ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 590 ระดมยอดฝีมือ
ตอนที่ 590 ระดมยอดฝีมือ
หนิวโหย่วเต้าร้องโอ้ เอ่ยอย่างค่อนข้างแปลกใจว่า “ขอร้องข้าหรือ? ประมุขหอบุปผาล่องผู้สูงส่ง ข้าจะให้สิ่งใดแก่ท่านได้?”
เฉาอวี้เอ๋อร์ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ไยเต้าเหยี่ยต้องแสร้งถามทั้งที่ทราบดี นับตั้งแต่ที่โจวโส่วเสียนพ่ายแพ้ หอบุปผาล่องของข้าและสำนักจิตกระจ่างถูกขับไล่ออกจากหนานโจวไป เร่ร่อนดั่งสุนัขจรจัดไร้ที่ไป หวาดหวั่นกันอยู่ตลอด ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ ทั้งสองสำนักมีศิษย์มากมายปานนี้ ทรัพยากรบำเพ็ญขั้นพื้นฐานและค่าใช้จ่ายในแต่ละวันก็มิใช่จำนวนน้อยๆ เลย ไม่มีรายรับ มีแต่รายจ่าย พวกเราแบกรับไม่ไหวแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จิตใจของคนในหอบุปผาล่องและสำนักจิตกระจ่างจะต้องแตกแยก เกรงว่าคงจะล่มสลายในยุคของพวกเราเสียแล้ว รู้สึกละอายใจต่อบรรพจารย์รุ่นก่อนๆ!”
หนิวโหย่วเค้าพยักหน้ารับนิดๆ “ทำให้พวกท่านต้องลำบากเสียแล้ว พอจะเข้าใจได้ แต่ท่านก็ต้องเข้าใจเช่นกันว่าเวลานั้นพวกเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าโจมตีหนานโจว”
เฉาอวี้เอ๋อร์พยักหน้ารับ “เข้าใจ ล้วนมีความลำบากใจกันทั้งสิ้น อีกทั้งพวกเราจะไม่ทราบถึงความคิดที่ฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนมีแต่ยงผิงจวิ้นอ๋องได้อย่างไรเล่า ในการต่อสู้ย่อมมีแพ้ชนะ พวกเราสู้ไม่ได้ แพ้แล้วก็คือแพ้ ไม่มีอะไรต้องเก็บมาขุ่นข้องหมองใจ เรื่องเดียวที่สามารถทำได้คือล้มแล้วก็ต้องลุกขึ้นมาให้ได้ หวังว่าเต้าเหยี่ยจะยอมให้โอกาสหอบุปผาล่องของเราและสำนักจิตกระจ่างสักครั้ง”
หนิวโหย่วเต้าถาม “โอกาสอะไร? คงมิใช่ว่าจะให้พวกเราส่งมอบหนานโจวให้กระมัง?”
เฉาอวี้เอ๋อร์เอ่ยว่า “เต้าเหยี่ยเอ่ยเกินไปแล้ว ด้วยสถานะของเต้าเหยี่ยในหนานโจวพวกเราไม่กล้ายั่วยุ แต่สำนักเขามหายานได้เป็นใหญ่ในหนานโจวเพียงหนึ่งเดียว ยังไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีสำหรับเต้าเหยี่ย สำนักเขามหายานก็ต้องรออยู่แน่ รอไปถึงสิบปี รอจนอำนาจของทั้งสำนักเขามหายานยกระดับไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว หลังจากมีอำนาจควบคุมหนานโจวอย่างสมบูรณ์แล้ว พวกเขายังจะยอมให้เต้าเหยี่ยมีอิทธิพลในหนานโจวได้อีกหรือ บางทีพวกเขาอาจจะไม่ทนรอถึงอีกสิบปีให้หลัง อาจจะก่อเรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อเต้าเหยี่ยได้ทุกเมื่อ เต้าเหยี่ยไม่กังวลบ้างหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าวางมือลงบนถ้วยชา “ความหมายของท่านคือจะให้ข้าเขี่ยสำนักเขามหายานออกไปจากหนานโจวอย่างนั้นหรือ?”
เฉาอวี้เอ๋อร์เอ่ยว่า “เต้าเหยี่ยลองคิดดูเถิด เป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียวมิใช่เรื่องดีเลยจริงๆ หากว่าหอบุปผาล่องของเราและสำนักจิตกระจ่างเข้ามาแทนที่ก็จะต่างกันออกไป หอบุปผาล่องและสำนักจิตกระจ่าง แล้วก็ยังมีสามสำนักในสังกัดของเต้าเหยี่ยอีก รูปการณ์จะกลายเป็นการคานอำนาจกันสามฝ่าย ต่างคอยควบคุมกันและกันเอาไว้ รูปการณ์เช่นนี้จะไม่ดีต่อเต้าเหยี่ยที่สุดหรอกหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าใคร่ครวญตาม เขาเงียบไปสักพักหนึ่งถึงจะเอ่ยเนิบๆ ว่า “เหตุใดข้าจะไม่ทราบว่าการปล่อยให้สำนักเดียวเรืองอำนาจมิใช่เรื่องดี แต่เมื่อชักชวนมาแล้วจะส่งกลับไปก็คงยาก คิดจะเขี่ยสำนักเขามหายานออกไปเกรงว่าคงไม่ง่ายขนาดนั้น พวกท่านมีวิธีจัดการดีๆ หรือไม่เล่า?” ดูเหมือนเขาจะหวั่นไหวแล้ว
เฉาอวี้เอ๋อร์โน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยพลางเอ่ยไปว่า “ขอเพียงเต้าเหยี่ยต้องการ พวกเราย่อมช่วยกันคิดหาวิธีดีๆ ได้ ขอเพียงพวกเราประสานงานกันทั้งนอกใน ไม่จำเป็นต้องกังวลเลยว่าจะไม่มีวิธีดีๆ”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างลังเล “ให้ข้าคิดเรื่องนี้ดูอีกหน่อยแล้วกัน”
“ตกลง! เชิญเต้าเหยี่ยพิจารณาดูอีกที อีกสามวันให้หลังข้าค่อยมาพบอีกครั้งเป็นอย่างไร?” เฉาอวี้เอ๋อร์ลุกขึ้นยืนพลางกล่าวอำลา ความหมายคืออีกสามวันให้หลังจะมาเอาคำตอบ
หนิวโหย่วเต้าก็ลุกขึ้นเช่นกัน เอ่ยอย่างสุภาพว่า “ไยต้องเทียวไปเทียวมาให้วุ่นวายขนาดนั้นด้วย มิสู้พักที่เรือนรับรองเสีย”
เฉาอวี้เอ๋อร์โบกมือเอ่ยไปว่า “มีหูตามากมาย หากข้าพักที่นี่นานไป เกิดสำนักเขามหายานรู้เข้าคงจะไม่ดี”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่รั้งแล้ว อีกสามวันพบกันใหม่!”
“ไม่ต้องส่ง!” เฉาอวี้เอ๋อร์โบกมือ สื่อว่าหนิวโหย่วเต้าไม่จำเป็นต้องไปส่ง เสี่ยงไม่ให้สะดุดตาเกินไป
หนิวโหย่วเต้าก็ไม่เกรงใจเช่นกัน โบกมือส่งสัญญาณให้ต้วนหู่ออกไปส่ง
หลังจากเฝ้ามองแขกจากไปแล้ว ชายในชุดลายดอกเอ่ยขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้เขี่ยสำนักหยกสวรรค์ออกไป มาตอนนี้เจ้าก็เตรียมจะเขี่ยสำนักเขามหายานออกไปอีกอย่างนั้นหรือ?”
หนิวโหย่วเต้ายันกระบี่ด้วยสองมือ “ข้าเพิ่งกลับมาถึงเมื่อวาน วันนี้นางก็วิ่งมาหาแล้ว ไม่มาหาข้าเร็วกว่านี้ แล้วก็ไม่มาหาข้าหลังจากนี้ แต่มาตอนนี้ท่านคิดว่าบังเอิญหรือ?”
ชายในชุดลายดอกเอ่ยว่า “ความหมายของเจ้าคือ นางมีแผนการอื่นหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ “เดิมทีข้าคิดว่าคงต้องรออีกสักพัก แต่เวลานี้กลับได้พบประมุขเฉาคนนี้เสียแล้ว หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ ช่วงก่อนหน้านี้ตอนที่ราชสำนักเตรียมจะโจมตีหนานโจว หอบุปผาล่องก็คงจะเป็นหนึ่งในนั้น”
ชายในชุดลายดอกถาม “ครั้งนี้ราชสำนักอดใจรอไม่ไหว อยากรีบลงมือจัดการเจ้าอีกแล้วหรือ?”
“เกรงว่าคงจะเป็นอย่างที่เห็น” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเนิบๆ แววตาลุ่มลึก ค่อยๆ หันกลับไปมองหยวนกังพลางเอ่ยว่า “น่าจะมาสำรวจลาดเลา”
หยวนกังเอ่ยว่า “เตรียมการพร้อมหมดแล้ว คนที่มีสวนเกี่ยวข้องไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร ไม่มีทางที่ใครจะปล่อยข่าวรั่วไหลออกไปได้” ก่อนหน้านี้ที่หนิวโหย่วเต้าโอ้เอ้ระหว่างทาง ก็เพื่อดึงดูดความสนใจของคนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เขามีเวลาเพียงพอสำหรับเตรียมการ
เรื่องที่มอบหมายให้หยวนกังดูแล หนิวโหย่วเต้าย่อมวางใจ ในเมื่อหยวนกังเตรียมพร้อมแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็ไม่พูดมากอีก เอียงคอส่งสัญญาณเล็กน้อย “ไปเถอะ ไปแจ้งให้ทางหวงเลี่ยรู้เสียหน่อย ของขวัญชิ้นใหญ่มาแล้ว!”
หยวนกังพยักหน้ารับ หันหลังเดินอาดๆ ออกไป
ชายในชุดลายดอกฟังแล้วเหมือนจะเข้าใจแล้วก็ไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก ครั้งนี้คือครั้งแรกที่เขาจะได้ประจักษ์ในกลยุทธ์ของคนผู้นี้ด้วยตาตนเองแล้ว เขาก็จะเห็นเหมือนกันว่าสรุปแล้วคนผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่!
เมื่อออกจากพื้นที่คุ้มกันอย่างหนาแน่นในแถบคฤหาสน์กกระท่อมฟางแล้ว เฉาอวี้เอ๋อร์ที่อยู่บนถนนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เหลียวมองเขาเขียวชอุ่มคราหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยถามศิษย์ “เห็นชัดเจนหรือไม่ แน่ใจหรือเปล่า?”
ศิษย์ของนางตอบว่า “อาจารย์โปรดวางใจ ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน ศิษย์มองเห็นอย่างชัดเจน เป็นหนิวโหย่วเต้าตัวจริงแน่นอนเจ้าค่ะ หากเกิดความผิดพลาดขึ้นแม้แต่น้อย ศิษย์ยินดีเอาชีวิตเป็นประกัน!”
“ไป!” เฉาอวี้เอ๋อร์เอ่ยสั่งทันที พาศิษย์ทะยานจากไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าเข้าสู่ป่าเขาที่อยู่เบื้องหน้า
สองศิษย์อาจารย์เหินทะยานไปตลอดทางจนเข้าสู่ส่วนลึกของป่า ระหว่างทางมีศิษย์ของหอบุปผาล่องปรากฏให้เห็นประปราย คอยสังเกตการณ์ว่ามีคนสะกดรอยตามหลังมาหรือไม่
เมื่อมาถึงกลางหุบเขาลึกแห่งหนึ่งในส่วนลึกของภูเขา ก่าเหมี่ยวสุ่ยในชุดลำลองยืนยกมือไพล่หลังอยู่ริมลำธารสายหนึ่ง สีหน้าเย็นชา
ด้านหลังยังมีผู้ติดตามอีกหลายคน จินอู๋กวงเจ้าสำนักจิตกระจ่างก็อยู่ด้วย เกาเซ่าหมิงในชุดลำลองก็อยู่เช่นกัน
“กลับมากันแล้ว” จินอู๋กวงเอ่ยแจ้งทันที
ทุกคนรวมถึงก่าเหมี่ยวสุ่ยที่อยู่กลางวงหันไปมองพร้อมกัน พวกเฉาอวี้เอ๋อร์ศิษย์อาจารย์พลันเคลื่อนกายมาปรากฏต่อหน้าทุกคน
“ก่ากงกง” เฉาอวี้เอ๋อร์ประสานมือคำนับ “โชคดีที่บรรลุตามคำสั่ง!”
ก่าเหมี่ยวสุ่ยเอ่ยถาม “ยืนยันได้แล้วหรือว่าหนิวโหย่วเต้าอยู่ในคฤหาสน์”
เฉาอวี้เอ๋อร์ตอบว่า “ตอนนี้อยู่ในคฤหาสน์บนเขาจริงๆ ข้าเข้าไปเจรจรากับเขาตามแผนที่วางไว้แล้ว ไม่มีทางผิดพลาด”
“ดี! มีข่าวว่าเขาจะไปพำนักที่จวนผู้ว่าการมณฑลหนานโจว หากปล่อยให้เขาไปยังจวนผู้ว่าการมณฑลหนานโจวได้ คิดจะลงมือก็คงลำบากแล้ว ครั้งนี้หากลงมือ ก็ห้ามปล่อยให้เขาหนีไปได้เด็ดขาด ต้องสังหารไอ้เดรัจฉานร้ายตัวนี้ให้ได้!” ก่าเหมี่ยวสุ่ยเอ่ยเอ่ยกำชับทุกคน โดยเฉพาะเฉาอวี้เอ๋อร์และจินอู๋กวง “คนของสำนักจิตกระจ่างและหอบุปผาล่องล้วนเข้าประจำตำแหน่งแล้วกระมัง?”
“เข้าประจำตำแหน่งแล้ว”
“ซ่อนตัวซุ่มโจมตี เตรียมพร้อมเข้าปิดล้อมโจมตีทุกเมื่อ!”
สองเจ้าสำนักพยักหน้ายืนยัน แต่ในใจกลับเศร้าหมองอยู่หลายส่วน
ครั้งนี้เพื่อจะกำจัดหนิวโหย่วเต้าเพียงคนเดียว ศิษย์ทั้งหมดในสำนักนอกจากศิษย์ที่อยู่ในระดับหลอมปราณแล้วศิษย์ที่เหลือแทบจะต้องออกโรงกันทั้งหมด รวบรวมผู้บำเพ็ญเพียรนับหมื่น เรียกได้ว่าจัดขบวนใหญ่โต ทั้งสองล้วนทราบดีว่าหน้าที่ของพวกเขาไม่มีอะไรมากไปกว่าเข้าต่อกรกับศิษย์จำนวนมหาศาลจากสามสำนักอย่างสำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาศ
ถึงแม้กำลังของสามสำนักจะเทียบพวกเขาสองสำนักไม่ได้ แต่หากปะทะกันขึ้นมา อีกฝ่ายจะต้องตอบโต้กลับมาแน่นอน หากอีกฝ่ายสู้ตายจะต้องทำให้พวกเขาเสียหายอย่างหนักแน่นอน!
แต่ก็ช่วยไม่ได้ อย่างที่เฉาอวี้เอ๋อร์บอกกับหนิวโหย่วเต้าไป สำนักจิตกระจ่างและหอบุปผาล่องกลายเป็นสุนัขจรจัดในแคว้นเยี่ยนไปแล้ว เพียงไม่แต่จะไม่มีรายได้ ซ้ำยังต้องเลี้ยงดูคนมากมายปานนี้ แต่กลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากขนาดนี้ จะมีกลุ่มอิทธิพลในอาณาเขตใดยอมปล่อยให้พวกเขาตั้งรกรากได้โดยไม่กังวลเล่า?
กลุ่มอำนาจในเขตพื้นที่ต่างๆ ของแคว้นเยี่ยนไม่มีทางยอมรับพวกเขา กลุ่มอิทธิพลในเขตพื้นที่แคว้นอื่นๆ ก็ยิ่งไม่มีทางยอมรับพวกเขา
หากมิใช่เพราะราชสำนักใจกว้าง ผู้บำเพ็ญเพียรมากมายขนาดนี้เกรงว่าแม้แต่พื้นที่จะพักอาศัยก็คงหาได้ยาก หากแตกคอกับราชสำนักเข้าจริงๆ กลุ่มอิทธิพลในเขตต่างๆ ก็จะยิ่งไม่มีความเกรงใจต่อพวกเขา เกรงว่าคงถูกผลักไสระหกระเหินไปทั่ว หากเป็นเช่นนี้นานเข้า ผลลัพธ์ที่จะตามมาย่อมเลวร้ายจนยากที่จะจินตนาการได้
แต่ปัญหาคือ ต้องใช้กำลังคนมากมายขนาดนี้ จะต้องจ่ายค่าตอบแทนมากมายขนาดนั้นเพียงเพื่อกำจัดหนิวโหย่วเต้าเพียงคนเดียว พวกเขาก็ไม่ได้รับประโยชน์อันใดเช่นกัน มีเพียงเงินอุดหนุนน้อยนิดจากราชสำนัก นอกเหนือไปจากนั้นก็คือคำสัญญาปากเปล่าเลื่อนลอย ใครจะไปรู้ว่าจะมอบมณฑลหนานโจวให้ตามที่รับปากไว้ตอนไหน?
แต่ไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ ด้อยอำนาจไม่อาจขัดขืนได้ หากกล้าขัดขืน อาจจะไม่มีผลประโยชน์มากมายอันใดให้เจ้า แต่สามารถบีบคั้นเจ้าไปสู่ทางตันได้
ช่างบังเอิญนัก ในช่วงที่เตรียมจะเข้าโจมตีมณฑลหนานโจวก่อนหน้านี้ เจ้ากรมโยธาถงโม่เคยมาหาพวกเขา คนของสองสำนักเพิ่งจะเข้าประจำในละแวกหนานโจวพอดี คราวนี้จึงเรียกใช้งานทั้งสองสำนักได้สะดวก สองสำนักจึงไม่สะดวกจะใช้ข้ออ้างบ่ายเบี่ยงว่าอยู่ห่างไกล ไม่อาจเรียกระดมกำลังคนจำนวนมากได้อีก
นับตั้งแต่สูญเสียอาณาเขตมณฑลหนานโจวไป สำนักจิตกระจ่างและหอบุปผาล่องก็หมดสิทธิ์หมดเสียงในแคว้นเยี่ยนไปแล้ว!
“ดี!” ก่าเหมี่ยวสุ่ยพยักหน้า หันหลังไปเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรอีกกลุ่มหนึ่ง ประสานมือเอ่ยไปว่า “ครั้งนี้ที่รวบรวมยอดมีมือสามร้อยท่านมาก็เพื่อโจมตีสังหารเจ้าของคฤหาสน์กระท่อมฟาง โดยจะให้ทุกท่านเป็นแกนนำ ส่วนสำนักจิตกระจ่างและหอบุปผาล่องที่อยู่ด้านนอกจะล่อลูกน้องส่วนใหญ่ของอีกฝ่ายไว้ ด้านในคงต้องฝากไว้กับพวกท่านแล้ว หวังว่าทุกท่านจะให้ความร่วมมือลงแรงเต็มที่!”
ทุกคนต่างประสานมือคำนับกลับ มีบางคนเอ่ยขึ้นว่า “ก่ากงกง ข้ายอมรับว่าหนิวโหย่วเต้าค่อนข้างมีชื่อเสียงเลื่องลืออยู่ แต่ระดมยอดฝีมือมากมายปานนี้เพื่อจัดการหนิวโหย่วเต้าคนเดียว มันจะไม่เกินไปหน่อยหรือ? ต่อให้เด็ดหัวเขามาได้ก็คงถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเอา!”
“ไอสารเลวผู้นี้ไม่ธรรมดา มีลูกเล่นมิใช่น้อย ไม่อาจเทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาได้ ทำได้เพียงใช้จำนวนมากเข้าข่ม อย่าได้ดูแคลนไป กันไว้ดีกว่าแก้ ยังไงก็ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน!” ก่าเหมี่ยวสุ่ยโบกมือเล็กน้อย ไม่พูดมากอีก จากนั้นทะยานกายร่อนลงไปยังฝั่งตรงข้ามของลำธาร
ชายชราในชุดสีเหลืองคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิบนโขดหินที่อยู่ใต้เชิงผาฝั่งตรงข้าม ดูไม่ค่อยเข้าพวก
คนผู้นี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นยอดฝีมือลำดับที่เจ็ดบนทำเนียบโอสถทอง นับว่าเป็นหนึ่งในผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักที่อยู่ในชั้นแนวหน้า มีนามว่าจงหยวน!
สายตาของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรฝั่งตรงข้ามที่มองมายังคนผู้นี้ต่างฉายแววเคารพยำเกรง ไม่คิดเลยว่าเพื่อกำจัดหนิวโหย่วเต้าแค่คนเดียว ราชสำนักจะถึงขั้นเชิญคนผู้นี้ให้ออกโรง!
ก่าเหมี่ยวสุ่ยประสานมือกล่าวว่า “อาจารย์จง จำคนในภาพวาดได้หรือยัง?”
จงหยวนค่อยๆ ลืมตา “ข้ามิใช่เด็กสามขวบ ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาย้ำบ่อยๆ เจ้าเพียงต้องย้ำเตือนให้ซางเจี้ยนสยงทำตามสัญญาหลังจากจบเรื่องแล้ว มิเช่นนั้นข้าก็อยากจะเห็นนักว่ายอดฝีมือของสามสำนักใหญ่จะสามารถตามติดเขาทุกฝีก้าวไปชั่วชีวิตได้หรือไม่!”
สีหน้าก่าเหมี่ยวสุ่ยราบเรียบ คำขู่ขวัญเช่นนี้ไม่มีความหมายใดๆ ต่อเขาเลย ไม่ดูเสียบ้างเล่าว่าผู้ใดควบคุมกฎเกณฑ์ในใต้หล้านี้ ถูกคนทางฝั่งนี้กุมจุดอ่อนเอาไว้แล้ว เรื่องราวจะว่าเล็กก็เล็ก จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ หากไม่รุนแรงมากนักพวกเขาก็สามารถเจรจากันได้ แต่ถ้าหากเจรจากันไม่ได้ก็คงต้องไปที่หอเลือนสลัว ก่อนจะพูดเรื่องไร้ประโยชน์พวกนี้ก็ควรคิดให้ดีก่อนว่าหากตนหาเรื่องทางนี้แล้วจะสามารถรอดพ้นการตามล่าของหอเลือนสลัวไปได้หรือไม่!