบศึกในลงก่อน ไม่มีเวลามาไยดีทางแคว้นเว่ย ย่อมได้แคว้นเว่ยมาครองได้อย่างง่ายดาย! สี่แคว้นฝั่งตะวันออกแตกแยกไม่ปรองดอง ไร้กำลังจะมุ่งสู่ตะวันตก แคว้นฉีหัวเดียวกะเทียมเลียบยากจะยืนหยัดได้ ป้องกันกองทัพของฝ่าบาทได้ยาก ฝ่าบาทสามารถฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้เข้ากวาดล้างได้ในคราวเดียว”
“เมื่อสามแคว้นรวมเป็นหนึ่งเดียว ทางตะวันออกเฉียงเหนือมีทะเลทรายขีดคั่น ตะวันออกเฉียงใต้เป็นเขตที่ราบสูงอันตราย ขอเพียงส่งทัพใหญ่ไปปิดกั้นเฝ้าระวังเส้นทางหลักไว้ อาศัยประโยชน์จากชัยภูมิและฤดูกาล ถึงสี่แคว้นอยากบุกโจมตีก็มีใจแต่ไร้กำลัง มีคลังเสบียงอยู่ในมือ มีกองทหารชาญศึกในครอบครอง มีเสบียงและไพร่พลครบครัน ขอเพียงฟื้นบำรุงกำลังเล็กน้อย รอให้สถานการณ์ภายในเป็นปึกแผ่นสักสองสามปี ทัพใหญ่ย่อมมีโอกาสดีได้รุกสู่ฝั่งตะวันออก…”
ไท่ซู่สยงที่จ้องมองแผนที่อยู่ด้วยแววตาเปล่งประกายอย่างยิ่งพลันหันกลับมาในทันใด คว้าสารรายงานในมือของขันทีไป
“…..” เสียงอ่านของขันทีขาดห้วงลง เมื่อเงยหน้ามองก็เห็นเพียงว่าไท่ซู่สยงถือสารรายงานด้วยสองมือ เดินวนไปวนมา ก้มหน้าอ่านรายละเอียดแผนการในสารรายงาน
ยิ่งอ่านไท่ซู่สยงก็ยิ่งตื่นเต้น พบว่านี่มิใช่เพียงแผนยุทธศาสตร์บนหน้ากระดาษเท่านั้น แต่มีวิสัยทัศน์ลึกซึ้งและแนวทางปฏิบัติจริงด้วย อดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเอง “เป็นแผนแคว้นจิ้นครองใต้หล้าที่ยอดเยี่ยมนัก ไม่แปลกเลยที่สามารถอาศัยมณฑลเพียงแห่งเดียวต่อต้านแคว้นหานทางเหนือและแคว้นเยี่ยนทางใต้ได้ เป็นคนที่ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย!”
ผ่านไปสักพักหนึ่ง ไท่ซู่สยงพลันเงยหน้าขึ้น ถือสารรายงานไว้พลางโบกมือร้องสั่งว่า “เปิดประตูหลัก ข้าจะรับรองเขาด้วยตัวเอง!”
ขันทีพลันตกใจ เดินเข้ามาเกลี้ยกล่อม “เซ่าผิงปอคนนี้ชื่อเสียงฉาวโฉ่ ฝ่าบาทโปรดทบทวนด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“หากเขาคือหมาป่า ข้าก็คือพยัคฆ์ร้าย มีอันใดต้องกลัวเล่า? หากเขาสามารถช่วยสนับสนุนข้าให้กลายเป็นมหาจักรพรรดิเช่นซางซ่งได้ ข้าจะทำหมางเมินได้อย่างไร เปิดประตูหลัก!”
เสียงของไท่ซู่สยงดังก้องห้องโถง
เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม องครักษ์กลุ่มหนึ่งพาตัวพวกเซ่าผิงปอสองนายบ่าวมายังด้านนอกประตูหลักของวังหลวงอันโอ่อ่า
ตึง! เมื่อองค์ฮ่องเต้เดินออกมา บานประตูหลักสองบานของวังหลวงพลันเปิดออก ไท่ซู่สยงสวมเสื้อคลุมกันลมสีดำ เดินออกมาอย่างองอาจน่าเกรงขาม มีข้าราชบริพารกลุ่มหนึ่งตามหลังมา
ด้านนอกประตูวัง ไท่ซู่สยงและเซ่าผิงปอได้พบหน้ายืนอยู่ด้วยกันแล้ว ทั้งสองสบตากัน
เซ่าผิงปอค้อมกายถวายบังคม “เซ่าผิงปอถวายบังคมฝ่าบาท!”
ไท่ซู่สยงพินิจดูชายหนุ่มที่อายุไม่มากแต่จอนผมกลับขาวหงอกแล้วคนนี้ ยื่นมือออกไปประคองด้วยตัวเอง “แรกพบหน้าเจ้าข้าก็ถูกชะตานัก ไยต้องมากพิธีด้วยเล่า!”
ว่าแล้วก็คว้าข้อมือเซ่าผิงปอพลางหันหลังกลับ จูงเซ่าผิงปอเข้าสู่วังหลวงด้วยตัวเอง
เซ่าผิงปอหวาดหวั่น ขัดขืนเล็กน้อย ไท่ซู่สยงเดินอาดๆ ออกไป ทว่าไม่ยอมปล่อยมือ
กลับเป็นเซ่าผิงปอที่ขัดขืนไปเล็กน้อยก็เกิดอาการเลือดลมติดขัดขึ้นมา ทำให้ตัวเขาไอออกมาหยุด
ไท่ซู่สยงหันกลับมามองเล็กน้อย ชะงักเท้า ยกมือปลดเสื้อคลุมกันลมของตนออก สะบัดผ้าคลุมกันลมคลุมลงบนไหล่ของเซ่าผิงปอด้วยตัวเองต่อหน้าเหล่าข้าราชบริพาร
ได้รับการปฏิบัติอย่างดีเช่นนี้ ทำให้เซ่าผิงปอตกใจกับความโปรดปรานที่ได้รับจริงๆ รีบบ่ายเบี่ยงไป “ฝ่าบาทมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!”
“ข้าบอกว่าได้ก็คือได้ วาจาของข้า เจ้ากล้าฝ่าฝืนหรือ?”
ไท่ซู่สยงยืนกราน เซ่าผิงปอยากจะทัดทานน้ำใจได้จริงๆ
ได้สวมเสื้อคลุมกันลมของฮ่องเต้แคว้นจิ้น ซ้ำยังมีองค์ฮ่องเต้จูงมือพาเข้าวังหลวงด้วยตัวเองต่อหน้าธารกำนัล เรียกได้ว่ามีหน้ามีตาอย่างยิ่ง ทำให้เซ่าผิงปอที่ระยะนี้ต้องหนีเอาชีวิตรอดเยี่ยงสุนัขจรพลัดถิ่นตื้นตันนัก ขอบตาแดงก่ำไปหมดแล้ว
เซ่าซานเสิ่งที่ตามหลังมาก็อดยกแขนเสื้อขึ้นซับน้ำตาไม่ได้ มีเพียงเขาที่ทราบดีว่าตลอดเส้นทางนี้คุณชายใหญ่ทุ่มเทความพยายามไปมากเพียงใด ประสบความลำบากมากเพียงใด สวรรค์ไม่ทอดทิ้งผู้มีมานะจริงๆ ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว!
….
ณ สวนไม้เลื้อย อวี้ชางยืนอยู่บนหอสูง มองเงาร่างอ้อนแอ้นอรชรที่เดินวนไปวนมาอยู่ริมสระน้ำไม่หยุด
จู่ๆ ก็ต้องแยกจากบุตรชายไป เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงหลายปีมานี้ ทำให้ผู้เป็นมารดาอย่างจวงหงไม่สบายใจนัก
ตู๋กูจิ้งเดินขึ้นมาบนหอ เอ่ยรายงานเสียงเบา “อาจารย์ ส่งคนไปตรวจสอบรายละเอียดมาแล้วขอรับ ทางเรือนรับรองแขกต่างแคว้นเข้าใกล้ได้ยาก มีกำลังคนจำนวนมากซุ่มอยู่อย่างลับๆ มีคนที่จดจำได้ว่าในนั้นมีศิษย์ของสามสำนักใหญ่ อาจจะเป็นกับดักขอรับ คิดจะฝืนลงมือเกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้แล้ว”
ใบหน้าของอวี้ชางกระตุกขึ้นมา “ดูเหมือนปู้สวินจะมีเจตนาแฝงเร้นอยู่จริงๆ มีความเป็นไปได้สูงที่ทางเราจะถูกเขาจับตามองไว้แล้วเช่นกัน ปู้สวินดำเนินการในฐานะตัวแทนโอรสสวรรค์ มีอำนาจล้นฟ้า สามสำนักใหญ่ก็ยังต้องไว้หน้าเขาหลายส่วน กองกำลังที่เขาเรียกใช้ได้มีจำนวนมหาศาล เมื่ออยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีแห่งนี้ ตามหลักแล้วไม่มีผู้ใดต่อกรกับเขาได้ ให้เบื้องล่างดำเนินการอย่างระมัดระวัง อย่าได้เผยร่องรอยออกไป ปู้สวินน่าจะยังไม่มีหลักฐาน มิเช่นนั้นคงไม่ซุ่มเงียบเช่นนี้ ขอเพียงพวกเราไม่กระโตกกระตาก เขาก็ไม่กล้าวุ่นวายกับเรา”
“ขอรับ!” ตู๋กูจิ้งรับคำสั่ง “ตอนนี้จะให้จัดการอย่างไรขอรับ? คุณชายอยู่ในกำมือเขา อาจมีภัยคุกคามชีวิตได้ตลอดเวลา หากเกิดเหตุร้ายขึ้นกับคุณชาย ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมเป็นหายนะ เมื่อเผชิญหน้ากับขุนนางเฒ่าเหล่านั้น พวกเราก็ไม่อาจมอบคำอธิบายให้ได้นะขอรับ”
อวี้ชางสูดหายใจเขาลึกๆ เฮือกหนึ่ง “ข้าจะไปพบเขาด้วยตัวเอง!”
ไม่นานนัก ขบวนม้าจำนวนหลายตัวคุ้มกันรถม้าคันหนึ่งออกมาจากสวนไม้เลื้อย มุ่งหน้าไปยังสวนรวมสุคนธาหรือก็คือเรือนรับรองแขกต่างแคว้น
เหตุผลที่เรือนรับรองแขกถูกตั้งชื่อว่าสวนรวมสุคนธา เพราะมีความหมายแฝงว่าจะปฏิบัติต่อแขกจากต่างแคว้นอย่างเท่าเทียมกัน
ด้วยชื่อเสียงของอาจารย์อวี้ชาง หลังจากแจ้งนามไปแล้วย่อมเข้าสู่สวนรวมสุคนธาได้โดยไม่มีปัญหา ขบวนม้าและรถม้าเคลื่อนเข้าสู่ด้านในพร้อมกัน
เจ้าหน้าที่ของสวนรวมสุคนธาล่วงหน้าไปแจ้งเรื่องต่อทางหนิวโหย่วเต้าไว้ก่อน
หลังจากเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการตกรางวัลถอยออกไป หนิวโหย่วเต้าก็หันไปยิ้มแล้วเอ่ยกับก่วนฟางอี๋ที่อยู่ข้างๆ ว่า “คนเขามาแล้ว ร้อนใจจนรอไม่ไหว ดูเหมือนสายตาของข้าจะไม่เลวเลย ข้าจับปลาอ้วนตัวหนึ่งได้แล้วจริงๆ!”
ก่วนฟางอี๋กลับเอ่ยอย่างระแวดระวัง “อย่าเพิ่งดีใจเร็วไปนักเลย ระวังคนเขาจะมาไม้แข็ง”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราฮ่าๆ “เจ้าไม่จำเป็นต้องออกหน้าแล้ว ไปเฝ้าศิษย์คนนั้นของข้าไว้ หากอวี้ชางกล้าวุ่นวาย เจ้าจงจับคนเป็นตัวประกันทันที ข้าก็อยากเห็นนักว่าเขาจะกล้าปล่อยให้ปู้สวินทราบเรื่องแล้วมาจัดการหรือไม่”
…………………………………………………………………