ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 555 ออกหน้าสนับสนุน
ตอนที่ 555 ออกหน้าสนับสนุน
หนิวโหย่วเต้ายกมือนวดหน้าผาก เป็นครั้งแรกที่มีคนในฝั่งซางเฉาจงกล้าปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้
แค่บ่าวคนหนึ่งเท่านั้น ซ้ำคนโปรดของท่านอ๋องยังสั่งการแล้วด้วย กลุ่มองครักษ์จึงพุ่งเข้ามาหาอย่างดุดันในทันใด
แต่หัวหน้ากลุ่มองครักษ์สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างแล้ว รู้สึกคุ้นหน้าหนิวโหย่วเต้าอยู่นิดๆ จากนั้นพอเห็นท่าทางสุขุมเยือกเย็นของหนิวโหย่วเต้า เขาพลันรู้สึกใจหายวาบขึ้นมา รีบส่งเสียงปรามไว้ “ช้าก่อน!”
มีคนหนึ่งในกลุ่มองครักษ์ยื่นมือไปแตะตัวหนิวโหย่วเต้าแล้ว หัวหน้าองครักษ์ผู้นั้นรีบโบกมือห้าม “อย่าเสียมารยาท!”
สองโฉมงามขมวดคิ้วมองไปที่หัวหน้าองครักษ์ผู้นั้น
ผู้บำเพ็ญเพียรของสำนักเขามหายานที่อยู่ไกลออกไปปรากฏตัวขึ้น ถูกเสียงเรียก ‘มีใครอยู่บ้าง’ ของสองโฉมงามดึงดูดมา แต่หลังจากมองเห็นหนิวโหย่วเต้าก็ไม่ได้เข้ามา เพียงมองอยู่ไกลๆ เท่านั้น รู้สึกอยากรู้เช่นกันว่าหนิวโหย่วเต้าสวมชุดบ่าวรับใช้มาคิดจะทำอะไรกันแน่
หัวหน้าองครักษ์เดินเข้ามา ลองสอบถามหนิวโหย่วเต้าดู “ท่านคือเต้าเหยี่ยใช่หรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้ามองเสื้อผ้าที่ตนสวมอยู่ ถามกลับไป “แต่งตัวเช่นนี้แล้วยังจำได้อีกหรือ?”
เขายังคิดจะทำให้เรื่องใหญ่ขึ้นไปอีก ไม่คิดเลยว่าจะมีคนจำได้
หัวหน้าองครักษ์คนนั้นเหงื่อตกทันที รีบประสานมือเอ่ยขออภัย “เต้าเหยี่ย เป็นพวกเราตาไร้แววไปเอง”
เต้าเหยี่ย ในจวนอ๋องแห่งนี้จะมีเต้าเหยี่ยได้สักกี่คนกัน ได้ยินชื่อเสียงมานาน แต่ไม่เคยได้พบหน้า ได้ยินเพียงว่ามาถึงเมื่อวานแล้ว
อันที่จริงหนิวโหย่วเต้าและซางเฉาจงพักอยู่ร่วมกันไม่มากนัก ช่วงเวลาส่วนใหญ่ล้วนแยกกันอยู่กับซางเฉาจง อีกทั้งหนิวโหย่วเต้าไม่ค่อยเผยตัวต่อหน้าคนทางฝั่งซางเฉาจงมากนัก
หากเป็นคนเก่าคนแก่ที่ใกล้ชิดซางเฉาจงเหล่านั้น เป็นกลุ่มองครักษ์ที่ติดตามมาจากเมืองหลวงในปีนั้น เมื่อเห็นหนิวโหย่วเต้าย่อมจดจำได้แน่นอน
แต่เวลาผ่านมาหลายปี องครักษ์เหล่านั้นไม่มีทางเป็นเพียงองครักษ์ติดตามคุ้มกันซางเฉาจงไปตลอดจนแก่เฒ่าได้
องครักษ์เหล่านั้น บางส่วนก็ถึงแก่กรรมไป ส่วนในตอนที่ซางเฉาจงต้องการใช้คน คนส่วนใหญ่ล้วนได้รับการเลื่อนตำแหน่งไปแล้ว ถูกส่งไปประจำการเป็นเจ้าหน้าที่ในเขตต่างๆ ของมณฑลหนานโจว ดูแลควบคุมไพร่พลให้ซางเฉาจง ล้วนเป็นทหารคนสนิทที่ได้รับความไว้วางใจจากซางเฉาจง
มีเพียงคนส่วนน้อยที่ยังรับผิดชอบเรื่องดูแลคุ้มกันอยู่ทางจวนอ๋อง ซึ่งปัจจุบันนี้คนส่วนนี้ก็กลายเป็นบุคคลมีหน้ามีตาในจวนอ๋องไปหมดแล้วเช่นกัน ยามที่เดินเข้าออกในจวนอ๋อง ในเขตมณฑหลหนานโจวไม่ว่าผู้ใดก็ต้องไว้หน้าอยู่หลายส่วน ไม่มีทางมาเฝ้ายามอยู่ในสวนบุปผาได้
สรุปคือบรรดาคนเก่าคนแก่ที่ติดสอยห้อยตามซางเฉาจงมาในปีนั้นก็นับว่าไม่ได้เลือกติดตามผิดคน ได้รับสิ่งตอบแทนคุ้มกับที่ลงทุนลงแรงไปทั้งสิ้น ล้วนได้ดีขึ้นมาเพราะบารมีซางเฉาจง
ยิ่งซางเฉาจงก้าวหน้าเรืองอำนาจขึ้นเท่าไร อนาคตของพวกเขาก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น หากซางเฉาจงพลาดท่าจบสิ้นลง พวกเขาก็จะถูกกวาดล้างเป็นกลุ่มแรก มีผลประโยชน์เชื่อมโยงกันอยู่ ดังนั้นทุกคนจึงจงรักภักดีต่อซางเฉาจงอย่างยิ่ง
โฉมงามทั้งสองตะลึงงัน เต้าเหยี่ย? หรือคนผู้นี้ก็คือหนิวโหย่วเต้า?
ทั้งสองนางไม่เคยพบเขามาก่อน ซึ่งตามปกติก็ไม่มีโอกาสจะได้พบด้วย ยกตัวอย่างเช่นงานเลี้ยงเมื่อวานนี้ ทั้งสองไม่มีคุณสมบัติจะได้เข้าร่วม
ถึงแม้จะเป็นสตรีของซางเฉาจงเหมือนกัน แต่ภรรยาเอกก็คือภรรยาเอก อนุภรรยาก็คืออนุภรรยา สองสถานะนี้เป็นตัวกำหนดหลายสิ่งหลายอย่างนัก
สถานะคือสิ่งใดน่ะหรือ? ว่ากันตามตรงก็คือสิทธิ์อันชอบธรรมอย่างไรเล่า!
ในสถานการณ์ที่เป็นทางการ ไม่ว่ารูปโฉมจะงดงามหรือไม่ แต่ผู้ที่จะมีสิทธิ์นั่งร่วมโต๊ะเสมอแขกสูงศักดิ์ย่อมเป็นภรรยาเอก จะต้องเป็นนายหญิงของบ้าน ผู้มีศักดิ์ฐานะย่อมให้ความสำคัญกับเรื่องเช่นนี้ อนุภรรยาก็ทำได้เพียงรับบทตัวเสริมบรรยากาศในงานที่เป็นทางการเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นคือสตรีทั้งสองก็ยังไม่นับว่าเป็นอนุภรรยาของซางเฉาจงอย่างแท้จริง ถึงแม้สถานะจะไม่ต่างไปจากเป็นอนุภรรยาของซางเฉาจงแล้ว แต่ถึงอย่างไรซางเฉาจงก็มิเคยแต่งเข้ามาอย่างเป็นทางการ
ในมุมมองของซางเฉาจง เป้าหมายของเขามิได้จำกัดอยู่แค่มณฑลหนานโจว ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะเสพสุขเพลิดเพลินเคล้านารี เพราะจะส่งผลในทางร้ายได้
แต่นี่ก็คือเป้าหมายที่สองสตรีพยายามดิ้นรนเพื่อให้ได้มา
พอทราบว่าคนผู้นี้อาจจะเป็นบุคคลที่ผลักดันอยู่เบื้องหลังท่านอ๋องที่เล่าลือกันผู้นั้น สตรีทั้งสองก็เดินเข้าไปหาอย่างตระหนกลนลาน อวี้เหนียงลองสอบถามด้วยความกระวนกระวาย “ท่านคือหนิวโหย่วเต้า เต้าเหยี่ยอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “คำว่าเต้าเหยี่ยกลับมิกล้ารับไว้ ผู้น้อยคือหนิวโหย่วเต้า ก่อนหน้านี้ไม่เคยพบทั้งสองท่านในจวนอ๋องมาก่อน ขอบังอาจถามว่าทั้งสองท่านคือผู้ใด?”
สตรีทั้งสองรู้สึกอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ท่านเป็นคนใหญ่คนโตขนาดนี้แล้วมาสวมชุดของบ่าวไพร่ทำไมกัน? รีบพากันคารวะ “อวี้เหนียง หว่านเหนียง คารวะเต้าเหยี่ยเจ้าค่ะ”
“อวี้เหนียง หว่านเหนียงอย่างนั้นหรือ?” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยพึมพำด้วยความฉงน คล้ายจะไม่ค่อยเข้าใจ เขาหันไปเอ่ยถามหัวหน้าองครักษ์คนนั้น “ไม่เคยได้ยินเลย ผู้ใดกัน?”
หัวหน้าองครักษ์ผู้นั้นก็กระอักกระอ่วนเช่นกัน รู้สึกยากจะอธิบายได้ จะบอกว่าเป็นอนุภรรยาของท่านอ๋องก็ยังไม่นับว่าใช่ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยเตือนว่า “สตรีของท่านอ๋อง เป็นคุณนายน้อยทั้งสองขอรับ”
“โอ้!” หนิวโหย่วเต้าพลันกระจ่างขึ้นมา “เช่นนั้นก็เสียมารยาทไปแล้ว”
“ไม่เลย ไม่เลยเจ้าค่ะ เป็นพวกบ่าวที่มีตาแต่ไร้แวว เสียมารยาทต่อเต้าเหยี่ยไปแล้ว” สตรีทั้งสองรีบเอ่ยขอขมา
หนิวโหย่วเต้าไม่สนใจ เอ่ยกับองครักษ์คนนั้นว่า “รบกวนไปเชิญพระชายามาที”
“ขอรับ!” หัวหน้าองครักษ์รีบวิ่งออกไป ไปแจ้งทางเฟิ่งรั่วหนานโดยเร็ว
ผ่านไปสักพักเฟิ่งรั่วหนานก็มาถึง เห็นหนิวโหย่วเต้ายืนอยู่กับสตรีสองนางที่ตื่นกลัวขวัญผวา ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เดินเข้าไปคารวะก่อน
หนิวโหย่วเต้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ขอให้เฟิ่งรั่วหนานที่เป็นนายหญิงของบ้านช่วยตัดสินโทษ
เฟิ่งรั่วหนานไม่สะดวกจะว่ากล่าวในเรื่องของสตรีสองนางนั้น ไม่ได้แสดงท่าทีมีปากเสียงอันใด กลับเป็นสองโฉมงามที่เอาแต่ขอโทษขอโพยซ้ำๆ
พอเห็นสถานการณ์นี้ ท่าทีของเฟิ่งรั่วหนานทำให้หนิวโหย่วเต้าไร้ช่องจะแสดงพลังได้ หนิวโหย่วเต้าจึงไม่พูดอะไรมากอีก หมดความสนใจจะเดินเล่นในสวนบุปผาต่อแล้ว จึงเดินออกไป
….
ภายในเรือนเล็ก เหมิงซานหมิงยันแขนดันตัวอยู่บนรถเข็น ฝึกฝนกำลังแขนอยู่
หลัวต้าอันยกอ่างน้ำร้อนเข้ามาจากด้านนอก รีบเดินเข้ามาหยุดข้างรถเข็น รายงานว่า “อาจารย์ เกิดเรื่องขึ้นแล้วขอรับ ได้ว่าก่อนหน้านี้ที่สวนดอกไม้เต้าเหยี่ยเกิดความขัดแย้งกับสองอนุของท่านอ๋องเข้า พอท่านอ๋องกับอาจารย์หลานทราบข่าวก็รีบไปหาทันที ท่านอยากจะไปดูด้วยหรือไม่ขอรับ?”
เหมิงซานหมิงค่อยๆ ผ่อนแรงคลายแขนลง กลับไปนั่งบนรถเข็น เขาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า “ข้าคงไม่ไปแล้ว เจ้าไปสืบข่าวมาทีว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร”
“ขอรับ!” หลัวต้าอันพยักหน้าแล้ววิ่งออกไป เด็กหนุ่มล้วนชอบเรื่องครื้นเครง สนอกสนใจในเรื่องประเภทนี้
….
ยามที่หนิวโหย่วเต้าเดินลอยชายกลับมาถึงเรือน ก่วนฟางอี๋กำลังพูดคุยย้อนวันวานกับซางซูชิงอยู่
พอเห็นหนิวโหย่วเต้ากลับมาในอาภรณ์เช่นนี้ ซางซูชิงก็แปลกใจ ส่วนก่วนฟางอี๋ขบขันยิ่งกว่า “เต้าเหยี่ย นี่เจ้าเล่นอะไรอยู่กันแน่?”
“อย่าเอ่ยถึงเลย” หนิวโหย่วเต้าโบกมือ
ทั้งสามเพิ่งจะเดินเข้าไปในนั่งในศาลา ซางเฉาจงกับหลานรั่วถิงก็เดินสับเท้าเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
พอเห็นว่าคนอยู่ในศาลา ทั้งสองก็รีบเดินเข้ามาหา ซางเฉาจงถามด้วยความแปลกใจ “เต้าเหยี่ย ไยจึงแต่งตัวเช่นนี้เล่า?”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มเจื่อน “เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก เห็นว่าจวนผู้ว่าการมณฑลแห่งนี้ใหญ่โตนัก อยากจะเดินเตร่เที่ยวเล่นดู แต่เบื่อจะต้องเผชิญกับมารยาทอันสุภาพนอบน้อมไปตลอดทาง จึงขอให้ข้ารับใช้ในจวนไปนำเสื้อผ้ามาให้ผลัดเปลี่ยน ผลคือไม่ทันระวัง เผลอไปปะทะกับสตรีของท่านอ๋องเข้าที่สวนดอกไม้ น่าอายจริงๆ!”
สีหน้าซางซูชิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ก่วนฟางอี๋เหลือบมองหนิวโหย่วเต้าด้วยสีหน้าคล้ายคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้ม
ทางนี้ก็ได้ฟังเรื่องราวมาแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่รีบมาหา ซางเฉาจงรีบกล่าวว่า “เต้าเหยี่ยกล่าวเกินไปแล้ว เต้าเหยี่ยหาได้เสียมารยาทอันใดไม่ เป็นพวกนางทั้งสองไม่รู้จักเต้าเหยี่ย พูดจาโอหังเสียมายาทต่อเต้าเหยี่ย ขอเต้าเหยี่ยอย่าได้ถือสาเลย ข้าจะให้พวกนางสองคนมาขอขมาเดี๋ยวนี้”
ทางนี้ตั้งตารอคอยหนิวโหย่วเต้ามาตลอด ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะมาได้ ผลคือถูกสตรีไม่ได้เรื่องสองคนในฝั่งนี้สั่งสอนเข้าให้ยกหนึ่ง นี่มันเรื่องใดกันเล่า
“มิกล้า!” หนิวโหย่วเต้าโบกมือปราม “กระหม่อมพอจะมองออกแล้ว เมื่อครู่นี้ตอนอยู่ต่อหน้าพวกนาง แม้แต่พระชายาก็ยังไม่กล้าเอ่ยอะไรเลย กระหม่อมยังจะมีโทสะอันใดได้อีก กระหม่อมก็แปลกใจอยู่เช่นกัน เท่าที่กระหม่อมรู้จักนิสัยของพระชายามา ในอดีตกระทั่งท่านอ๋องยังกล้าทำร้าย สตรีสองคนนั้นสามารถข่มคนเจ้าอารมณ์อย่างพระชายาให้หวาดหวั่นได้ คิดว่าคงไปหาเรื่องไม่ได้ อีกอย่างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด แล้วไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
พอได้ยินว่าอยู่ต่อหน้าสตรีสองนางนั้นแล้วพี่สะใภ้ไม่กล้าปริปากเลย ซางซูชิงเม้มปากแล้ว ปรายตามองไปทางพี่ชาย
มุมปากก่วนฟางอี๋ยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ คล้ายมีคล้ายมิมี
หลานรั่วถิงที่เดิมทีอยากมาช่วยไกล่เกลี่ยรอมชอมก็เงียบไปแล้ว เรื่องในครอบครัวเช่นนี้ คนนอกไม่สะดวกจะเข้าไปยุ่ง
ซางเฉาจงมีสีหน้ากระอักกระอ่วน “เต้าเหยี่ย มิได้หนักหนาถึงเพียงนั้น ข้าจะเรียกพวกนางมาเดี๋ยวนี้”
หนิวโหย่วเต้าโบกมือปฏิเสธอีกครั้ง “ท่านอ๋อง ไม่มีเรื่องก็อย่าทรงหาเรื่องเลยพ่ะย่ะค่ะ สตรีจิตใจคับแคบ สายตาที่พวกนางทั้งสองมองกระหม่อมผิดปกติไปแล้ว มีเจตนาสังหารแฝงเร้น! หากท่านอ๋องเรียกตัวพวกนางมาทำให้ขายหน้า เรื่องนี้จะเกิดปมแค้นแน่นอน ทันทีที่พวกนางมีอำนาจบารมีขึ้นมา ไม่ทราบเลยว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นมาบ้าง กระหม่อมไม่อยากมีเรื่อง แล้วกันได้ก็แล้วกันไป ช่างมันเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”
แม้แต่คำว่า ‘เจตนาสังหารแฝงเร้น’ ก็เอ่ยออกมาแล้ว ทำให้พวกซางเฉาจงตกใจ
“หวงเลี่ยงคงใกล้จะมาถึงแล้ว กระหม่อมขอตัวไปเปลี่ยนชุดก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ” หนิวโหย่วเต้าหันหลังเดินออกจากศาลา มุ่งหน้าไปที่เรือน
ก่วนฟางอี๋ค้อมกายให้เล็กน้อย ยิ้มขออภัยทั้งสามแล้วตามจากไป
ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงจากไปพร้อมกับความคิดในใจ
หลังจากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ซางซูชิงก็ไม่ได้รั้งอยู่ต่อเช่นกัน ต้องการสืบดูให้รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
….
ภายในลานเรือน เหมิงซานหมิงวักน้ำอุ่นล้างหน้า หลัวต้าอันที่ออกไปสืบข่าวกลับมาแล้ว หลานรั่วถิงที่แยกกับซางเฉาจงแล้วก็ตามมาด้วย มาถึงก็ถอนหายใจดังเฮ้อ
“เป็นอะไรไป ทำเหมือนจะขาดใจไปได้” เหมิงซานหมิงที่ใช้ผ้าขนหนูอุ่นๆ เช็ดหน้าอยู่เอ่ยถาม
“เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยขอรับ…” หลานรั่วถิงเล่าเรื่องราวออกมา
เหมิงซานหมิงขยำผ้าขนหนูในมือเป็นก้อน เอ่ยถามไป “ท่านอ๋องคิดเห็นประการใด?”
หลานรั่วถิงยิ้มขมขื่น “ยังจะมีความเห็นประการใดได้ เมื่อวานเต้าเหยี่ยประกาศถึงไมตรีระหว่างตนกับพระชายาต่อหน้าหวงทง วันนี้ก็เกิดข้อพิพาทนี้อีก เต้าเหยี่ยบอกว่าเบื่อความสุภาพมีพิธีรีตองของคนในจวนจึงเปลี่ยนไปสวมชุดบ่าวรับใช้ ไม่ทันระวังปะทะกับสตรีของท่านอ๋องที่สวนบุปผาเข้า แม่ทัพเหมิง ท่านเชื่อหรือ? ท่านอ๋องก็มิใช่คนโง่ เต้าเหยี่ยออกตัวชัดเจนขนาดนี้แล้วว่าให้การสนับสนุนพระชายา! แต่เพราะเป็นเรื่องในครอบครัวของท่านอ๋อง เขาจึงไม่อยากจะเอ่ยออกมาตรงๆ”
“เรื่องเช่นนี้ พวกเราไม่สะดวกจะว่ากล่าวอันใด ปล่อยให้ท่านอ๋องคิดหาทางด้วยตัวเองแล้วกัน” เหมิงซานหมิงถอนหายใจ
….
ซางเฉาจงเดินเข้าสู่ห้องโถงแล้วนั่งลงไป
สองโฉมงามเข้ามาหา อวี้เหนียงยกน้ำชามาให้ ส่วนหว่านเหนียงเอ่ยถามอยู่ด้านข้างอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋อง เต้าเหยี่ยผู้นั้นไม่ได้ว่าอันใดกระมังเพคะ?”
ซางเฉาจงมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ปริปากอันใด
อวี้เหนียงเอ่ยอย่างคับข้องหม่นหมอง “ท่านอ๋อง อันที่จริงพวกเราก็ไม่ได้พูดอันใดเลยนะเพคะ แรกเริ่มเป็นเพราะไม่รู้จักจริงๆ พวกเราพี่น้องไม่เคยพบเขามาก่อน เขาสวมชุดบ่าวไพร่จะไม่ให้เข้าใจผิดเลยก็คงยาก พวกเราขอขมาลาโทษไปแล้ว เขายังจะเอาอะไรอีก?”
หว่านเหนียงช่วยเอ่ยเสริมอยู่ด้านข้าง “ดีร้ายอย่างไรพวกเราก็เป็นสตรีของท่านอ๋องนะเพคะ อีกทั้งไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด หากเขาไม่ยอมเลิกราเสียที เช่นนั้นก็ออกจะไม่เห็นท่านอ๋องอยู่ในสายตาเกินไปแล้วกระมังเพคะ”
ซางเฉาจงหันไปมองนางด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นลุกขึ้นเดินจากไป
….
อันที่จริงเฟิ่งรั่วหนานยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งซางซูชิงมาสอบถามนางถึงได้เข้าใจว่าหนิวโหย่วเต้าจงใจไปหาเรื่อง มาเพื่อช่วยออกหน้าสนับสนุนนาง นางไม่คิดเลยจริงๆ ว่าหนิวโหย่วเต้าในปัจจุบันนี้จะยอมสิ้นเปลืองความคิดเพื่อนางโดยเฉพาะ น้ำตาหลั่งรินออกมาอย่างเงียบงัน ตื้นตันใจจริงๆ
ซางซูชิงก็โอบศีรษะนางร่ำไห้ไปด้วยกัน “พี่สะใภ้ เหตุใดท่านถึงโง่เขลาเช่นนั้น มีเรื่องอะไรไยไม่บอกข้าเลย?”
ตัวนางก็เพราะได้ยินมาจากหนิวโหย่วเต้าถึงได้ทราบความ เฟิ่งรั่วหนานมีฐานะเป็นพระชายาเอก แต่อยู่ต่อหน้าสตรีสองนางนั้นกลับไม่กล้าปริปากเลยสักคำ
แม้แต่คนนอกอย่างหนิวโหย่วเต้ายังรู้เรื่องจนเดินทางมาเพื่อช่วยออกหน้าให้ แต่ตัวนางอยู่ใกล้ชิดพี่สะใภ้มานขนาดนี้กลับเสมือนคนโง่เง่าไม่มีผิด
เมื่อก่อนคิดเพียงว่าสาเหตุที่พี่สะใภ้คิดไม่ตก ก็เพราะบุญคุณความแค้นของทางนี้กับตระกูลเฟิ่ง ตอนนี้เพิ่งได้รู้ว่าพี่สะใภ้แบกรับความคับข้องหมองใจไว้มากปานนั้น ทำให้นางรู้สึกผิดจนยากจะทนรับไหว ร้องไห้ผสมโรงไปด้วยกัน
……………………………………………………………………………