ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 579 เดรัจฉาน
ตอนที่ 579 เดรัจฉาน
เกาเซ่าหมิงได้ฟังก็เหงื่อตก เอ่ยถามว่า “ความหมายของท่านพ่อคือ หลังจบเรื่องนี้ไปแล้ว ฝ่าบาทจะมาคิดบัญชีกับลูกทีหลังหรือขอรับ?”
เกาเจี้ยนเฉิงกล่าวว่า “ข้ายังอยู่ในราชสำนัก ฝ่าบาทยังคงต้องไว้หน้าข้าบ้างไม่มากก็น้อย พอผ่านเรื่องนี้ไปคงไม่ถึงขั้นมาคิดบัญชีกับเจ้าทีหลัง แต่มีข้อหนึ่งที่มั่นใจได้คืออนาคตของเจ้าสิ้นสุดลงเท่านี้แล้ว ชื่อของเจ้าคงถูกฝ่าบาทขีดฆ่าออกจากบัญชีเลื่อนขั้นในภายภาคหน้า ส่วนตำแหน่งราชทูตประจำแคว้นจ้าว เพื่อเลี่ยงไม่ให้กระทบกระทั่งกับแคว้นซ่ง คงพักงานเจ้าชั่วคราว รอจนวิกฤตผ่านพ้นไป คนในราชสำนักที่หมายตาตำแหน่งนี้อยู่ย่อมหาเรื่องซ้ำเติม ฝ่าบาทก็คงไหลไปตามกระแส ตรงไหนอยู่ว่างไร้อนาคตก็คงจะโยกย้ายเจ้าไปตรงนั้น เจ้ามีประวัติติดตัวมาก่อน อีกทั้งเรื่องราวเกี่ยวพันกับซางเฉาจง กระทบจุดของฝ่าบาท ผู้ใดก็แก้ต่างให้เจ้าไม่ได้”
เกาเซ่าหมิงห่อเหี่ยว ส่ายหน้าพลางยิ้มขมขื่น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็แล้วไปเถิดขอรับ ข้าก็คงต้องยอมรับแล้ว จะโยกไปไว้ที่ไหนก็โยกไปเถิด”
“เหลวไหล!” เกาเจี้ยนเฉิงพลันโมโหขึ้นมา สีหน้าท่าทีเปลี่ยนไปในทันใด ชี้หน้าเขาพลางเอ่ยตำหนิ “โลกนี้เป็นอย่างไรกันเล่า? เป็นโลกแห่งสงคราม ชีวิตดั่งเรือทวนกระแสน้ำ หากไม่ก้าวหน้าก็ต้องถอยหลัง! ในราชสำนักหากพลาดไปก้าวหนึ่งแล้วก็จะพลาดต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีผู้ใดยินดีหลีกทางให้เจ้า ซ่งจิ่วหมิงก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว คิดว่าร่วงหล่นลงไปแล้วจะไต่ขึ้นไปได้ง่ายๆ อีกหรือ? หากคิดจะรอจนถึงวันที่ราชสำนักผลัดฟ้าเปลี่ยนสมัยก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแคว้นเยี่ยนจะยืนหยัดอยู่ได้ถึงวันนั้นหรือไม่!”
“ถงโม่มีตำแหน่งมั่นคง ได้รับความไว้วางใจเป็นอย่างมากจากฝ่าบาท เจ้ากรมการพลเรือนอย่างข้าหาเทียบได้ไม่ คนที่หมายตาตำแหน่งของข้าก็มีอยู่มากมาย ถูกหนีบไว้ตรงกลางช่างน่ากระอักกระอ่วนเหลือเกิน หากว่าแม้กระทั่งบุตรหรือทายาทผู้สืบทอดตระกูลเกาก็ยังปกป้องไว้ไม่ได้ ลูกน้องระดับล่างที่พร้อมแล่นเรือตามลมก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เจ้าเคยคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาบ้างหรือไม่? กำแพงคลอนคนย่อมรอผลักให้ล้ม สิ้นอำนาจย่อมถูกเหยียบย่ำ!”
“เซ่าหมิง เจ้าจงจำเอาไว้ มีเพียงคนที่ยึดตำแหน่งได้มั่นคง มีเพียงคนที่กุมอำนาจเอาไว้ได้ถึงจะเป็นคนที่มีประโยชน์ เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้แคว้นเยี่ยนไปไม่รอด ไม่ว่าจะแคว้นเยี่ยนจะตกเป็นของผู้ใด ขอเพียงเจ้ายังมีประโยชน์ ต่อให้ชีวิตไม่รุ่งเรืองเท่าอดีตที่ผ่านมา แต่เจ้าจะอยู่รอดได้ทุกที่ ตระกูลเกาจะอยู่รอดต่อไปได้ คนไร้ประโยชน์ไม่มีแม้กระทั่งข้าวกิน สู้ขอทานไม่ได้ด้วยซ้ำ”
เกาเซ่าหมิงเอ่ยถาม “ท่านพ่อต้องการให้ลูกยอมรับไปแต่โดยดีมิใช่หรือขอรับ?”
“ให้เจ้ายอมรับก็เพื่อให้เจ้ารู้จักการรุกการถอย มิใช่ให้เจ้าถอยหลังลงคลอง!” เกาเจี้ยนเฉิงเอ่ยติเตียนสั่งสอน จากนั้นก็เอ่ยเสียงขรึมว่า “หลังจากเจ้าเข้ารับการไต่สวนวันนี้แล้ว เดิมทีผู้ดูแลหลวงเถียนอวี่จะเรียกตัวเจ้าเข้าวัง แต่ข้าหาข้ออ้างมาขัดขวางไว้ ให้เจ้าเข้าวังเช้าวันพรุ่งนี้แทน รู้หรือไม่ว่าขันทีเฒ่าเถี่ยนอวี่คนนั้นเรียกเจ้าเข้าวังด้วยเหตุใด?”
เกาเซ่าหมิงขบคิดเล็กน้อย “น่าจะไม่มีสาเหตุอื่นใดอีก คาดว่าคงเป็นเรื่องจินโจวเช่นเดิม”
เกาเจี้ยนเฉิงเอ่ยถาม “เจ้ามองอย่างอื่นไม่ออกเลยสักนิดหรือ?”
เกาเซ่าหมิงประสานมือกล่าวไปว่า “ลูกไม่กระจ่าง ขอท่านพ่อโปรดชี้แนะด้วยเถิด”
เกาเจี้ยนเฉิงเอ่ยว่า “ตอนนี้ไม่อาจลงมือกับหนานโจวได้แล้ว แต่หนิวโหย่วเต้าคนนั้น ราชสำนักไม่มีทางยอมละเว้น ปีนั้นตอนที่ซ่งหลงถูกสังหาร ราชสำนักก็คิดจะจัดการเขาแล้ว แต่ถูกคนผู้นั้นยกเอาหอหิมะเหมันต์มาแอบอ้างหลอกลวง ภายหลังถึงได้ทราบเรื่องกระจ่าง ต่อมาก่อนที่ซางเฉาจงจะเข้าโจมตีหนานโจว ก่าเหมี่ยวสุ่ยและพระสนมโจวได้ไปหาเขาที่จังหวัดชิงซาน ผลคือตกหลุมพรางเขาเข้า ไม่เพียงแต่จะปล่อยให้ซางเฉาจงยึดครองหนานโจวเท่านั้น แต่ฝ่าบาทกลับโยนหินทับเท้าตัวเองด้วย ออกราชโองการแต่งตั้งซางเฉาจงเป็นผู้ว่าการมณฑลหนานโจว ฝ่าบาทอัดอั้นทุกข์ใจ แต่ก็ไม่อาจตรัสออกมาได้”
“ภายหลังด้วยสาเหตุต่างๆ นาๆ เมื่อพิจารณาถึงภาพรวมแล้ว ฝ่าบาทจึงไม่เคยแตะต้องเขาเลย เรื่องราวสารพัดได้รับการยืนยันแน่ชัดแล้วว่าหนิวโหย่วเต้าคนนี้ก็คือแรงสนับสนุนที่ทรงพลังที่สุดของซางเฉาจง ในอดีตผู้ใดจะคาดคิดเล่าว่าคนไร้หัวนอนปลายเท้าคนหนึ่งจะมีความสามารถถึงเพียงนี้ ไม่มีใครเห็นเขาอยู่ในสายตาเลย! ครั้งนี้เขาปรากฏตัวขึ้นในจินโจวก็เกิดเรื่องขึ้นกับราชทูตแคว้นซ่ง มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกี่ยวข้องกับเขา แค้นเก่าแค้นใหม่สะสม ฝ่าบาทไหนเลยจะปล่อยเขาไปได้อีก ต่อให้มิใช่ฝีมือเขา ฝ่าบาทก็ต้องตัดท่อน้ำเลี้ยงเส้นนี้ของซางเฉาจงก่อนอยู่ดี ขันทีเฒ่าเถียนอวี่คนนั้นมาสอบถามเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
เกาเซ่าหมิงกระจ่างขึ้นมาในทันใด “ทางวังหลวงจะลงมือเองหรือขอรับ?”
เกาเจี้ยนเฉิงพยักหน้ารับ
เกาเซ่าหมิงถามด้วยความฉงน “ในเมื่อตัดสินใจเช่นนี้แล้ว ไยฝ่าบาทไม่ให้สามสำนักใหญ่ลงมือไปเลยล่ะขอรับ?”
เกาเจี้ยนเฉิงแค่นเสียงเหอะ เอ่ยเยาะหยัน “ให้คาดหวังกับพวกเขาอย่างนั้นหรือ? พวกเขาคิดว่าตนมีอำนาจสูงส่งในแคว้นเยี่ยน คิดว่าตนทอดมองปวงประชาแคว้นเยี่ยนที่อยู่ต้อยต่ำกว่า ยอดคนทั้งเก้าที่ลอยตัวอยู่เหนือเรื่องราวทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ระดับล่างเหล่านั้นต้องรบราฆ่าฟันกันเอง สามสำนักใหญ่ก็คงไม่พ้นเป็นเช่นนี้ด้วย พวกเขาปล่อยให้กลุ่มอิทธิพลผู้บำเพ็ญเพียรในแคว้นเยี่ยนคอยห่ำหั่นกันเองมาโดยตลอด ก็เพราะกลัวจะเป็นภัยคุกคามต่อตำแหน่งของพวกเขา ขอเพียงไม่กระทบถึงผลประโยชน์ของพวกเขา พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะเข้ามาข้องแวะกับสงครามแก่งแย่งระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรระดับล่างเด็ดขาด”
“อีกทั้งมิใช่ว่าฝ่าบาทไม่เคยกล่าวเรื่องนี้ ครั้งนี้สามสำนักใหญ่กดดันให้ฝ่าบาทสลายกองทัพ ฝ่าบาทก็เคยเสนอเงื่อนไขนี้เป็นข้อแลกเปลี่ยนเช่นกัน ให้สามสำนักใหญ่กำจัดหนิวโหย่วเต้า ว่ากันตามหลักแล้วฝ่าบาทยอมถอยให้ถึงขนาดนี้ สามสำนักใหญ่ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธเลย แต่ที่น่าแปลกใจคือหลงซิวคัดค้าน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาทก็มีแต่ต้องลงมือเองแล้ว ทันทีที่ทำสำเร็จ ต่อให้หลงซิวขุ่นเคืองก็ต้องข่มกลั้นไว้ให้ได้!”
เกาเซ่าหมิงใคร่ครวญอยู่สักพักก็เอ่ยถาม “ที่ท่านพ่อขัดขวางให้ข้าเข้าวังไปช้าหน่อยเพราะมีเรื่องใดจะสั่งการใช่หรือไม่ขอรับ?”
เกาเจี้ยนเฉิงเอ่ยว่า “ปีนั้นหลังล่าถอยหลับมาจากแคว้นจ้าว เจ้าก็ให้ความสนใจเรื่องราวของหนิวโหย่วเต้ามาโดยตลอด เพราะกล้ำกลืนโทสะในครานั้นไม่ลงกระมัง?”
เกาเซ่าหมิงผงะไปเล็กน้อย คิดในใจว่าตนแอบทำอย่างลับๆ แล้ว ไม่คิดเลยว่าท่านพ่อจะสังเกตเห็นมานานแล้ว เขาก้มหน้าเอ่ยว่า “พวกพ้องบางส่วนที่ติดตามลูกมานานหลายปีต้องพลอยประสบเคราะห์ไปด้วย ลูกกล้ำกลืนโทสะในครานั้นไม่ลงจริงๆ ขอรับ แต่ลูกก็ไม่กล้าผลีผลามวู่วาม เพียงคอยมองหาโอกาสเท่านั้น”
“โอกาสของเจ้ามาถึงแล้ว!” เกาเจี้ยนเฉิงจิ้มนิ้วลงบนอกเขา
เกาเซ่าหมิงเงยหน้าขึ้น ไม่เข้าใจความหมาย จึงลองถามหยั่งเชิงดู “โอกาสสังหารหนิวโหย่วเต้าหรือขอรับ?”
“ไม่ๆๆ ข้าไม่สนใจว่าหนิวโหย่วเต้าจะเป็นหรือตาย” เกาเจี้ยนเฉิงปัดมือ เอ่ยกำชับอย่างละเอียดอีกครั้ง “หลังจากได้พบเถียนอวี่แล้ว จงจดจำเอาไว้สองเรื่อง เรื่องแรก อย่าปล่อยให้การจับตามองหนิวโหย่วเต้าในหลายปีมานี้ของเจ้าเสียเปล่า ต้องแสดงให้เห็นว่าเจ้ามีความเข้าใจในตัวหนิวโหย่วเต้าอย่างลึกซึ้ง หากทำให้เขาคิดว่าไม่มีผู้ใดรู้จักหนิวโหย่วเต้าดีไปกว่าเจ้าได้จะดีที่สุด”
“เรื่องที่สอง เจ้ายังคงมีตำแหน่งเป็นราชทูตแคว้นเยี่ยนประจำแคว้นจ้าวอยู่ นี่คือข้อได้เปรียบอย่างมหาศาลของเจ้า ข้าคิดว่าทางแคว้นจ้าวก็คงลังเลที่จะลงมือกับจินโจวเช่นกัน เจ้าสามารถอาศัยเรื่องนี้แจ้งต่อเถียนอวี่ได้ บอกว่าเจ้าสามารถหาโอกาสเจรจากับไห่อู๋จี๋ได้ ให้แคว้นจ้าวส่งกำลังมาลงมือกับหนิวโหย่วเต้าเช่นกัน”
“ยามที่เอ่ยถึงสองเรื่องนี้ เจ้าต้องแสดงให้เขาเห็นว่าเจ้ามีความเคียดแค้นชิงชังหนิวโหย่วเต้าอย่างรุนแรง จะแค้นเก่าแค้นใหม่ล้วนต้องเผยออกไปทั้งหมด แสดงให้เห็นว่าเจ้าต้องการล้างแค้นเอาคืน เป้าหมายก็เพื่อให้เจ้าได้รับผิดชอบดูแลภารกิจสังหารหนิวโหย่วเต้า”
เกาเซ่าหมิงลองถามดูอีกครั้ง “ทำคุณไถ่โทษหรือขอรับ?”
“เจ้าเนี่ยนะ อยู่ข้างนอกมานานเกินไปแล้ว ขาดประสบการณ์ในราชสำนักไปมาก” เกาเจี้ยนเฉิงชี้หน้าเขาพลางเอ่ยเตือนสติ “เถียนอวี่เป็นผู้ใดเล่า? เป็นคนสนิทข้างกายฝ่าบาท คนที่ฝ่าบาทไว้วางใจที่สุด มองจากเรื่องราวที่หนิวโหย่วเต้าก่อขึ้นแล้ว เขาจะใช่คนที่สามารถจัดการได้ง่ายปานนั้นหรือ? ครั้งนี้ทางวังหลวงต้องการลงมือด้วยตัวเอง เถียนอวี่จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้แน่นอน แต่เถียนอวี่ไม่สามารถออกห่างจากวังหลวงได้”
“เจ้าจงจำเอาไว้ หนิวโหย่วเต้าจะเป็นหรือตายไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือนี่เป็นโอกาสที่เจ้าจะได้อาศัยจังหวะสานสัมพันธ์กับเถียนอวี่ เถียนอวี่ต้องคอยรายงานความคืบหน้าของเรื่องราวต่อฝ่าบาทแน่นอน หากว่าทำให้เถียนอวี่สามารถเอ่ยถึงเจ้าต่อฝ่าบาทได้ตลอด ต่อให้ไม่มีผลงานก็ยังมีความมานะทำงาน นี่เป็นโอกาสดีที่จะทำให้ฝ่าบาทเปลี่ยนมุมมอง ทำให้ฝ่าบาทมีความประทับใจในตัวเจ้าเพิ่มมากขึ้น ความไม่พอใจในตัวเจ้าก็จะค่อยๆ ลดทอนลง เมื่อผ่านไปนานเข้า จากที่เป็นคนห่างไกลก็จะกลายเป็นคนใกล้ชิดไปเอง วันหน้าหากมีเรื่องใด เถียนอวี่ย่อมจะนึกถึงเจ้าบ้างไม่มากก็น้อย ขอเพียงเขาเอ่ยอะไรสักประโยคข้างพระกรรณของฝ่าบาท นั่นจะมีประโยชน์กว่าคำพูดของถงโม่เสียอีก ”
“สิ่งสำคัญที่สุดคือ พอเจ้าทำงานให้เถียนอวี่ หากมีคนในราชสำนักต้องการฉวยโอกาสเหยียบขยี้เจ้า เถียนอวี่จะไม่มีทางปล่อยให้คนอื่นมาทำลายงานของเขาได้ ถงโม่เองก็ต้องยำเกรงอยู่สามส่วนเช่นกัน อีกทั้งพอเรื่องราวกลายเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เจ้าจะปลอดภัยเท่านั้น เจ้ากลับจะได้ไปมาหาสู่ใกล้ชิดกับเถียนอวี่ด้วย เรื่องนี้จะส่งผลดีต่อตระกูลเกาของเราในทางลับ ทำให้ขวัญกำลังใจไพร่พลของตระกูลเกาเรามั่นคงขึ้น พ่อก็จะมีผู้สืบทอดดูแลตระกูลเกาต่อไป ต้นหญ้าบนกำแพงเหล่านั้นย่อมไม่กล้าเอนเอียงตามลมไปส่งเดชแน่นอน”
“ดังนั้นหนิวโหย่วเต้าจะเป็นหรือตายไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเจ้าต้องพยายามแสดงให้เถียนอวี่เห็น ทำให้ฝ่าบาทรับรู้ สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เอื้อประโยชน์ต่อตระกูลเกาเลย พวกเราต้องเปลี่ยนจุดเสียเปรียบให้เป็นจุดได้เปรียบ!” เขายกมือตบไหล่บุตรชาย
เกาเซ่าหมิงรู้สึกราวกับได้ฟังคำสอนที่มีคุณค่ากว่าตำราที่ร่ำเรียนมานานสิบปี แต่ก็ยังค่อนข้างกังวลอยู่ “หากว่าเถียนอวี่ไม่เห็นด้วยจะทำอย่างไรขอรับ?”
เกาเจี้ยนเฉิงเอ่ยว่า “เจ้าทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีก็พอ ส่วนทางวังหลวงนั้น พ่อจัดเตรียมคนเอาไว้แล้ว ขอเพียงเจ้าไม่ทำพลาดไปก็ไม่มีทางเกิดปัญหาใดขึ้น”
เกาเซ่าหมิงพรูลมหายใจออก ประสานมือเอ่ยว่า “ขอบพระคุณท่านพ่อที่ชี้แนะ ลูกเข้าใจแล้ว ทราบแล้วขอรับว่าสมควรทำอย่างไร”
เกาเจี้ยนเฉิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ดีมาก เจ้าเดินทางไกลมา คงจะเหนื่อยมากแล้ว ไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะ คืนนี้ก็ไปคิดทบทวนหาทางรับมือตอนเข้าวังในวันพรุ่งนี้ให้ดี อย่าปล่อยให้เกิดความผิดพลาดใดๆ ขึ้น ไม่ง่ายเลยกว่าตระกูลเกาจะมาถึงวันนี้ได้!”
“ขอรับ! ลูกจำใส่ใจแล้ว”
….
ณ เมืองหลวงแคว้นซ่ง ภายคฤหาสน์ที่มีการเฝ้าคุ้มกันอย่างแน่นหนา เฉาเซิ่งไหวนั่งอยู่ในศาลาเงยหน้ามองฟ้าถอนหายใจออกมาเป็นครั้งคราว
ทางเมืองหลวงแคว้นซ่งส่งวิหคพาหนะไปรับตัวเขามาจากมณฑลจินโจวในทันที เขาไม่มีโอกาสได้ไปพบกับทางหนิวโหย่วเต้าอีกเลย
ทางนี้จำกัดอิสระเขา แต่ก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาอย่างเลวร้าย จัดหาสำรับอาหารอย่างดีมารับรองทุกมื้อ
แต่ถึงมีสุราอาหารเต็มโต๊ะก็รู้สึกว่าไร้รสชาติ กินไม่ลงนอนไม่หลับอยู่ดี อีกทั้งไม่มีกะจิตกะใจบำเพ็ญเพียรด้วย รู้สึกทุกข์ใจอยู่ตลอดเวลา
เขาทราบดีว่าตอนนี้เรื่องราวถูกเขาขยายให้ใหญ่โตไปไกลแล้ว เขาไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้ตนจะก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นมาได้ ตกมาอยู่ในวังวนข้อพิพาทขัดแย้งเช่นนี้ คิดๆ ไปก็ค่อนข้างหวาดกลัวขึ้นมา แต่เขาไม่มีทางเลือกแล้ว
เขาก็ตระหนักเช่นกันว่าตนถลำลึกลงไปในวังวนแล้ว ซ้ำยังจมลึกลงไปเรื่อยๆ ด้วย หนิวโหย่วเต้าผู้นั้นเสมือนมารร้ายที่ตามพัวพันเขา กลายเป็นฝันร้ายของเขา ต่อให้พยายามดิ้นรนสุดกำลังก็ไม่อาจสลัดพ้นได้ ยิ่งดิ้นรนเท่าไรก็ยิ่งหายใจไม่ออกขึ้นเรื่อยๆ
เขาเฝ้าบอกตัวเองอยู่ในใจซ้ำๆ ว่าหากผ่านเรื่องนี้ไปได้ ชาตินี้เขาไม่อยากพบเจอหนิวโหย่วเต้าอีกแล้ว คนผู้นี้น่ากลัวเหลือเกิน อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องเงินเลย สามล้านเหรียญทองที่ติดค้างอยู่เขาไม่ต้องการแล้วจริงๆ อยากเป็นเพียงศิษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ในสำนักหมื่นสรรพสัตว์เท่านั้น
….
ภายในตำหนักหลักของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ โฉวซานที่เพิ่งกลับมาจากทางเมืองหลวงแคว้นซ่งกำลังรายงานผลต่อเจ้าสำนักซีไห่ถังอยู่
เฉาจิ้งสาวเท้าเดินเข้ามาจากด้านนอกอย่างเดือดดาล “ศิษย์น้องโฉวกลับมาแล้วหรือ ได้พบไอ้เดรัจฉานตัวนั้นหรือไม่?”
เดิมทีเขาคิดจะเดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นซ่งด้วยตัวเอง แต่เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้ว ทางสำนักกลัวเขาจะปกป้องคนกันเอง จึงขอให้เขาหลีกทางไป
โฉวซานถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ได้พบแล้ว แต่ทางราชสำนักมีทั้งหอเทียมเมฆา โถงโลหิตเทวาและวังแยกนภาหนุนหลังอยู่ ยืนกรานไม่ยอมปล่อยตัวคน พวกเราไม่มีทางแย่งตัวคนมาได้เลย!”
เฉาจิ้งเอ่ยด้วยความโมโห “พวกเขาคิดจะทำอะไรกัน?”
ซีไห่ถังแค่นเสียงเย็นชา “คิดจะทำอะไรยังต้องให้พูดอีกหรือ? คงไม่พ้นเรื่องที่จะตะครุบชิ้นเนื้อมันย่องอย่างแคว้นเยี่ยน คิดจะฉวยโอกาสจากสถานการณ์น่ะสิ! ตอนนี้ต่อให้เฉาเซิ่งไหวคิดจะปฏิเสธ พวกเขาก็ไม่มีทางยอมให้เขาได้มีโอกาสออกมาปฏิเสธอย่างเปิดเผยแล้ว หมายความว่าตอนนี้ไม่ว่าจะใช่ฝีมือของแคว้นเยี่ยนหรือไม่ ราชสำนักก็จะคิดบัญชีนี้กับทางทางแคว้นเยี่ยนให้ได้ แต่ก็ต้องการเผื่อทางถอยไว้ให้ตัวเอง หลานชายคนนั้นของเจ้าเกรงว่าคงไม่ได้ออกจากเมืองหลวงกลับมายังสำนักหมื่นสรรพสัตว์ในเร็วๆ นี้แน่นอน”
“เดรัจฉาน! เดรัจฉาน!” สีหน้าเฉาจิ้งมืดมน หายใจฟืดฟาดด้วยความโมโห สองมือกำแน่นเข้าหากัน อยากจะซัดฝ่ามือผ่าร่างเฉาเซิ่งไหวทั้งเป็นใจแทบขาด