ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 588 ร่วมชมด้วยกัน
ตอนที่ 588 ร่วมชมด้วยกัน
ฟ้ายังไม่ทันสว่าง แต่ประตูเมืองทิศใต้ก็เปิดออกก่อนเวลาแล้ว ไพร่พลนับหมื่นที่ทอดขบวนยาวเหยียดดั่งมังกรเคลื่อนพลออกจากประตูเมือง มีทหารม้าหลายร้อยนายนำขบวนอยู่ด้านหน้า
เสียงเคลื่อนไหวอึกทึกนี้ทำให้มีชาวบ้านมากมายในเมืองหลวงตื่นก่อนเวลา
ในช่วงสาย กองทัพนับหมื่นปรากฏตัวขึ้นในจุดที่ห่างจากเมืองหลวงไปยี่สิบกว่าลี้ เข้าสู่เขตที่นาผืนใหญ่ เข้าปิดล้อมบ้านสวนแห่งหนึ่งที่ติดภูเขาเลียบแม่น้ำ
ประตูใหญ่นอกบ้านสวนปิดสนิท มีแม่ทัพยืนเรียงแถวอยู่ ตะโกนเสียงดังพร้อมเพรียงว่าให้คนที่อยู่ด้านในรีบเปิดประตูใหญ่ยอมให้ความร่วมมือเสีย มิเช่นนั้นจะต้องรับผลที่ตามมา
ภายในบ้านสวนทั้งนายทั้งบ่าวล้วนแตกตื่นวุ่นวาย เจ้าบ้านจงเหยียนหลิงยืนอยู่ใต้ชายคา ร้อนใจดั่งมดที่ไต่บนหม้อร้อนๆ “เกิดอะไรขึ้น นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? หรือว่าฝั่งท่านพ่อไปล่วงเกินราชสำนักเข้าแล้ว?”
ข้ารับใช้ทั้งสองคนที่แต่งตัวตามรูปแบบของข้ารับใช้ คนหนึ่งแก่ชราอีกคนอยู่ในวัยกลางคน เวลานี้บุคลิกท่าทางพลันเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ไหนเลยจะยังเหมือนข้ารับใช้อยู่
บ่าวชราดึงตัวจงเหยียนหลิงที่กระสับกระส่ายร้อนใจไว้ “ท่านเจ้าบ้าน เพื่อแผนกการในวันนี้แล้ว มีเพียงพวกเราสองคนที่พาท่านเจ้าบ้านฝ่าออกไปได้”
จงเหยียนหลิงกระทืบเท้าเอ่ยว่า “ด้านนอกมีกองทัพนับพันปิดล้อมอยู่ ไหนเลยจะขาดแคลนผู้บำเพ็ญเพียร จะฝ่าออกไปได้อย่าง? ต่อให้พวกเจ้าทั้งสองพาข้าฝ่าออกไปได้ แต่ลูกเมียครอบครัวของข้าล่ะจะทำอย่างไร? เจ้าสองคนจะพาทั้งครอบครัวข้าหนีออกไปพร้อมกันได้หรือ?”
บ่าววัยกลางคนเอ่ยเสียงเครียด “ท่านเจ้าบ้าน ปกป้องไว้ได้หนึ่งคนก็นับว่าดีกว่าปกป้องไว้ไม่ได้เลยสักคน มิเช่นนั้นพวกเขาคงไม่มีทางมอบคำอธิบายให้นายท่านได้”
จงเหยียนหลิงโบกมือกล่าวไปว่า “อาจจะไม่ถึงขนาดนั้นก็ได้ บางทีพวกเราอาจจะคิดมากไปเอง มิสู้ยอมเปิดประตูตามที่บอกเถิด อาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่พวกเราคิดเอาไว้ก็ได้”
บ่าวชราเอ่ยว่า “ท่านเจ้าบ้าน อย่าเสี่ยงเลยจะดีกว่า กองทัพที่อยู่ด้านนอกมิใช่ทหารธรรมดา แต่เป็นกองทหารรักษาพระองค์จากเมืองหลวง จับกุมเจ้าของที่ดินคนหนึ่งจำเป็นต้องให้กองทหารรักษาพระองค์ออกปฏิบัติการด้วยหรือ? เรื่องราวไม่ง่ายดายอย่างที่ท่านคิดแน่นอน ทันทีที่พวกเรายอมจำนน ฐานะผู้บำเพ็ญเพียรของพวกเราทั้งสองย่อมต้องเปิดเผยออกมาอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ตามกฎของใต้หล้า ผู้บำเพ็ญเพียรและราษฎรธรรมดาต้องรักษาระยะห่างไว้ ท่านเจ้าบ้านมิใช่ขุนนางข้าราชสำนัก หากพบว่ามีพวกเราสองคนซ่อนตัวอยู่ที่นี่ด้วย ปะปนอาศัยกับชาวบ้าน พวกเราก็ยากจะรอดพ้นความผิดไปได้!”
จงเหยียนหลิงเอ่ยด้วยความขุ่นข้อง “คนที่แอบทำเรื่องนี้มีน้อยหรืออย่างไร?”
บ่าวชรากล่าวว่า “กฎขึ้นอยู่กับผู้บังคับใช้ หากไม่อยากเปิดโปงย่อมไม่มีเรื่องใด แต่หากอยากเปิดโปงขึ้นมาย่อมต้องไล่เบี้ยหาความผิด บนโลกนี้ไหนเลยจะมีความยุติธรรมอย่างสมบูรณ์อยู่ มองจากความเคลื่อนไหวอึกทึกครึกโครมภายนอกแล้ว ผู้มาไม่มีเจตนาดีเลย ท่านเจ้าบ้านคิดว่าอีกฝ่ายจะยอมปล่อยผ่าน ไม่ถือสาหาความหรือ?”
จงเหยียนหลิงกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าทั้งสองรีบหนีไปเถอะ ขอเพียงไม่อยู่เป็นหลักฐานก็พอ จากนั้นค่อยขอให้ท่านพ่อช่วยออกหน้าหาทางจัดการให้ ราชสำนักต้องไว้หน้าท่านพ่ออยู่หลายส่วนแน่” ทั้งสองยังอยากจะพูดอะไรต่อ แต่เขาโบกมือห้ามทันที “ข้าไม่อาจทอดทิ้งลูกเมียได้ หลังจากพวกเจ้าทั้งสองออกไปแล้ว ต่อให้ทางราชสำนักจับได้ว่าที่นี่มีผู้บำเพ็ญเพียร ข้าก็ยังสามารถปฏิเสธได้ บอกว่าพวกเจ้าสองคนเป็นเพียงหัวขโมยในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรที่ออกปล้นชิง เช่นนี้ก็สามารถถ่วงเวลาเอาไว้ได้ ส่วนพวกเจ้าก็เร่งติดต่อขอความช่วยเหลือจากท่านพ่อให้ข้า”
เมื่อเขายืนกรานจะทำเช่นนี้ ทั้งสองก็ไม่มีทางเลือก หากเขาไม่ยอมรับปากแล้วเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของเขา ทั้งสองคนก็รับผิดชอบไม่ไหว กับบางเรื่องต้องให้เขาเห็นชอบด้วยเท่านั้นถึงจะทำได้
สุดท้ายทั้งสองก็ทำได้เพียงปรับเปลี่ยนใบหน้าอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนไปสวมชุดโพกหน้า ทะยานออกไปทางมุมหนึ่งของลานเรือนอย่างรวดเร็ว
“ยิงธนู!”
ทันทีที่แว่วเสียงสั่งการ ห่าธนูพุ่งเข้ามา พลังของทั้งสองแกร่งกล้า บังคับปัดห่าธนูให้เบี่ยงพ้นไป เหินทะยานฝ่าวงล้อม
“รนหาที่ตาย!” ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งที่อยู่บนหลังม้าแค่นเสียงเย็นชา
เสียงกระบี่แว่วดังโช้งเช้ง ผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มหนึ่งที่สังเกตการณ์อยู่บนหลังม้าพลันชักกระบี่ออกมา คนสิบกว่าคนเหินขึ้นสู่อากาสพร้อมกัน ทั้งสองฝ่ายปะทะกันกลางอากาศ การต่อสู้ดุเดือดเริ่มต้นขึ้นกลางเวหา
ยอดฝีมือจากสามสำนักใหญ่ที่ประจำการอยู่ในเมืองหลวงออกโรงเอง อีกทั้งเป็นการต่อสู้แบบมากรุมน้อย การต่อสู้จึงดำเนินอยู่ไม่นานนัก ในยามที่ประตูใหญ่ของบ้านสวนเปิดออก การต่อสู้ก็จบลงแล้ว
จงเหยียนหลิงยืนอยู่นอกประตูเพียงลำพัง สีหน้าโศกหมอง
ทหารกลุ่มใหญ่พุ่งผ่านตัวเขาเข้าสู่ด้านในบ้านสวน เกิดความชุลมุนวุ่นวายขึ้นภายใน มีเสียงหวีดร้องโวยวาย รวมถึงมีเสียงเด็กร้องไห้
ขุนพลที่สวมเกราะศึกคนหนึ่งควบม้าเข้าไปหยุดเบื้องหน้าจงเหยียนหลิงอย่างเชื่องช้า ทอดมองเขาจากมุมสูง
คนผู้นี้มิใช่ใครอื่น ที่แท้ก็เป็นญาติเกี่ยวดองของซ่งจิ่วหมิง อดีตพ่อตาของซ่งเหยียนชิง หวังเหิงหนึ่งในสี่ผู้บัญชาการทัพแห่งเมืองหลวง
“ท่านแม่ทัพ ข้าคือพลเรือนที่ประพฤติตนตามกฎหมาย ไม่ทราบว่าไปก่อคดีความร้ายแรงอันใดเข้าถึงได้มีการเคลื่อนทัพใหญ่มาเช่นนี้?” จงเหยียนชิงประสานมือสอบถาม
หวังเหิงยกมือไปทางด้านหลังพลางโบกเล็กน้อย ข้ารับใช้ทั้งสองที่เพิ่งหลบหนีออกมาจากในเรือนก่อนหน้านี้ถูกคนลากออกมาในสภาพโลหิตเปรอะร่าง โยนไว้เบื้องหน้าจงเหยียนหลิง
“รู้จักหรือไม่?” หวังเหิงเอ่ยถามเสียงเย็นชา
จงเหยียนหลิงส่ายหน้า “ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด”
钱财而已。”
หวังเหิงมองไปที่ข้ารับใช้ทั้งสองคนนั้นอีกครั้ง บ่าววัยกลางคนเอ่ยว่า “พวกเราขาดแคลนเงิน เพียงมาหาเงินจากที่นี่นิดหน่อยเท่านั้น”
“เฮอะๆ!” หวังเหิงหัวเราะหยันอยู่ครู่หนึ่ง ในเสียงหัวเราะเจือแววเหยียดหยามไว้
คนตกมาอยู่ในมือของทางนี้แล้ว ถูกตัดสินแล้วว่าต้องจัดการให้ได้ ต่อให้ไม่มีเรื่องใดก็ต้องทำให้เป็นเรื่องขึ้นมา จะปล่อยให้ปฏิเสธตามใจได้หรือ?
เขาคร้านจะพูดมากอีก บังคับม้าวกกลับด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง
….
ณ จวนผู้ว่าการมณฑลหนานโจว หลานรั่วถิงถือจดหมายลับเดินเข้าสู่เรือนของเหมิงซานหมิง
ภายในเรือน หลัวต้าอันกำลังเปลือยท่อนบนฝึกทวนอยู่ใต้แสงตะวัน เหมิงซานหมิงและซางเฉาจงหนึ่งนั่งหนึ่งยืน กำลังเฝ้ามอง
หลานรั่วถิงเดินเข้าไปหยุดเบื้องหน้าทั้งสองแล้วคารวะ จากนั้นยื่นจดหมายส่งให้ซางเฉาจง
หลังอ่านจบ ซางเฉาจงก็เงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ “เต้าเหยี่ยจะย้ายมาปักหลักที่มหานครหรือ?”
หลานรั่วถิงพยักหน้ารับ “เป็นจดหมายที่ทางเต้าเหยี่ยส่งมาด้วยตัวเอง น่าจะไม่ผิดพลาดแน่พ่ะย่ะค่ะ”
เหมิงซานหมิงรับไปอ่านบ้าง หลังอ่านจบก็แปลกใจเช่นกัน “ต้องการมาพำนักที่จวนผู้ว่าการมณฑลในระยะยาวหรือ? เขาไม่ยินดีจะย้ายมายังมหานครมิใช่หรือ? เหตุใดจู่ๆ ถึงเปลี่ยนใจเสียเล่า”
ซางเฉาจงใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง “ในเมื่อเต้าเหยี่ยกล่าวมาเช่นนี้ เช่นนั้นก็ให้คนไปเก็บกวาดเรือนสักหลังให้เต้าเหยี่ยนย้ายเข้าพักได้เลย”
เหมิงซานหมิงสังเกตเห็นว่าหลานรั่วถิงขมวดคิ้วอยู่ ท่าทางดูค่อนข้างผิดปกติ จึงเอ่ยถาม “เสี่ยวหลานมีความคิดเห็นอันใดหรือ?”
ซางเฉาจงได้ยินก็มองไปที่เขา
หลานรั่วถิงโบกมือ “ข้าไม่มีความคิดเห็นอันใด เพียงแต่รู้สึกว่าค่อนข้างประหลาด ทางเราเพิ่งจะได้รับจดหมาย แต่ในเมืองกลับมีข่าวแพร่กระจายไปก่อนแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าเป็นเพียงข่าวโคมลอยจึงไม่สนใจ ตอนนี้กลับมีเรื่องเช่นนี้อยู่จริง ชวนให้คนรู้สึกแปลกใจโดยแท้”
มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ? ซางเฉาจงกับเหมิงซานหมิงมองหน้ากัน…
….
ณ จังหวัดชิงซาน
หวงเลี่ยที่อยู่เรือนพักรับรองแขกมายังคฤหาสน์กระท่อมฟางอีกครั้ง นี่คือครั้งที่สามหลังจากที่เขามาถึงจังหวัดชิงซาน ในระหว่างนั้นก็ได้ส่งศิษย์ในสำนักมาหลายครั้งแล้ว
ภายในศาลาริมน้ำ หยวนกังปรากฏตัวออกมารับรองอีกครั้ง
ยังไม่ทันยกน้ำชาอันใดมาให้ หวงเลี่ยพลันสะบัดแขนเสื้อสื่อว่าไม่จำเป็น เขาหมดความอดทนแล้ว “สรุปแล้วหนิวโหย่วเต้าคิดอะไรอยู่ ข้ามารออยู่ที่นี่นานหลายวันแล้ว คิดว่าข้าว่างมากนักหรือ? เขาจะกลับมาตอนไหน วันนี้ต้องมอบคำอธิบายที่ชัดเจนแก่ข้า!”
หยวนกังตอบว่า “ใกล้แล้ว”
หวงเลี่ยตอบว่า “ใกล้แล้วอย่างนั้นหรือ? เจ้าพูดคำนี้กับข้ามากี่ครั้งแล้ว? จากจินโจวมาที่นี่ต้องเดินทางนานเพียงใดกัน? เขามีวิหคพาหนะมิใช่หรือ จำเป็นต้องใช้เวลาเดินทางนานขนาดนี้หรือ?”
หยวนกังตอบว่า “เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น เต้าเหยี่ยเผชิญกับมือสังหารจำนวนมากระหว่างเดินทาง เนื่องด้วยเหตุนี้จึงล้าช้าไปหลายวัน” หากไม่ถึงจุดที่อีกฝ่ายรอไม่ไหวแล้ว เขาก็ไม่มีทางบอกเรื่องนี้
“มือสังหารหรือ?” หวงเลี่ยผงะไป แววตาวูบไหวเล็กน้อย ทั้งแปลกใจ แล้วก็คล้ายจะไม่แปลกใจเช่นกัน ลองเอ่ยถามไปว่า “หนิวโหย่วเต้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ผู้อาวุโสหลายคนที่ติดตามมาก็มองหน้ากัน ในแววตาต่างแฝงความหมายที่รู้กันเป็นอย่างดี
หยวนกังตอบว่า “ไม่เป็นไรแล้ว”
“โอ้! เช่นนั้นก็ดีแล้ว” หวงเลี่ยพยักหน้า ในน้ำเสียงไม่อาจบอกได้ว่าเสียดายหรือว่ารู้สึกโชคดีแทนหนิวโหย่วเต้า
เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น เขาย่อมไม่สะดวกจะถามมากอีก ได้แต่อดทนรอคอยต่อไป
แต่ในยามที่เขาเพิ่งจะพ้นจากประตูใหญ่ของคฤหาสน์กระท่อมฟาง ก็มีคนกลุ่มหนึ่งขึ้นมาจากตีนเขา ทางนี้เพ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง มิใช่หนิวโหย่วเต้าแล้วจะเป็นผู้ใดไปได้ พวกหนิวโหย่วเต้ากลับมาแล้ว
เมื่อทั้งสองพบหน้ากัน หวงเลี่ยเพ่งพินิจตั้งแต่หัวจรดเท้าในทันที สังเกตสีหน้าของหนิวโหย่วเต้าอยู่ครู่หนึ่ง “ได้ยินว่าน้องหนิวเผชิญการลอบสังหารระหว่างทาง ปลอดภัยดีกระมัง?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “เผชิญปัญหาเล็กน้อย ไม่สะดวกจะใช้วิหคพาหนะเดินทาง ทำให้เจ้าสำนักหวงต้องคอยเสียนาน รู้สึกละอายใจจริงๆ”
“ปลอดภัยก็ดีแล้ว ปลอดภัยก็ดีแล้ว” หวงเลี่ยหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังราวกับโล่งใจอย่างยิ่ง
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เดิมทีคิดจะติดต่อมาหาเจ้าสำนักหวงเพื่อขอความช่วยเหลือจากทางสำนักเขามหายาน จนปัญญาที่ตอนนี้สถานการณ์เร่งด่วน เกิดปัญหาเล็กน้อยในการติดต่อ”
ก่วนฟางอี๋ที่อยู่ด้านข้างยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เหลวไหลทั้งเพ การเดินทางนี้มากันอย่างสบายๆ ไม่เร่งร้อนเลย
ส่งคนไปสนับสนุนที่มณฑลจินโจวอย่างเร่งด่วนอย่างนั้นหรือ? หวงเลี่ยพึมพำอยู่ในใจ มีเพียงตัวเขาที่รู้แจ้งแก่ใจดี เพียงแต่ปากยังคงเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “สำนักเขามหายานไม่ทราบเรื่องเลย หากทราบเรื่องย่อมไม่บ่ายเบี่ยงแน่!”
เพิ่งจะกลับมาถึง อีกทั้งหน้าประตูก็มิใช่สถานที่ที่สมควรรั้งอยู่นาน หนิวโหย่วเต้าจึงโบกมือเชื้อเชิญเข้าสู่ด้านใน
ในระหว่างที่ทั้งกลุ่มหันหลังกลับ หวงเลี่ยจ้องมองชายในชุดลายดอกที่ติดตามอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า ชายชาตรีคนหนึ่งกลับมาสวมชุดเช่นนี้
ชุดดอกลายพร้อยชวนให้รู้สึกแปลกประหลาดจริงๆ มาถึงที่นี่แล้วก็ยังจะสวมหน้ากากอยู่อีก เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเล็กน้อย “สหายท่านนี้คือ?”
ชายในชุดลายดอกเพียงเหลือบมองเขาอย่างเฉยเมยคราหนึ่ง ไม่สนใจเขา เดินผ่านเข้าประตูใหญ่ไปเพียงลำพัง เหลียวซ้ายแลขวามองสำรวจคฤหาสน์กระท่อมฟางแห่งนี้ไปตลอดทาง
“คนเขาต้องการความเป็นส่วนตัว ข้าเองก็ไม่สะดวกจะพูดมากเช่นกัน” หนิวโหย่วเต้าโบกมือ ไม่บอกฐานะของอีกฝ่าย หวงเลี่ยจึงได้แต่ปล่อยผ่านเสีย
ก่วนฟางอี๋กลับลอบสังเกตปฏิกิริยาของหยวนกังอย่างเงียบเชียบ มองไม่เห็นความผิดปกติใดๆ จากสีหน้าของหยวนกังเลย พลันกระจ่างอยู่ในใจ คนผู้นี้น่าจะทราบฐานะที่แท้จริงของชายในชุดลายดอกคนนี้เช่นกัน
หลังจากเจ้าบ้านและแขกนั่งลงในศาลาริมน้ำที่สร้างขึ้นเป็นอย่างดี หวงเลี่ยเอ่ยถามเข้าประเด็น “น้องหนิวบอกมีเรื่องจะหารือ ไม่ทราบว่าเป็นธุระใดหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าผายมือเล็กน้อย สื่อว่าให้ดื่มชา ตัวเขาก็ยกน้ำชาขึ้นมาพลางเอ่ยว่า “ก็ไม่ถึงกับเป็นธุระอันใด ระหว่างทางข้าล่าช้าไป เกรงว่าคงลำบากเจ้าสำนักหวงต้องคอยสักหน่อย”
หวงเลี่ยถาม “คอยอันใด?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “มีคนมอบของขวัญพิเศษชิ้นหนึ่งให้ อยากจะเชิญเจ้าสำนักหวงมาร่วมชมด้วยกัน!”
“ของขวัญพิเศษหรือ? ของขวัญพิเศษอันใด?” หวงเลี่ยแปลกใจ ผู้อาวุโสที่ติดตามมาด้วยก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน
หนิวโหย่วเต้าวางถ้วยชาลง “เป็นของขวัญพิเศษที่ไม่อาจพลาดไปได้ เมื่อถึงเวลาเจ้าสำนักหวงจะทราบเอง”
เมื่อถามไม่ได้คำตอบ หวงเลี่ยจึงได้แต่ระงับความสงสัยเอาไว้ในใจชั่วคราว ถามต่อว่า “น้องหนิว ข้าได้ข่าวว่าอีกไม่กี่วันนี้เจ้าเตรียมจะย้ายไปพำนักอยู่ที่จวนผู้ว่าการมณฑล ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่”
นี่คือปัญหาที่เขากังวลใจอยู่ ตอนนี้ซางเฉาจงอยู่ในการควบคุมของเขา เขากังวลว่าหนิวโหย่วเต้าจะเข้ามาแทรกแซงแย่งอำนาจการควบคุมไปจากเขา
สำนักเขามหายานไม่อาจครอบครองมณฑลหนานโจวไว้แต่เพียงผู้เดียวได้ การควบคุมชีวิตซางเฉาจงไว้ในกำมือก็คือหลักประกัน หากว่าสูญเสียอำนาจในการควบคุมชีวิตซางเฉาจงไป เช่นนั้นสถานการณ์จะอิหลักอิเหลื่อเกินไป
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เรื่องเป็นเช่นนี้จริงๆ แต่ก็หาใช่ความประสงค์ของข้าไม่ ความคิดนี้ผุดขึ้นมากะทันหันหลังจากเผชิญการลอบสังหารเข้า พอเผชิญอันตรายระหว่างทาง ข้าก็สงสัยว่าเป็นราชสำนักที่ลงมือกับข้า ตอนนี้สถานการณ์ของข้าค่อนข้างอันตราย ทำได้เพียงย้ายไปหลบภัยที่จวนผู้ว่าการมณฑลชั่วคราว แต่เจ้าสำนักหวงโปรดวางใจได้ ข้าจะไปพำนักชั่วคราว หลังจากข้าหาข้อตกลงกับทางราชสำนักได้แล้วจะย้ายออกทันที ไม่รั้งอยู่ในจวนผู้ว่าการนานเกินไปแน่นอน”