ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 58 ฝ่าบาททรงพิโรธ
ตอนที่ 58 ฝ่าบาททรงพิโรธ
ถูฮั่นพยักหน้ารับ “ข้าจะลองดูแล้วกัน”
ซูพั่วยิ้มเล็กน้อย จากนั้นกล่าวว่า “หากอาจารย์เจ้าไม่ยอมมา เจ้าก็รั้งอยู่ที่ยอดเขาภูตมารซะ ไม่ต้องกลับมาอีก”
ถูฮั่นผงะไปแวบหนึ่ง รีบเอ่ยว่า “หากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ประสบปัญหา ศิษย์จะเมินเฉยได้อย่างไร จะให้ศิษย์ทำตัวเป็นคนถ่อยเนรคุณได้อย่างไร?”
ซูพั่วโบกมือเล็กน้อย “พูดแบบนี้ก็ไม่ถูก คุณธรรมมีแบ่งแยกมากน้อย! ต่อให้เจ้ากับเว่ยตัวอยู่ที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี หากตระกูลซ่งลงมือกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จริงๆ เกรงว่าคงไม่เหลือโอกาสให้ใครได้มาแก้แค้น คาดว่าคงขุดรากถอนโคนแน่ หากมิใช่เพราะยากจะพูดกล่อมเว่ยตัวให้จากไปได้ ข้าคงจะให้เว่ยตัวลี้ภัยไปที่ยอดเขาภูตมารกับเจ้าแน่นอน ที่ให้เขาไปหาหนิวโหย่วเต้านั้นเป็นทางเลือกรอง หากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปถึงจุดที่ถูกทำลายล้างทั้งสำนักจริงๆ ในอนาคตเจ้าจงหาโอกาสไปพบเว่ยตัว ร่วมมือกับเขาเพื่อคิดหาทางก่อตั้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ขึ้นมาอีกครั้ง นี่ถือเป็นคุณธรรมอันยิ่งใหญ่! ที่ข้าเกลี้ยกล่อมให้พวกเจ้าจากไปก็เพราะฝากความหวังไว้กับพวกเจ้า ส่วนคนอื่นๆ เกรงว่าคงหาทางเอาตัวรอดไม่ยอมอยู่เผชิญหน้ากับอันตรายแน่”
ถูฮั่นขบกรามแน่น เข้าใจความคิดของเขา ตระกูลซ่งหยิบยกความจริงที่ซ่งเหยี่ยนชิงถูกสังหารขึ้นมา เจตนาของอีกฝ่ายชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อเจ้าไม่มองว่าคนตระกูลซ่งของข้าเป็นลูกศิษย์ เช่นนั้นคนตระกูลซ่งก็จะไม่มองสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เป็นอาจารย์เช่นกัน ในเมื่อเจ้าไร้เมตตาก็อย่าได้กล่าวโทษที่ข้าไร้คุณธรรม และทันทีที่ตระกูลซ่งเลิกให้การปกป้องสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ตระกูลซ่งก็ไม่จำเป็นต้องลงมือเองเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่ปล่อยข่าวออกไปว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้ว ก็มีคนมากมายที่พร้อมลงมือจัดการสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ แล้วก็มีผู้คนอีกมากมายที่ต้องการยึดครองพื้นที่อันแสนงดงามของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์
ความคิดที่จะล้างแค้นของตระกูลซ่งชัดเจนเป็นอย่างมาก มิเช่นนั้นคงไม่มาแสดงความไม่เคารพต่อสำนักโดยให้เฉินกุยซั่วมายั่วยุหาเรื่องอย่างเปิดเผยเช่นนี้ได้ ลำพังศิษย์คนหนึ่งไหนเลยจะทำเรื่องเช่นนี้ได้ ส่วนใหญ่ล้วนแต่จะอดทนไว้
สิ่งที่ทำให้ถูฮั่นนึกฉงนคือ ตระกูลซ่งมีความสามารถมากพอจะจัดการสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้ แค่ลงมือจัดการเสียก็สิ้นเรื่อง เหตุใดต้องให้เฉินกุยซั่วทำเช่นนี้ด้วย นี่มิเท่ากับทำให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้มีโอกาสเตรียมตัวรับมือก่อนหรอกหรือ?
“อันที่จริงคำพูดของผู้อาวุโสหลัวก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล เราสามารถคิดถึงเรื่องหาสถานที่ซ่อนตัวได้!” ถูฮั่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
ซูพั่วส่ายศีรษะ “เขาพูดไปเพราะโมโห คนในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมานานแล้ว บอกว่าซ่อนตัวก็ซ่อนตัวได้เลยเสียที่ไหน เมื่อไม่มีทรัพยากรบำเพ็ญเพียรแล้ว จะมีสักกี่คนที่ยอมไปซ่อนตัวด้วย อีกทั้งจะมีสักกี่คนที่ยินดีซ่อนตัวอยู่ในความเงียบเหงาอ้างว้างตลอดไปได้ จะมีคนยอมเปิดเผยสถานที่ซ่อนตัวเพื่อแลกกับเส้นทางอนาคตหรือเปล่า เกรงว่าคงมีโอกาสสูงมากใช่ไหมล่ะ? ยังไม่ต้องไปพูดถึงอนาคตเลย ใจคนไม่เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว จะมีผู้ใดบอกได้บ้างว่าเวลานี้มีสายสืบจากด้านนอกแทรกซึมอยู่ในสำนักหรือไม่ แล้วเราจะไปซ่อนตัวที่ใดได้? คนประเภทไหนที่ควรทิ้ง คนประเภทไหนที่ควรเก็บไว้ ผู้ใดจะแยกแยะได้กระจ่าง? สำนักที่มีคนมากมายขนาดนี้ มิใช่บอกว่าจะซ่อนตัวก็ซ่อนตัวได้ทันที การจะทำเช่นนั้นมีรายละเอียดขั้นตอนที่ซับซ้อนเป็นอย่างมาก หากไปซ่อนตัวแล้วไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยได้ก็ไม่มีความหมายอะไร สรุปคือ ตอนนี้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยังขาดคนที่มีความเป็นผู้นำมากพอจะคุมสถานการณ์และทำให้ทุกคนไว้วางใจได้ ข้าทำไม่ได้ ศิษย์พี่หลัวทำไม่ได้ ศิษย์น้องหญิงถังทำไม่ได้ เจ้าสำนักถังอี๋ก็ทำไม่ได้เช่นกัน นี่คือสาเหตุที่ว่าเหตุใดตอนนั้นข้าถึงไม่คัดค้านที่พวกเขาทำกับหนิวโหย่วเต้าเช่นนั้น หากให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งมายังสำนักและไม่มีใครเชื่อใจขึ้นเป็นเจ้าสำนัก ใครมันจะไปนับถือเขาได้? ยกถังอี๋ขึ้นเป็นเจ้าสำนักอย่างน้อยก็มีความขัดแย้งน้อยที่สุด ยังพอฝืนรักษาความสงบภายในสำนักเอาไว้ได้ ตอนนี้ดูแล้ว ถังมู่และตงกัวเฮ่าหรานนับว่าทุ่มเทสุดความสามารถแล้ว เห็นได้ชัดว่าทั้งสองทำงานประสานกันโดยที่คนหนึ่งอยู่ในที่ลับคนหนึ่งอยู่ในที่แจ้ง พยายามอย่างเต็มที่เพื่อฟื้นฟูสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ขึ้นมาใหม่ สายตาในการเลือกศิษย์ของศิษย์พี่ยังคงยอดเยี่ยมนัก…”
….
ณ เมืองหลวง ภายในสวนอันกว้างขวางของคฤหาสน์หลังหนึ่ง หวังเหิงที่ยืนอยู่ริมสวนดอกไม้ยกกระถางดินเผาใบหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะทุ่มลงกับพื้นด้วยความโกรธเกรี้ยว เกิดเสียงดังโครมคราม แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ เศษดินปลิวว่อน ดอกไม้หายากต้นหนึ่งที่ปลูกไว้ในกระถางถูกเขาเหยียบขยี้ซ้ำๆ จนเละเทะ
โมโหจนไม่อาจควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้! เขาส่งจดหมายไปหาเฟิ่งหลิงปอที่จังหวัดกว่างอี้ กำลังคอยการตอบกลับจากเฟิ่งหลิงปออยู่ ผลคือไม่ได้รับจดหมายตอบกลับ แต่กลับได้รับข่าวว่าเฟิ่งหลิงปอจะเกี่ยวดองกับซางเฉาจงแทน เริ่มแรกเขายังไม่อยากจะเชื่อ เฟิ่งหลิงปอจะยกบุตรสาวของตนให้ออกเรือนกับซางเฉาจงได้อย่างไร สมองมีปัญหาไปแล้วหรือ? กระทั่งได้รับข่าวอีกครั้ง แม้แต่วันแต่งก็กำหนดเอาไว้แล้ว ข่าวมงคลแพร่ไปทั่วตัวจังหวัดกว่างอี้แล้ว ยืนยันได้ว่าข่าวถูกต้อง เฟิ่งหลิงปอเกี่ยวดองกับซางเฉาจงจริงๆ!
นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าเฟิ่งหลิงปอไม่ไว้หน้าเขา ตบหน้าเขาอย่างจัง ไม่มีทางมอบตัวคนของซางเฉาจงให้แก่เขา นี่คือเหตุผลที่เฟิ่งหลิงปอไม่ยอมตอบจดหมายเขา
บุตรสาวเขายังอยู่ในบ้าน ยังไม่ได้กลับไปบ้านสามี เขาปกปิดข่าวการตายของซ่งเหยี่ยนชิงไว้ยังไม่ได้บอกกับบุตรสาว ใช่ว่าไม่อยากพูด หากแต่ไม่รู้ว่าควรบอกเล่าด้วยวิธีใดถึงจะเหมาะสม บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจความคิดของบุตรสาวเช่นกัน คนที่ด่าว่าซ่งเหยี่ยนชิงใจดำทำไม่ดีกับนางจนนำเรื่องในบ้านมาฟ้องก็คือนาง ส่วนตอนนี้คนที่พร่ำเพ้อถึงซ่งเหยี่ยนชิงอยากกลับไปที่บ้านสามีก็คือนางเช่นกัน หากนางเกลียดชังซ่งเหยี่ยนชิงจริงๆ ก็ว่าไปอย่าง เขาคงพูดออกไปได้ไม่ยาก
หลังอาละวาดระบายความโกรธไปสักพัก อารมณ์ก็สงบลงเล็กน้อย โอ่งอ่างกระถางต่างๆ ที่อยู่ข้างสวนดอกไม้พังเละเทะไปหมดแล้ว
หวังเหิงหอบหายใจพลางจ้องมองเศษซากบนพื้น จากนั้นตะโกนขึ้นว่า “ลู่เซิ่งจง!”
ห่างออกไปไม่ไกล ชายหนุ่มที่แต่งกายหรูหรางดงามที่เฝ้ามองอยู่ใต้ชายคาผู้หนึ่งเดินเอื่อยๆ เข้ามา ในมือถือพัดจีบแพรดำที่ดำสนิททั้งอัน ท่าทางดูสง่างาม ทว่าใบหน้ากลับเจือความหวานละมุนเอาไว้อย่างชัดเจน เขาเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม เอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ระบายโทสะพอแล้วหรือขอรับ?”
คนผู้นี้คือลู่เซิ่งจงที่เขาเรียกหา แล้วก็เป็นหนึ่งในฝ่าซือติดตามของเขา
หวังเหิงหันไปมองเขา เอ่ยสั่งการ “เจ้าไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองที”
ลู่เซิ่งจงขมวดคิ้ว ย่อมทราบดีว่าเขาหมายถึงอะไร จึงเอ่ยด้วยความลังเลว่า “เฟิ่งหลิงปอสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้ คนของสำนักหยกสวรรค์ย่อมมีเอี่ยวด้วย เกรงว่าจะลงมือไม่ได้ขอรับ”
หวังเหิงสีหน้าบึ้งตึง เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะใช้วิธีการใด แต่จงเอาศีรษะของหนิวโหย่วเต้าคนนั้นมาให้ข้าซะ!”
ลู่เซิ่งจงจนปัญญาอย่างยิ่ง ได้แต่ยิ้มเจื่อนพยักหน้ารับ “ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่แล้วกันขอรับ!”
รับปากก็ส่วนรับปาก ส่วนรายละเอียดควรดำเนินการอย่างไรนั้นเขาต้องใคร่ครวญให้ดีอีกที หนิวโหย่วเต้าไม่มีอะไรให้น่ากังวล สิ่งสำคัญคือสำนักหยกสวรรค์ต่างหาก
หลักเหตุผลก็ง่ายดายนัก ต่อให้ทำสำเร็จแล้ว แต่ทันทีที่สำนักหยกสวรรค์ทราบว่าเป็นฝีมือเขา การที่กล้าบุกเข้าไปสังหารคนที่อยู่ในการดูแลของสำนักหยกสวรรค์ถึงถิ่นของสำนักหยกสวรรค์ นั่นเท่ากับเป็นการหยามหน้าสำนักหยกสวรรค์ สำนักหยกสวรรค์ไหนเลยจะยอมรับเรื่องเช่นนี้ได้ ย่อมไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่นอน อีกฝ่ายจะต้องส่งยอดฝีมือมาตามล่า หากเขาไม่ตายย่อมไม่มีทางเลิกรา!
……
ในสวนอันเงียบสงบของคฤหาสน์ตระกูลซ่ง ภายในศาลาริมน้ำ ซ่งจิ่วหมิงยกมือไพล่หลัง จ้องมองดูตัวหมากบนกระดานที่ใกล้จะจบลงอย่างใช้ความคิด
หลิวลู่ผู้เป็นพ่อบ้านตระกูลซ่งที่ผมขาวโพลนเดินผ่านเฉลียงทางเดินเข้ามาหา หยุดอยู่ด้านข้างพลางกระซิบรายงานเสียงเบาๆ “สายข่าวรายงานว่าลู่เซิ่งจงออกจากเมืองหลวงไป เป็นไปได้มากว่าหวังเหิงจะส่งเขาไปลงมือจัดการขอรับ”
ซ่งจิ่วหมิงไม่ได้ตอบสนองอันใด ยังคงจ้องมองตัวหมากอย่างใช้ความคิด ผ่านไปสักพักหลังจากวางหมากตัวหนึ่งลงไปแล้วจึงเอ่ยเบาๆ ว่า “ได้ยินว่าจื่ออวี๋อยู่ที่สำนักเซียนสถิตก็สนิทสนมกับสหายร่วมสำนักทีเดียว อาจารย์ในสำนักต่างพากันชื่นชมใช่หรือเปล่า?
จื่ออวี๋คือบุตรชายของพ่อบ้านหลิวลู่ หลิวลู่แย้มยิ้มพลางเอ่ยตอบ “ที่สำนักเซียนสถิตดูแลใส่ใจจื่ออวี๋ก็เป็นเพราะเห็นแก่หน้านายท่านขอรับ”
ซ่งจิ่วหมิงคล้ายรู้สึกว่าวางหมากผิดไป จึงเก็บกลับมาอีกครั้งพร้อมเอ่ยว่า “ภูมิหลังสำนักของลู่เซิ่งจงอ่อนแอไปหน่อย เกรงว่าคงไม่มีความมั่นใจพอจะเผชิญหน้ากับสำนักหยกสวรรค์ ให้จื่ออวี๋เชิญสหายร่วมสำนักจำนวนหนึ่งเดินทางไปดูสถานการณ์สักหน่อยแล้วกัน”
หลิวลู่ตะลึงไปแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับคำทันที “ขอรับ!”
ในเวลานี้ซ่งเฉวียนเดินลัดเลาะเฉลียงทางเดินตรงเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว พยักหน้าทักทายหลิวลู่เล็กน้อย จากนั้นเอ่ยรายงานซ่งจิ่วหมิงว่า “ท่านพ่อ มีคนจากจวนเจ้ากรมโยธามาขอรับ ต้องการให้ท่านพ่อไปหาที่จวน แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องใดขอรับ”
ซ่งจิ่วหมิงคล้ายถูกดึงความคิดออกมาจากผังหมากทันที เขาวางตัวหมากในมือลง หันหลังก้าวออกไป ท่าทางไม่กล้าชักช้าโอ้เอ้
ออกไปขึ้นรถม้า มีผู้คุ้มกันติดตามไป มุ่งตรงสู่จุดหมายปลายทาง
สถานที่พำนักของชนชั้นสูงในเมืองหลวงมีหลายย่าน ส่วนใหญ่ล้วนพำนักอยู่ในทำเลดี แต่คนอย่างเจ้ากรมโยธาถงมั่วอยู่ในจุดที่แตกต่างจากขุนนางทั่วไป เขามีงานยุ่งอยู่เสมอ การเดินทางกลับไปกลับมาเป็นเรื่องเสียเวลา โดยปกติแล้วอยู่ที่ไหนก็ทำงานที่นั่น
จวนเจ้ากรมโยธาตั้งอยู่ไม่ไกลจากวังหลวง นี่ก็เพื่อให้สะดวกต่อการเข้าเฝ้า ขนาดของที่พักเองก็ใหญ่โตไม่น้อย
รถม้าจอดอยู่ด้านล่างขั้นบันไดสูง ซ่งจิ่วหมิงที่มุดออกมาจากในรถม้ารีบก้าวขึ้นบันไดไป ฝ่าซือติดตามชะงักฝีเท้า ไม่กล้าล่วงล้ำเข้าไปโดยพลการ ได้แต่มองส่งซ่งจิ่วหมิงเข้าไปเพียงลำพัง
ภายในโถงหลักขนาดใหญ่ที่สามารถจุคนได้จำนวนมากเงียบสงัด ชายชราในชุดลำลองภูมิฐานคนหนึ่งนั่งตัวตรง ถือพู่กันจัดการเอกสารราชการอยู่ มีคนยกเอกสารราชการที่ได้รับการตรวจตราเรียบร้อยแล้วเดินเข้าๆ ออกๆ อย่างระมัดระวัง ไม่กล้าส่งเสียงดังรบกวน
“เจ้ากรมโยธา!” ซ่งจิ่วหมิงประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม ค้อมตัวลงต่ำยิ่ง
ถงมั่วเงยหน้ามองเล็กน้อย แววตาคมกล้ามีประกาย แฝงเร้นความน่าเกรงขามเอาไว้ เขาขยับพู่กันในมือเบาๆ จากนั้นก้มหน้าจัดการเอกสารต่อ
ซ่งจิ่วหมิงค่อยๆ ถอยออกไปอยู่ด้านข้าง สองมือวางทับกันอยู่ตรงหน้าท้อง ก้มหน้ารอคอยอย่างสงบ
ไม่นานนัก มีคนเข้ามาจากด้านนอกอีกหนึ่งคน เป็นบุรุษร่างผอมบาง ใบหน้าขาวเนียนไร้หนวดเครา สองจอนแซมหงอกขาว จมูกโด่งงุ้ม แววตาเย็นชา สวมผ้าคลุมกันลมสีดำผืนหนึ่ง เดินเข้ามาอย่างสงบเสงี่ยม เป็นก่าเหมี่ยวสุ่ยขันทีจากวังหลวง หลังจากก่าเหมี่ยวสุ่ยประสานมือคำนับถงมั่วที่อยู่หลังโต๊ะทำงานแล้วก็มิได้เปล่งเสียงใดๆ ยืนรออยู่อีกด้านอย่างเงียบๆ สายตาจับจ้องใบหน้าซ่งจิ่วหมิง จ้องมองจนซ่งจิ่วหมิงรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ถงมั่วที่จัดการงานเสร็จเรียบร้อยก็วางพู่กันลง เงยหน้ามองก่าเหมี่ยวสุ่ยและซ่งจิ่วหมิง ดึงเอกสารที่เขียนเสร็จเรียบร้อยแล้วยื่นส่งให้เจ้าหน้าที่ที่คอยอยู่ด้านข้าง จากนั้นโบกมือเล็กน้อย เจ้าหน้าที่คนอื่นที่ยังคอยอยู่ในห้องพากันถอยออกไป ปล่อยให้พวกถงมั่วทั้งสามได้อยู่ตามลำพัง
“เรื่องที่เฟิ่งหลิงปอจะเกี่ยวดองกับซางเฉาจง คงทราบแล้วกระมัง?” ถงมั่วจ้องมองซ่งจิ่วหมิงพลางเอ่ยเสียงขรึม
ซ่งจิ่วหมิงตอบอย่างนอบน้อม “ผู้น้อยทราบแล้วขอรับ”
จากนั้นถงมั่วพยักเพยิดหน้าไปทางก่าเหมี่ยวสุ่ย ก่าเหมี่ยวสุ่ยค่อยๆ เดินเข้ามาตรงกลางห้อง เอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ฝ่าบาททรงพิโรธอย่างมาก!”
ถงมั่วเอ่ยถามซ่งจิ่วหมิงต่อ “เรื่องนี้เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร?”
ซ่งจิ่วหมิงเอ่ยด้วยความลังเล “ว่ากันตามหลักแล้ว เฟิ่งหลิงปอไม่มีความกล้าขนาดนี้ เว้นแต่จะมีสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่ามีค่าพอให้เขายอมเสี่ยง เกรงว่าซางเฉาจงคงบอกเฟิ่งหลิงปอเรื่องมรดกที่หนิงอ๋องทิ้งไว้ให้แล้ว นอกจากเรื่องนี้ ผู้น้อยก็คิดไม่ออกแล้วว่ายังจะมีสาเหตุใดอีก”
ภายในห้องโถงเงียบวังเวงไปพักใหญ่ ต่างคนต่างใช้ความคิด เห็นได้ชัดว่าล้วนเห็นด้วยกับความเห็นนี้ ต่างทราบดีว่าเรื่องนี้จัดการได้ค่อนข้างลำบาก เพราะเฟิ่งหลิงปอมีที่พึ่งพิง มิได้มีความเกรงกลัวอันใดเลย!
ซ่งจิ่วหมิงพลันถอนหายใจออกมา “ผู้น้อยคิดมาโดยตลอดว่าไม่ควรปล่อยซางเฉาจงออกจากเมืองหลวง กังวลว่าจะเป็นการปล่อยเสือเข้าป่า ยามนี้ดูแล้ว ไม่ผิดไปจากที่คาดเลยจริงๆ”
ก่าเหมี่ยวสุ่ยเอ่ยด้วยแววตาเย็นชา “ใต้เท้าซ่งคิดว่าฝ่าบาทตัดสินพระทัยผิดพลาดอย่างนั้นหรือ?”
“มิบังอาจ!” ซ่งจิ่วหมิงค้อมกายลง
ก่าเหมี่ยวสุ่ยกล่าวอย่างเย็นชา “ยังมีเรื่องใดที่ตระกูลซ่งของพวกท่านไม่กล้าอีกเล่า? ไหนบอกว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อยู่ในการควบคุมของตระกูลซ่งแล้วมิใช่หรือ? เหตุใดสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยังส่งฝ่าซือไปติดตามซางเฉาจงอีก? ซ้ำหลานชายคนนั้นของท่านยังแล่นไปดักโจมตีคนเขากลางทางอีก นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
…………………………………………………………….