ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 595 ปะทะซึ่งหน้า
ตอนที่ 595 ปะทะซึ่งหน้า
ทำนองเดียวกัน หนิวโหย่วเต้าคิดไม่ถึงว่าราชสำนักจะส่งยอดฝีมือชั้นแนวหน้าอย่างจงหยวนมา หวงเลี่ยย่อมคิดไม่ถึงเช่นกันว่าหนิวโหย่วเต้าจะเชิญยอดฝีมือระดับเดียวกันมาได้
ตอนเผชิญการลอบสังหารระหว่างกลับจากมณฑลจินโจว ชายในชุดลายดอกไม่ได้ลงมืออะไรมากนัก ทันทีที่คนของหอจันทร์กระจ่างมาถึง ชายในชุดลายดอกก็หยุดมือทันที ปล่อยให้คนของหอจันทร์กระจ่างเข้าขัดขวางมือสังหาร ฝ่ายมือสังหารก็ติดกับดักที่หนิวโหย่วเต้าขุดไว้ ถูกหอจันทร์กระจ่างปิดล้อมกวาดล้าง
ในที่เกิดเหตุนอกจากพวกหนิวโหย่วเต้าแล้ว คนที่ได้เห็นฝีมือของชายในชุดลายดอกอย่างแท้จริงก็คือศิษย์ของวังสวรรค์หมื่นวิมาน ภายใต้การปิดล้อมของหอจันทร์กระจ่าง คนของราชสำนักที่อยู่รอบนอกไม่มีทางได้เห็นภาพที่ชายในชุดลายดอกลงมือ
ตอนนั้นหอจันทร์กระจ่างไม่ได้เห็นเหตุการณ์ชัดเจนจึงไม่ทราบเรื่อง แต่วังสวรรค์หมื่นวิมานและหอจันทร์กระจ่างล้วนแต่อยู่ในช่วงเวลาที่ต้องการอยู่อย่างสงบ ตอนนี้ต่างไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำร้ายเขา น่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับให้เขาแน่นอน
ในมุมมองของหนิวโหย่วเต้า ตามหลักแล้วตอนนี้ราชสำนักน่าจะยังไม่รู้ว่าเขามียอดฝีมือชั้นแนวหน้าคอยคุ้มกันอยู่ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าในกองกำลังที่ระดมพลมาจะมีคนระดับจงหยวนออกโรงมาด้วย
แล้วจะให้หวงเลี่ยเชื่อได้อย่างไรล่ะว่าข้างกายหนิวโหย่วเต้าจะมีคนที่สามารถต่อกรกับจงหยวนแฝงตัวอยู่ด้วย
จงหยวนอย่างนั้นหรือ? ก่วนฟางอี๋อกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา สอดมือเข้าไปในแขนสื้อคีบยันต์อาคมเอาไว้ เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินตลอดเวลา
ด้วยยันต์กระบี่สวรรค์ในมือนาง แถมยังมีชายในชุดลายดอกอีกคน นี่คือเหตุผลที่หนิวโหย่วเต้ายังยืนอยู่ตรงนี้อย่างสุขุมได้!
ในขณะเดียวกัน ความสุขุมเยือกเย็นของทางนี้ก็ทำให้แววตาของจงหยวนที่สังเกตการณ์อยู่กลางอากาศวูบไหวขึ้นมา
….
“ถอนกำลัง ถอยกลับมาป้องกัน!”
หยวนกังที่ยืนสังเกตการต่อสู้อยู่บนยอดเขาตะโกนสั่งซูเจี๋ยเหริน ซูเจี๋ยเหรินออกคำสั่งทันที ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
แนวป้องกันด้านล่างโกลาหลขึ้นมา ระยะโจมตีของธนูมีขีดจำกัด ประกอบกับศิษย์ของหอบุปผาล่องก็จับจุดได้แล้ว ตกอยู่ในสถานการณ์จวนตัวจึงยกศพของศิษย์ร่วมสำนักขึ้นกำบังเหนือหัวแล้วพุ่งทะยานมุ่งหน้าต่อไป แม้จำนวนผู้รอดชีวิตที่บุกเข้ามาได้จะมีไม่มาก แต่เป็นศิษย์ระดับหัวกะทิของหอบุปผาล่องทั้งสิ้น ศิษย์ในระดับสร้างฐานส่วนใหญ่ล้มตายด้วยคลื่นธนูและหอกเหล็กหมดแล้ว ศิษย์ที่บุกฝ่าออกมาได้เป็นระดับโอสถทองแทบทั้งสิ้น
เฟ่ยฉางหลิวและเหล่าผู้อาวุโสออกโรงด้วยตัวเองแล้ว ศิษย์สำนักเซียนสถิตทั้งหมดล้วนเข้าปิดล้อมโจมตี แต่หากว่ากันในแง่ของพลังแล้วไม่อาจสู้ผู้รอดชีวิตของหอบุปผาล่องกลุ่มนี้ได้เลย จุดที่ได้เปรียบคือก่อนหน้านี้คลื่นธนูได้ผลาญพลังปราณของอีกฝ่ายไปไม่น้อยแล้ว แต่ก็ยังคงยากจะสกัดต้านเอาไว้ได้
ในอดีตหอบุปผาล่องและสำนักจิตกระจ่างเคยปกครองมณฑลหนานโจว จึงย่อมมิใช่สำนักที่ทางฝั่งสำนักเซียนสถิตจะไปเทียบชั้นได้ การต่อสู้แบบปิดล้อมตะลุมบอนก็ทำให้สำนักเซียนสถิตบาดเจ็บล้มตายไปไม่น้อยเช่นกัน
สำนักเซียนสถิตเองก็กำลังสู้สุดชีวิตเช่นกัน อีกทั้งไม่เหลือทางถอยแล้ว ทันทีที่ถอยก็จะตกอยู่ในหายนะล่มสำนัก ถูกบีบให้มาอยู่ในจุดนี้แล้วหากไม่สู้สุดชีวิตแล้วจะให้รอไปถึงเมื่อไรเล่า?
ก่อนหน้านี้นึกว่าเป็นการฝึกซ้อม ไม่เคยคาดคิดเลยว่าเพียงพริบตาเดียวจะกลายเป็นเรื่องจริงเสียได้ กลายเป็นหายนะที่ทำให้สำนักต้องล่มจมได้
หอบุปผาล่องก็ไม่เหลือทางถอยแล้วเช่นกัน ฐานกำลังของสำนักประสบความสูญเสียร้ายแรง ต่อให้ตีชิงมณฑลหนานโจวมาได้ ศิษย์ส่วนใหญ่ก็ตายไปหมดแล้ว ยากจะควบคุมมณฑลหนานโจวไว้ได้
แม้จะทราบดีว่าเป็นเช่นนี้ แต่ก็ไม่อาจถอยได้แล้ว ทันทีที่ล่าถอยแล้วราชสำนักไม่ปราณีขึ้นมา ศิษย์หอบุปผาล่องก็เท่ากับตายเปล่า หากฐานกำลังของหอบุปผาล่องประสบความเสียหายร้ายแรงแล้วยังไปยั่วโทสะราชสำนักอีก พวกเขาจะยังมีที่ยืนในแคว้นเยี่ยนได้อีกหรือ ทำได้เพียงสู้สุดชีวิตเพื่อคว้าชัยชนะมาให้ได้ ด้วยการทุ่มเทลงทุนของราชสำนัก พวกเขายังพอมีหวังจะได้ผงาดขึ้นมาอีกครั้ง
เฉาอวี้เอ๋อร์มีเลือดเปรอะทั่วร่าง ผมสยายรุ่ยร่าย นางส่งเสียงคำรามดุดันอย่างต่อเนื่องอยู่ท่ามกลางวงล้อมโจมตีของคนกลุ่มหนึ่ง!
ทัพธนูถูกลูกหลงจากการต่อสู้จนเละเทะวุ่นวาย แม้จะเป็นทหารที่ผ่านประสบกรณ์ในสนามรบมาอย่างโชกโชน แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการรุมโจมตีของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรก็ต้านไม่ไหวอยู่ดี
แม้ว่าจะไม่กริ่งเกรงความตาย แต่อีกฝ่ายซัดฝ่ามือใส่ทีเดียว ทางนี้ก็กระเด็นออกไปเป็นวงกว้างแล้ว ตวัดกระบี่ฟันมาทีหนึ่งก็มีเลือดเนื้อปลิวว่อนเป็นกลุ่มๆ เสมือนหมาป่าที่ทะลวงเข้าสู่ฝูงแกะ ฆ่าฟันทหารจำนวนมากล้มตายไปดั่งหั่นผักหั่นปลา
เพียงชั่วพริบตา เกรงว่าจะมีทหารล้มตายไปนับพันแล้ว อีกทั้งการมีทหารเหล่านี้ปะปนอยู่ก็ทำให้ศิษย์สำนักเซียนสถิตต่อสู้ได้ไม่เต็มที่ด้วย แต่ฝ่ายศิษย์หอบุปผาล่องที่โจมตีเข้ามากลับไม่ต้องสนใจคนเหล่านี้เลย ขอเพียงไม่ใช่พวกเดียวกัน พบใครก็สังหารอย่างโหดเหี้ยมทั้งสิ้น
‘โหม่งๆๆ…’
เมื่อเสียงฆ้องแว่วดังขึ้น กองทหารที่หลบหนีกันอย่างอนาถก็ถอยกลับขึ้นเขาไปอย่างรวดเร็วดั่งกระแสน้ำหลาก
ธงคำสั่งบนยอดเขาโบกไปมา กองทหารที่ล่าถอยกลับมารวมตัวตั้งขบวนบนเนินเขาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดถือธนูเฝ้ารออย่างสงบ ปล่อยให้คนของสำนักเซียนสถิตและหอบุปผาล่องต่อสู้ห้ำหั่นกัน ขอเพียงมีคนของหอบุปผาล่องฝ่าขึ้นมาได้ ก็จะถูกห่าศรสะกดเอาไว้ ตั้งแนวป้องกันเฝ้าด้านนี้อย่างหนาแน่น!
หยวนกังที่ขบกรามแน่นจนแก้มตึงเงยหน้าขึ้น มองวิหคยักษ์ที่บรรทุกคนบินผ่านนภาไปอีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองฝั่งคฤหาสน์บนเขา
พวกลุงเฉินต่างหันกลับไปมอง กังวลใจเช่นกัน
….
บนหอสูงด้านในคฤหาสน์ ทุกคนก็สังเกตเห็นวิหคยักษ์ของฝ่ายศัตรูที่บินมุ่งเข้ามาอีกครั้งแล้วเช่นกัน
ชายชุดดำคนหนึ่งผิวปากดังวี้ดขึ้นมา วิหคยักษ์สิบตัวที่หมอบอยู่ในคฤหาสน์กระพือปีกโผบินอีกครั้ง คนชุดดำกลุ่มหนึ่งทะยานตามขึ้นไป พากันกระโดขึ้นสู่หลังวิหคยักษ์สิบตัวนั้น มุ่งหน้าเข้าสกัดวิหคยักษ์ฝ่ายศัตรูที่บินเข้ามาอีกครั้ง
ฝ่ายนี้ไม่มีทางยอมปล่อยให้อีกฝั่งได้บุกเข้าสู่คฤหาสน์กระท่อมฟางง่ายๆ ในคฤหาสน์มีบุคคลที่สมาชิกระดับสูงของหอจันทร์กระจ่างลงคำสั่งไว้ว่าเป็นตายอย่างไรก็ต้องปกป้องไว้ให้ได้!
กลางอากาศมีผู้บำเพ็ญเพียรควบคุมวิหคยักษ์ตัวหนึ่งโฉบวนอยู่เพียงลำพัง เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในชุดขันที เขาหันไปมองจงหยวนเอ่ยถามเสียงเข้ม “อาจารย์จง คนที่ยืนค้ำกระบี่อยู่ในหอสูงผู้นั้นก็คือหนิวโหย่วเต้า ไม่ผิดตัวแน่นอน ท่านสมควรลงมือได้แล้วกระมัง?”
สีหน้าจงหยวนราบเรียบไร้อารมณ์ เขาต้องลงมือแน่อยู่แล้ว แต่ไม่มีทางยอมลงมือง่ายๆ ราชสำนักแตะต้องคนของเขา แล้วเขาจะทำเหมือนไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นได้อย่างไร เขามองเห็นสถานการณ์ด้านล่างแล้ว กองกำลังป้องกันของทางนี้แข็งแกร่งมาก เขาย่อมไม่รังเกียจที่จะเห็นราชสำนักประสบความสูญเสียมากหน่อย
หรือยังจะให้เขาปกปองคนของทางราชสำนักแคว้นเยี่ยนด้วยล่ะ? ต่อให้เขาจะใจกว้างเพียงใดก็ไม่มีทางใจกว้างถึงขนาดนั้น!
แต่แน่นอนว่าไม่อาจกล่าวเช่นนี้ออกไปได้ เขาเอ่ยเนิบๆ ว่า “เจ้าไม่เห็นหรือว่าคนที่อยู่ด้านล่างมีความสุขุมเยือกเย็น? ต้องมีความมั่นใจอันใดอยู่แน่นอน! หากจะลงมือ ข้าก็ต้องมั่นใจว่าทำให้สำเร็จได้ ในคฤหาสน์ยังมีกำลังคนอยู่มากมาย เพื่อที่จะได้ไม่ถูกรบกวนตอนลงมือ เรารอดูต่อไปก่อนจะดีกว่า!”
กลุ่มคนบนหอสูงที่แหงนหน้ามองอยู่ก็แปลกใจมากเช่นกัน โดยเฉพาะตัวหนิวโหย่วเต้า ในเมื่อเป้าหมายคือตัวเขา แล้วเหตุใดจงหยวนคนนั้นถึงชักช้าไม่ลงมือเสียที หรือมาเพื่อชมเรื่องครื้นเครงเท่านั้น?
ทางนี้ไม่ทราบถึงปมบาดหมางระหว่างจงหยวนกับราชสำนัก ต่อให้เป็นหนิวโหย่วเต้าที่มีมันสมองเลิศล้ำก็ไม่เข้าใจเหตุผลเช่นกัน
กลางอากาศปรากฏเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมกับก่อนหน้านี้ กลุ่มผู้บุกรุกที่กระโดดลงมาจากวิหคถูกกลุ่มคนชุดดำโพกหน้าเข้าขัดขวางขณะร่อนลงมาอีกครั้ง
ระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนร่อนลงสู่พื้น ก็เหมือนฝั่งศัตรูจะเหนือกว่าทางนี้ คนชุดดำโพกหน้าสองคนที่อยู่ในคฤหาสน์ยกมือขึ้นมาพร้อมกัน พากำลังคนสองร้อยคนทะยานออกไปช่วยสนับสนุนอีกครั้ง
คนชุดดำโพกหน้าที่ออกไปขวางทั้งรอบแรกและรอบหลังรวมๆ แล้วเกือบสี่ร้อยคน เข้าต่อสู้อย่างดุเดือดกับผู้ที่บุกโจมตีเข้ามาเกือบสามร้อยคน
คนในหุบเขาต่อสู้กันอุตลุด มีเสียงต่อสู้โครมครามแว่วดังไม่ขาดสาย เศษหินเศษดินปลิวว่อน ทำให้คนรู้สึกเหมือนฟ้าดินกำลังจะถล่ม
เมื่อซางซูชิงที่อยู่บนหอสูงหันมาเห็นฉากต่อสู้อันดุเดือดของผู้บำเพ็ญเพียรมากมายขนาดนี้ก็อกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา
หวงเลี่ยเม้มปากแน่น คอยมองหนิวโหย่วเต้าเป็นครั้งคราว ไม่ทราบว่าคนผู้นี้ไปเสาะหายอดฝีมือมากมายขนาดนี้มาจากที่ใด ต่อให้ในหมู่สามสำนักมียอดฝีมือเช่นนี้อยู่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีมากมายขนาดนี้! หากเป็นยอดฝีมือของสามสำนัก ไยต้องโพกหน้าไม่กล้าเผยตัวเล่า?
เบื้องหลังคนผู้นี้ยังมีกองกำลังที่ตนไม่รู้จักคอยให้การสนับสนุนอยู่แน่นอน เขาพบว่าตนประเมินอำนาจในมือของหนิวโหย่วเต้าต่ำไปมากนัก!
ดูเหมือนสถานการณ์การต่อสู้ด้านล่างจะไม่เอื้อประโยชน์ต่อทางฝั่งตนแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรในชุดขันทีบนหลังวิหคที่บินโฉบอยู่ในอากาศเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “อาจารย์จง กำลังคนในคฤหาสน์มีไม่มากแล้ว ท่านสมควรลงมือได้แล้ว หากรั้งรอต่อไปอีก ข้ามีเหตุผลที่จะสงสัยว่าท่านคิดจะทำให้กองกำลังของราชสำนักประสบความเสียหาย!”
ในเขตคฤหาสน์เหลือคนชุดดำโพกหน้าอยู่ไม่มากแล้วจริงๆ แต่ก็ยังเหลืออยู่นับร้อยคน หอจันทร์กระจ่างระดมกำลังยอดฝีมือห้าร้อยคนเข้าคุ้มกันคฤหสน์กระท่อมฟาง หากว่ากันตามตรงก็คือทำเพื่อปกป้องใครบางคนในคฤหาสน์ไว้!
ผัวะ! หยวนจงพลันลงมือในทันใด ซัดฝ่ามือใส่ผู้บำเพ็ญเพียรในชุดขันทีอย่างดุดัน โจมตีจนเขามีโลหิตซึมออกมาจากมุมปาก ลงมือฉับไวจนอีกฝ่ายหลบเลี่ยงไม่ทัน
“จำเป็นต้องให้เจ้ามาจู้จี้บงการข้าหรือ?” จงหยวนเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา
ผู้บำเพ็ญเพียรในชุดขันทีคนนั้นโกรธเกรี้ยว แต่ก็ไม่กล้าแสดงออก ได้แต่เช็ดคราบเลือดตรงมุมปาก
จงหยวนเองก็ไม่ได้นิ่งเฉยอีกต่อไป วินาทีต่อมาเขาทะยานร่างออกไป ตวัดสองแขนร่อนถลาลงสู่เบื้องล่าง ทะยานลงไปยังคฤหาสน์กระท่อมฟางอย่างรวดเร็ว
บนหอสูงพลันเกิดความวุ่นวายขึ้นมา พอเห็นจงหยวนออกโรง พวกหวงเลี่ยต่างพากันชักกระบี่เตรียมพร้อมรับมือศัตรูตัวฉกาจ!
คนชุดดำโพกหน้าที่เฝ้าคุ้มกันอยู่รอบหอสูงพากันเหินทะยานขึ้นป คนหลายสิบคนเหินขึ้นสู่ยอดหลังคา มองคนที่พุ่งตัวลงมาจากกลางอากาศ
หนิวโหย่วเต้าที่สองมือกุมอยู่บนด้ามกระบี่ยังคงสงบเยือกเย็น ถอนสายตากลับมาจากกลางอากาศ หันไปมองก่วนฟางอี๋ทีหนึ่ง จากนั้นก็มองซางซูชิงที่เงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนอยู่
ก่วนฟางอี๋พยักหน้าอย่างรู้ความ กวักมือเรียกเหล่าสือซานเข้ามา สั่งการว่าหากพบว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีให้พาซางซูชิงหลบหนีไปหาพวกหงจวงทันที
เมื่อเห็นเงาร่างของจงหยวนที่ร่อนลงมาจากกลางอากาศเสมือนเซียนที่เหาะเหินลงมาจากนอกโลก คนชุดดำโพกหน้าสิบกว่าคนที่อยู่หอสูงพลันทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกัน ร่วมมือกันตวัดฟันส่งปราณกระบี่ที่สานไขว้กันเสมือนร่างแหออกไป ปกคลุมเข้าใส่จงหยวนที่ทะยานเข้ามา
จงหยวนสะบัดแขนเสื้อ แสงสีเหลืองที่สามารถมองเห็นได้เนตรทิพย์ที่หมุนวนอย่างรวดเร็วโถมเข้าใส่ปราณกระบี่ที่ถักทอกันเป็นร่างแห ปราณกระบี่สิบกว่าสายถูกปั่นหมุนจนกระจัดกระจายออกไป ปราณกระบี่อันเกรี้ยวกราดแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนนุ่มไปทันที ไม่อาจเฉียดเข้าใกล้ร่างของจงหยวนได้เลย
จงหยวนซัดฝ่ามือแหวกอากาศ ปราณกระบี่ถูกผลักให้พุ่งลงสู่ด้านล่าง ย้อนกลับเข้าฟาดฟันใส่กลุ่มคนชุดดำโพกหน้าที่ทะยานขึ้นมาจากด้านล่างเหล่านั้น
ไม่รู้เหมือนกันว่ากระบวนท่านี้เป็นวิชาอะไร แต่ชายในชุดลายดอกที่จ้องมองขึ้นไปในอากาศเอ่ยออกมาว่า “จงหยวนลงมือแล้วจริงๆ ด้วย!”
เกิดเสียงดังตูมตามระเบิดต่อเนื่องกลางอากาศ! ผู้บำเพ็ญเพียรสิบกว่าคนถูกปราณกระบี่ที่ตนฟาดฟันออกไปย้อนกลับมาเล่นงาน ท่ามกลางสายลมที่โหมกระโชกรุนแรง ไร้กำลังจะยืนหยัดต่อไปได้ พากันร่วงหล่นลงมาจากบนท้องฟ้า
สายลมโหมกระหน่ำจากลางอากาศพัดโหมเข้ามา กลุ่มคนบนหอสูงเสมือนถูกพายุโถมโจมตี ซางซูชิงถึงกับซวนเซยืนไม่มั่นคง
อิ๋นเอ๋อร์ที่กอดกล่องอาหารอยู่เงยหน้าขึ้นมา แววตาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
หนิวโหย่วเต้าปรายตามองชายในชุดลายดอกคราหนึ่ง เห็นเพียงว่าอาภรณ์ของเขาไม่ได้ปลิวสะบัดเหมือนคนอื่นๆ อาภรณ์ของคนอื่นๆ ล้วนปลิวสะบัดรุนแรงเสมือนอยู่ท่ามกลางพายุรุนแรง แต่อาภรณ์ของชายในชุดลายดอกกลับพลิ้วไหวเนิบช้า ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังจะล่องลอยจากไป กลิ่นอายประหลาดอย่างหนึ่งกำลังแผ่ซ่านไปทั่วหอสูง
ขณะที่ทุกคนรับรู้ได้แล้วและพากันกวาดตามองไป เบื้องหน้าพลันเกิดเงาวูบไหวเลือนราง
ชายในชุดลายดอกพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าท่ามกลางลมกระโชกที่กดทับลงมา ความเร็วน่าตกตะลึง
ตูม! เสียงกัมปนาทดังสะเทือนขึ้นกลางอากาศ จงหยวนและชายในชุดลายดอกเข้าปะทะกันในพริบตา ทั้งสองซัดฝ่ามือเข้าปะทะกันซึ่งๆ หน้าบนท้องฟ้าเหนือคฤหาสน์กระท่อมฟาง
จงหยวนพลันตกใจ เขาอาศัยแรงปะทะดีดตัวขึ้นสู่อากาศอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ถอยขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อสลายพลัง
พวกหวงเลี่ยกลับตกตะลึงเสียยิ่งกว่า ใครกัน? กล้าปะทะกับจงหยวนตรงๆ เลยหรือ!
ชายในชุดลายดอกที่ร่วงดิ่งลงสู่ด้านล่างดั่งดาวตกพลันตวัดแขนปลดปล่อยโล่พลังปราณทรงร่มที่ดูคล้ายเมฆสีแดงออกมา เงาร่างที่ร่วงดิ่งลงมั่นคงขึ้นรวดเร็ว ตกลงมาอยู่ในความสูงระดับเดียวกับหอสูง
เขาแทบจะอยู่ในระดับสายตาของทุกคน แขนเสื้อสองข้างโบกพลิ้วปานผีเสื้อเริงระบำ สองเท้าดีดทะยานอย่างต่อเนื่อง เสมือนเหาะเหินเดินอากาศได้ ท่วงท่าหยิ่งผยองดุดัน ทะยานขึ้นสู่ท้องนภาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
ภาพนี้เรียกได้ว่าทำให้กลุ่มคนบนหอสูงตกตะลึงจริงๆ ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ทำได้เพียงเหินทะยานร่อนขึ้นร่อนลง หากคิดจะทะยานสูงขึ้นไปอีกก็ต้องอาศัยแรงส่งถึงจะทำได้ แต่คนผู้นี้กลับทะยานขึ้นไปบนอากาศจากความว่างเปล่าได้ นี่มันแทบจะเป็นการเหาะเหินอย่างแท้จริงแล้ว แปลว่าปราณแท้ในร่างของคนผู้นี้บรรลุไปถึงขั้นที่ทำให้มันจับต้องได้แล้ว ยามที่ขับเคลื่อนปราณก็สามารถควบคุมมันได้อย่างอิสระ!