ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 553 จำได้หรือไม่ว่าท่านยังติดค้างข้าอยู่หนึ่งฝ่ามือ
- Home
- ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า
- ตอนที่ 553 จำได้หรือไม่ว่าท่านยังติดค้างข้าอยู่หนึ่งฝ่ามือ
ตอนที่ 553 จำได้หรือไม่ว่าท่านยังติดค้างข้าอยู่หนึ่งฝ่ามือ
สามเจ้าสำนักยินดีปรีดาพลางพูดจาสำรวมไปตามมารยาทสองสามประโยค มีของขวัญมากำนัลให้เช่นกัน สั่งให้คนพาชายสองคนเข้ามา
คนหนึ่งอยู่ในสภาพอเนจอนาถอย่างยิ่ง ถูกศิษย์สำนักเซียนสถิตสองคนลากเข้ามาคฤหาสน์ กดตัวให้คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าหนิวโหย่วเต้า เป็นซ่งซูนั่นเอง
ส่วนอีกคนที่เดินตามเข้ามาเป็นเฉินกุยซั่วที่ดูกระวนกระวายใจเล็กน้อย
เขาไม่ได้ถูกจับตัวมา แต่หลังจากส่งจดหมายให้สามสำนักใหญ่เสร็จก็ได้รับคำสั่งให้เดินทางกลับมา มารออยู่ทางนี้
ซ่งซูที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเงยหน้ามองหนิวโหย่วเต้า พอจะเดาเรื่องออก แต่เขากลับไม่เคยพบหนิวโหย่วเต้ามาก่อนจึงเอ่ยถามว่า “เจ้าคือหนิวโหย่วเต้ากระมัง?”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้านิดๆ “ข้าเอง! ไม่เคยมีโอกาสพบเจ้ามาก่อน แต่ข้ากลับคุ้นเคยกับบุตรชายของเจ้าดี”
คนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้สังหารบุตรชายของตน อีกทั้งสังหารพี่ชายทั้งสองของตน ซ้ำยังทำลายล้างทั้งตระกูลของตนด้วย ซ่งซูพลันดิ้นรนพร้อมตะโกนใส่ “ไอ้สารเลว!”
“ยังกล้าปากดีอีก!” เฟ่ยฉางหลิวแค่นเสียง เขาเอียงคอส่งสัญญาณเล็กน้อย ศิษย์ทั้งสองของสำนักเซียนสถิตจะลงโทษเขาสักเล็กน้อยในทันที
กลับเป็นหนิวโหย่วเต้าที่ยกมือปรามไว้
ซ่งซูหันไปจ้องมองสามเจ้าสำนัก สบถด่า “พวกคนถ่อยทรยศนาย พวกเจ้าจะต้องไม่ตายดี!”
เซี่ยฮวาเอ่ยเยาะหยัน “ทรยศนายหรือ? เจ้าคิดว่าตระกูลซ่งของเจ้าดีเด่มากจริงๆ อย่างนั้นหรือ? ไม่รู้หรือว่าใต้หล้าเป็นของผู้บำเพ็ญเพียร?”
หนิวโหย่วเต้าไม่ได้ถือสาอะไรซ่งซู มองไปทางเฉินกุยซั่วที่ยืนอย่างค่อนข้างสำรวม อมยิ้มพลางเอ่ยว่า “หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว ทำได้ดีมาก เซ่าผิงปอไม่ใช่คนที่หลอกได้ง่ายๆ เมื่อเกิดเรื่องขึ้น เขาน่าจะเดาออกแล้วว่าปัญหาเกิดขึ้นตรงไหน เจ้ากลับไปหาทางเซ่าผิงปอไม่ได้แล้ว ต่อไปก็บำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถิด”
“ขอบพระคุณเต้าเหยี่ย” เฉินกุยซั่วประสานมือกล่าวขอบคุณ
ซ่งซูหันไปมองเขาแล้วด่าต่อ “เป็นข้าที่ตาบอดเอง หลงไว้ใจเจ้าถึงเพียงนั้น หลายปีมานี้ข้าเคยทำไม่ดีต่อเจ้าหรือ? จิตสำนึกของเจ้าถูกสุนัขกัดกินไปหมดแล้วหรือ?”
เฉินกุยซั่วสวนกลับทันที “ซ่งซู คนทรยศสำนักล้มล้างอาจารย์อย่างเจ้ายังมีหน้ามาพูดเรื่องจิตสำนึกด้วยหรือ?”
ซ่งซูยังคิดจะด่าต่อ ทว่าศิษย์สำนักเซียนสถิตที่ได้รับสัญญาณจากเฟ่ยฉางหลิวก็เข้าควบคุมไม่ให้เขาส่งเสียงได้อีก
เฟ่ยฉางหลิวถามหนิวโหย่วเต้า “เต้าเหยี่ย จะให้จัดการคนผู้นี้อย่างไร?”
ที่นำตัวคนมาหาหนิวโหย่วเต้า เพราะต้องการถามว่าจะให้จัดการอย่างไรก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่หลักๆ คือต้องการเตือนหนิวโหย่วเต้าว่าอย่าลืมความดีความชอบของพวกเขา
เฉินกุยซั่วประสานมือเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “เต้าเหยี่ย ข้ายินดีลงมือกำจัดคนชั่วผู้นี้ขอรับ!”
หนิวโหย่วเต้าโยกกระบี่ที่กุมไว้ด้วยสองมือไปมาอย่างช้าๆ จ้องมองซ่งซูอยู่สักพัก จู่ๆ พลันเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ว่า “จับกุมตัวคนร้ายทำลายล้างตระกูลซ่งได้แล้ว คุมตัวคนส่งไปยังเมืองหลวงมอบให้ทางราชสำนัก ให้ทางราชสำนักไปจัดการเอาเอง”
พอเฉินกุยซั่วได้ฟังก็ค่อนข้างร้อนใจขึ้นมา เขากลัวว่าจะถูกซ่งซูล้างแค้น “เต้าเหยี่ย ซ่งจิ่วหมิงมีเส้นสายในเมืองหลวงอยู่มากมาย หากคุมตัวส่งไปยังเมืองหลวงเกรงว่า…”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยตัดบท “เอาล่ะ จัดการตามนี้แหละ ตัวข้าผู้นี้ไม่ชอบการฆ่าฟัน อีกทั้งไม่ชอบสังหารก่อกรรมให้เปื้อนคาวโลหิต”
เฟ่ยฉางหลิว เซี่ยฮวาและเจิ้งจิ่วเซียวฟังแล้วขมวดคิ้ว ไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดนี้เท่าไร แต่ยังคงจัดการไปตามที่เขาสั่งการ ลากตัวคนออกไปแล้ว
ซ่งซูที่ถูกลากตัวออกไปจ้องมองมาทางนี้ตลอดทาง แค้นใจอย่างยิ่ง ชิงชังฝังรากลึก ในอดีตปีนั้นจะอย่างไรก็คาดไม่ถึงเลยว่าตระกูลซ่งที่ยิ่งใหญ่จะถูกคนชั้นต่ำคนหนึ่งของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทำลายล้างทั้งตระกูลได้ หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้คงฆ่าตัดตอนไปแต่เนิ่นๆ จนใจที่โลกนี้ไม่มียาย้อนเวลา
แต่ทางหนิวโหย่วเต้าไม่เหลือบมองเขาเลยแม้แต่น้อย
เจิ้งจิ่วเซียวเอ่ยเตือนเล็กน้อยด้วยความลังเล “เต้าเหยี่ย คำพูดของน้องชายคนนี้ถูกต้องแล้ว ในเมืองยังมีพรรคพวกเก่าของซ่งจิ่วหมิงอยู่ไม่น้อย หากปล่อยให้เขารอดตัวไปได้ เกรงว่าคงจะคิดหาทางกลับมาล้างแค้นอย่างสุดกำลังแน่”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเสียงเรียบ “เกิดเป็นคนอย่าได้ตึงจนเกินไป คุมตัวส่งไปยังเมืองหลวงซะ แล้วแต่ดวงเขาเถิด”
เขาไม่จำเป็นต้องบอกความคิดที่แท้จริงให้คนกลุ่มนี้รู้ แค่ซ่งซูคนเดียวไม่ควรค่าให้เขาต้องกังวลเลย ตอนนี้เขาจำเป็นต้องกลัวตระกูลซ่งอีกหรือ? ถึงสังหารซ่งซูไปก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีใจแม้แต่น้อย
ขอเพียงทางฝั่งราชสำนักแคว้นเยี่ยนมิใช่คนโง่ เรื่องมาถึงขั้นนี้ คงพอจะรู้แล้วว่าตัวเขาต่างหากที่เป็นคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังการทำลายล้างตระกูลซ่ง ตอนนี้ที่เขาส่งตัวซ่งซูกลับไปยังเมืองหลวงในฐานะคนร้าย ก็เพียงเพราะต้องการใช้ชีวิตของซ่งซูหยั่งเชิงท่าทีของราชสำนักแคว้นเยี่ยนในปัจจุบันนี้ดูเท่านั้น
ในอดีตเขาสังหารราชทูแคว้นเยี่ยน อาศัยบารมีหอหิมะเหมันต์ข่มขู่ราชสำนักแคว้นเยี่ยน หลังจากประสบเรื่องราวเหล่านี้เข้าไป ราชสำนักแคว้นเยี่ยนไหนเลยจะมองเส้นสนกลในไม่ออกอีก?
ซางเฉาจงใช้เวลาไม่นานก็ยึดมณฑลหนานโจวแห่งนี้มาจากโจวโส่วเสียนได้ อันที่จริงยังคงมีควันหลงอยู่
ราชสำนักแคว้นเยี่ยนไม่ยินดีจะเสียมณฑลหนานโจวไป โดยเฉพาะองค์ฮ่องเต้อย่างซางเจี้ยนสยง
หากเป็นคนอื่นยังพอว่า แต่ผู้ที่ยึดมณฑลหนานโจวไปคือบุตรชายของซางเจี้ยนปั๋ว ซ้ำยังเรืองอำนาจขึ้นมาอีก เกรงว่าซางเจี้ยนสยงคงกินไม่ได้นอนไม่หลับ
ที่ตอนนี้ยังไม่แตะต้องมณฑลหนานโจวมีสาเหตุอยู่หลายประการ ประการแรกคือซางเฉาจงได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนักให้เป็นผู้ว่าการมณฑลหนานโจวอย่างเป็นทางการ ซางเจี้ยนสยงไม่อาจตบหน้าตัวเองได้ในทันที ได้แต่อดทนไปก่อนชั่วคราว ประการที่สองคือราชสำนักแคว้นเยี่ยนมิได้หูหนวกตาบอด รับรู้ถึงการฟาดฟันกันระหว่างฝั่งนี้กับสำนักหยกสวรรค์ คาดว่าราชสำนักแคว้นเยี่ยนคิดจะนั่งภูดูเสือกัดกันเพื่อรอโอกาสลงมือ
คาดว่าราชสำนักแคว้นเยี่ยนก็คงคาดไม่ถึงเช่นกันว่าสำนักหยกสวรรค์จะถูกเขี่ยออกไปด้วยวิธีนี้ แผนการพินาศย่อยยับลง
อีกทั้งตอนนี้สามสำนักใหญ่ก็สอดมือเข้ามาจัดการเรื่องระหว่างมณฑลหนานโจวและมณฑลเป่ยโจวแล้ว ทั้งสองมณฑลยังคงอยู่ระหว่างการแลกเปลี่ยนกัน เพื่อให้ได้มณฑลเป่ยโจวกลับมาอย่างราบรื่น ราชสำนักแคว้นเยี่ยนไม่มีทางผลีผลามลงมือในขณะนี้ได้
แต่จะให้รอจนเรื่องราวเหล่านี้ผ่านพ้นไปอย่างนั้นหรือ? เกรงว่าคลื่นพายุคงโถมเข้ามาแล้ว!
การฟาดฟันที่ผ่านมาและเรื่องวุ่นวายต่างๆ นาๆ สรุปแล้วล้วนทำไปเพราะเขาและซางเฉาจงอยากจะครอบครองมณฑลนี้อย่างมั่นคง
ตอนนี้สถานการณ์ภายในมณฑลหนานโจวมั่นคงแล้ว เขาก็อยากจะคว้าโอกาสดีรีบขจัดอุปสรรคบางอย่างทิ้งโดยเร็ว อีกทั้งใช้เรื่องการรับมณฑลเป่ยโจวกลับมาประจบเอาใจสามสำนักใหญ่ด้วย
จะรับมือศึกนอกก็ต้องสยบศึกใน เมื่อสถานการณ์ภายในมณฑลสงบ เขาก็หันเหความสนใจไปที่ราชสำนักแคว้นเยี่ยนอย่างรวดเร็ว นี่คือภัยคุกคามใหญ่หลวงที่สุดสำหรับมณฑลหนานโจวในขณะนี้ เขาไม่มีทางรอให้ราชสำนักแคว้นเยี่ยนเป็นฝ่ายโจมตีมาก่อนแล้วค่อยตอบโต้รับมือ
พอเห็นเขายืนกรานจะทำเช่นนี้ สามเจ้าสำนักก็ได้แต่ต้องปล่อยผ่านไป
ยามนี้ในมุมมองของสามสำนักใหญ่ คนผู้นี้มีบารมีความน่าเชื่อถือมากเพียงพอแล้ว
บารมีมิใช่สิ่งที่เด็กหนุ่มอ่อนวัยหนึ่งคนจะสร้างขึ้นมาได้ แต่ทุกเรื่องราวที่เขาก่อขึ้นได้สร้างความสะท้านสะเทือนเป็นอย่างมากจริงๆ หากในศึกชิงมณฑลหนานโจวหนิวโหย่วเต้ามีบารมีเช่นปัจจุบันนี้ ทั้งสามสำนักไหนเลยจะกล้าโลเลเหยียบเรือสองแคม
เรื่องซ่งซูผ่านไป ไม่ถูกพูดถึงอีก หนิวโหย่วเต้ามีงานอื่นให้แก่สามสำนัก
เรื่องแรกคือให้สามสำนักคัดเลือกศิษย์หญิงระดับหัวกะทิส่วนหนึ่งมาดูแลความเป็นอยู่ของจวงหง ไม่ว่าจะถือเป็นตัวประกันหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นน้องสะใภ้ของอวี้ชาง ซ้ำยังเป็นสตรีนางหนึ่ง จะให้บุรุษดูแลก็คงไม่สะดวกนัก ยังคงต้องเป็นสตรีถึงจะเหมาะสมกว่า
เรื่องต่อมาคือทางนี้ไม่มีทางปล่อยให้กัวสิงซานได้พำนักอยู่ในคฤหาสน์ หากแต่จัดให้คนไปพำนักที่ตีนเขาแทน ให้สามสำนักจัดศิษย์กลุ่มหนึ่งผลัดเปลี่ยนกันคอยจับตามอง อนุญาตให้กัวสิงซานมาเยี่ยมพวกจวงหงสองแม่ลูกในคฤหาสน์บนเขาได้วันละครั้ง
สามเจ้าสำนักฉงนนัก เพราะเหตุใดกัน?
หนิวโหย่วเต้าไม่บอกว่าเพราะอะไร แต่ให้พวกเขาไปจัดการตามที่สั่ง
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องดูแล เซี่ยฮวาพลันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เต้าเหยี่ย ข้ามีศิษย์หญิงคนหนึ่ง นับว่าเฉลียวฉลาดคล่องแคล่ว ส่วนใหญ่ทางฝั่งท่านล้วนมีแต่บุรุษ ไม่มีสตรีที่ละเอียดอ่อน กิจวัตรประจำวันของท่านสมควรต้องมีสตรีที่ละเอียดอ่อนมาคอยดูแล หากเต้าเหยี่ยไม่คัดค้าน ข้าจะส่งตัวนางมาค่อยทำงานรับใช้ท่านทางนี้”
เฟ่ยฉางหลิวและเจิ้งจิ่วเซียวสบตากันเล็กน้อย พอจะเข้าใจแล้วว่าศิษย์หญิงคนนั้นที่เซี่ยฮวากล่าวถึงคือผู้ใด เป็นศิษย์หญิงคนหนึ่งที่รูปโฉมงามพิลาศ
คาดว่าต่อให้เซี่ยฮวาไม่เอ่ยอันใดกับศิษย์หญิงคนนั้น อาศัยเพียงคุณสมบัติของหนิวโหย่วเต้าในตอนนี้ก็เพียงพอจะดึงดูดใจนางได้แล้ว
อีกทั้งหนิวโหย่วเต้ายังหนุ่มแน่น ข้างกายก็มิได้มีสตรีอันใด หากมีสตรีโฉมงามสักคนมาอยู่ร่วมด้วย นานวันเข้าเกรงว่าทั้งสองคงจะตกร่องปล่องชิ้นกันในไม่ช้าก็เร็ว
หนิวโหย่วเต้ากล่าวเสียงเรียบ “ไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก”
เซี่ยฮวาหัวเราะพลางเอ่ยไปว่า “มิสู้เต้าเหยี่ยลองไปดูตัวก่อน รูปร่างหน้าตาไม่เลวเลย มือไม้ก็คล่องแคล่ว”
หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจ เอ่ยไปว่า “รูปโฉมดูดียิ่งใช้การไม่ได้ หงเหนียงเป็นจอมขี้หึงคนหนึ่ง”
วาจานี้ไม่ต่างจากยอมรับออกมาแล้วว่ามีสัมพันธ์กับก่วนฟางอี๋ เซี่ยฮวายิ้มเจื่อน ได้แต่รามือไป ก่วนฟางอี๋เป็นคนสนิทของหนิวโหย่วเต้า ไม่ควรล่วงเกินจริงๆ
อีกทั้งหนิวโหย่วเต้าก็มิใช่คนโง่ รู้แก่ใจดี แค่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้น
ในฐานะที่ผ่านโลกมาก่อน เขาทราบดีเช่นกันว่าช่วงวัยนี้ของตนตกอยู่ในเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ได้ง่ายนัก ย่อมมีคนบางส่วนที่คิดจะทำตัวเป็นพ่อสื่อแม่ชักให้อย่างไม่อาจเลี่ยงได้
จนใจที่หัวใจเขาไม่เคยหวั่นไหวกับผู้ใดง่ายๆ ใจสงบดั่งน้ำนิ่งมานานแล้ว ไม่อยากเจอปัญหาวุ่นวาย อีกทั้งไม่คิดจะทำให้คนบางส่วนที่มีเจตนาดีต้องเสียน้ำใจ จึงยกเอาหงเหนียงมาเป็นเกราะกำบังของเขาไป ในอดีตก็เคยใช้เฮยหมู่ตานเป็นเกราะกำบังเช่นกัน
พอมีเกราะกำบังเช่นนี้อยู่ คนส่วนใหญ่จะไม่มีทางมาเอ่ยเรื่องรักใคร่ชายหญิงอันใดกับเขาอีก อีกทั้งชื่อเสียงก็ป่นปี้เพราะหงเหนียงไปหมดแล้ว หากยังมีคนเข้ามาพัวพันอีก เช่นนั้นคนคนนั้นก็คงคิดไม่ซื่อแล้ว
พอเอ่ยถึงเฮยหมู่ตาน หลังจากสามเจ้าสำนักจากไป หนิวโหย่วเต้าก็ออกจากคฤหาสน์ เดินไปหยุดอยู่ข้างหลุมศพใต้พฤกษาบนเนินเขาใกล้ๆ ลงมือถอนวัชพืชสามสี่ต้นทิ้ง ยืนค้ำกระบี่อยู่ด้านข้าง หันหลังให้หลุมศพแล้วทอดสายตามองออกไป
“คิดอะไรอยู่” ไม่รู้ว่าก่วนฟางอี๋เดินมาถึงข้างกายเขาเมื่อไร
นางไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่ตนถูกใช้เป็นเกราะกำบัง แล้วก็ไม่รู้เลยว่าตนถูกหนิวโหย่วเต้าใช้เป็นเกราะกำบังมาโดยตลอด
“ทิวทัศน์ไม่เลวเลย” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเฉไฉไป
“ชิ ก็แค่แดนกันดารบ้านป่า” ก่วนฟางอี๋เอ่ยดูแคลน ไม่เคยมีคำวิจารณ์ดีๆ อันใดให้แก่สถานที่แห่งนี้เลย “ใช่แล้ว สามสำนักนี้เคยเอนเอียงไปหาสำนักหยกสวรรค์มาก่อน จะเอนเอียงไปหาสำนักเขามหายานอีกหรือเปล่า เคยมีตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว จะไว้ใจได้หรือ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ใครบ้างที่ไม่มีความเห็นแก่ตัว ล้วนมีสิทธิ์เลือกกันทั้งสิ้น เลือกแล้วก็ต้องรับผิดชอบผลที่จะตามมา พวกเขายินดีจะเลือกผู้ใดก็เป็นปัญหาด้านสายตาของพวกเขาเอง หากรั้งพวกเขาไว้ไม่ได้ ก็แปลว่าเป็นทางเราเองที่มีปัญหา ในเมื่อเป็นปัญหาจากตัวเราเองก็ไม่อาจโทษคนเขาได้”
“พูดไปก็เหมือนไม่ได้พูด” ก่วนฟางอี๋แค่นเสียงใส่ เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “มีจดหมายจากท่านอ๋อง ทราบแล้วว่าคนในคฤหาสน์กลับมาแล้ว คงจะรู้แล้วว่าพวกเราจะกลับมาเช่นกัน สอบถามว่าพวกเราจะมาถึงเมื่อไร จะได้เตรียมตัวมาหาเจ้า”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ตอบเขากลับไปว่าไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนั้น อีกไม่นานหวงเลี่ยน่าจะเข้าไปพบเขาที่จวนผู้ว่าการมณฑลแล้ว ข้าก็ต้องไปพบด้วยเช่นกัน อีกอย่าง ท่านอ๋องน่าจะมีเส้นสายอยู่ทางเมืองหลวงบ้างไม่มากก็น้อยแล้วก็น่าจะมีสายสืบอยู่เช่นกัน หลังจากคุมตัวซ่งซูกลับไปยังเมืองหลวงแล้ว ให้ท่านอ๋องคอยจับตามองไว้หน่อย เกิดเหตุใดขึ้นให้แจ้งมาหาข้าทันที สั่งให้กงซุนปู้แจ้งสายข่าวที่อยู่ในเมืองหลวงให้คอยจับตาดูไว้ด้วยเช่นกัน”
ก่วนฟางอี๋หวั่นใจขึ้นมา “เจ้าคิดจะทำอะไรอีก?”
….
ไม่กี่วันต่อมา ขณะที่หนิวโหย่วเต้ากำลังนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ ต้วนหู่เคาะประตูแล้วเข้ามารายงานว่า “เต้าเหยี่ย เผิงอวี้หลานมาขอรับ ต้องการพบท่าน”
หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้ว “เผิงอวี้หลาน? นางมาพบข้าทำไม?” ความคิดแรกคือมาเพื่อล้างแค้นหรือ?
ต้วนหู่ตอบว่า “ไม่ทราบขอรับ มีผู้ติดตามเพียงสองคน ท่าทางดูแปลกไปเล็กน้อย”
“แปลกหรือ? แปลกไปอย่างไร?”
“ข้าก็บอกไม่ถูกขอรับ ไม่รู้ว่าข้ารู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่รู้สึกเหมือนวางตนต่ำต้อยลงเล็กน้อยขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าฉงนแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงต้องไปพบสักหน่อย ดูว่าจะมาไม้ไหนกันแน่
กระทั่งได้พบหน้าแขกในศาลารับรองแขกแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็ทอดถอนใจอยู่ภายในใจ รู้ดีว่าเผิงอวี้หลานถูกทำลายสภาวะแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าจะชราวัยลงไปมากขนาดนี้
อีกทั้งวางตัวต่ำต้อยลงมาก พูดจากันไปไม่กี่ประโยคก็ทราบเจตนาการมาเยือนของอีกฝ่ายแล้ว หนิวโหย่วเต้าใช้ความคิดเงียบๆ
ภายใต้สายตาที่มองมาด้วยความคาดหวังของเผิงอวี้หลาน หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เหลือบมองโซ่วเหนียนพ่อบ้านตระกูลเฟิ่งที่อยู่ด้านหลังเผิงอวี้หลาน เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “พ่อบ้านโซ่ว จำได้หรือไม่ว่าท่านยังติดค้างข้าอยู่หนึ่งฝ่ามือ!”
…………………………………………………………………….