ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 596 แสงยะเยือกหมื่นลี้ หนึ่งกระบี่ล่มนคร!
ตอนที่ 596 แสงยะเยือกหมื่นลี้ หนึ่งกระบี่ล่มนคร!
กลุ่มคนชุดดำโพกหน้าที่เตรียมจะลงมืออีกครั้งต่างตกตะลึงอยู่หลายส่วน มียอดฝีมือระดับนี้ลงมือแล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องเข้าไปอีก เข้าไปก็รนหาที่ตายเปล่าๆ!
พวกเขาต่างหยุดความเคลื่อนไหว ยืนอยู่ในเขตคฤหาสน์แล้วเงยหน้าสังเกตการณ์
ผู้บำเพ็ญเพียรในชุดขันทีที่บังคับวิหคยักษ์บินวนเฝ้ารออยู่บนกลางอากาศ ไกลออกไปก่าเหมี่ยวสุ่ยและเกาเซ่าหมิงขี่วิหคยักษ์อีกตัวมาถึงแล้ว เฝ้ามองสถานการณ์ต่อสู้ทั้งหมดจากมุมสูง
จงหยวนที่ทะยานขึ้นมาอยู่กลางนภาทอดมองลงไปด้านล่าง เห็นชายในชุดลายดอกทะยานขึ้นมาอีกครั้ง แขนทั้งสองข้างสะบัดออกไป เกิดพายุปราณสีเหลืองพวยพุ่งขึ้นมาจากใต้เท้า หนุนให้เขาพุ่งสูงขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
เขาอยากลองหยั่งเชิงดูอีกครั้ง ตอนที่เข้าปะทะกันอย่างซึ่งหน้าเมื่อครู่นี้ทำให้เขาสับสนตกใจมาก ผู้ที่ประมือกับตนไม่ได้เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง เขาอยากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่ หากเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรในใต้หล้าจริงๆ ส่วนใหญ่แล้วพอลงมือเขาน่าจะมองออกทันทีสิว่าเป็นผู้ใด
พอเห็นจงหยวนเร่งความเร็วทะยานขึ้นไป ชายในชุดลายดอกหมุนตัวเป็นวง แขนเสื้อสองข้างสะบัดเป็นเกลียว พุ่งขึ้นสู่ด้านบนดั่งพายุหมุน
พอเห็นว่าจงหยวนไม่จำเป็นต้องหยิบยืมแรงใดๆ ก็สามารถทะยานขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับตนได้ ผู้บำเพ็ญเพียรขันทีที่ควบคุมวิหคยักษ์อยู่รู้สึกตกใจ อุทานในใจว่าสมแล้วที่เป็นยอดฝีมืออันดับเจ็ดบนทำเนียบโอสถ!
เมื่อก่าเหมี่ยวสุ่ยที่บังคับวิหคยักษ์บินมุ่งหน้ามาเห็นภาพนี้ก็ได้แต่ลอบอุทานอยู่ในใจ
คนในชุดลายดอกผู้หนึ่งสะบัดแขนแหวกอากาศจนขึ้นมาถึงด้านบน แขนเสื้อสองข้างโต้ลมลอยล่อง ทำให้ก่าเหมี่ยวสุ่ยตกใจเป็นอย่างมาก ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดกันแน่
พวกหนิวโหย่วเต้าที่อยู่บนหอคอยเงยหน้ามองขึ้นไปบนนภา สิ่งที่มองเห็นเป็นเพียงจุดดำสามสี่จุดเท่านั้น
“ผู้เฒ่าจงหยวน ไยต้องหนีด้วยเล่า?” ชายในชุดลายดอกเอ่ยถาม
จงหยวนโกรธเกรี้ยวขึ้นมาในทันใด ตวัดแขนสองข้างพุ่งเข้ามา ชายในชุดลายดอกก็สะบัดแขนทะยานเข้าไปเช่นกัน
ตูม! ทั้งสองเข้าปะทันในทันใด เกิดเสียงปะทะดังตูมตามขึ้นไม่หยุด
วินาทีที่เข้าปะทะกัน รอบข้างเกิดสายลมโหมกระโชกจากการต่อสู้ของทั้งสอง ก่อกวนให้กระแสอากาศบนอากาศแปรปรวน ทำให้วิหคยักษ์สองตัวที่กางปีกเหินลอยสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกลส่ายโซเซ พยายามจะรักษาความมั่นคงไว้
เงาร่างของทั้งสองฝ่ายพุ่งสวนสลับกันไปมาอยู่กลางอากาศ ดูเหมือนจะเป็นการจับคู่ที่สมน้ำสมเนื้อ ไม่มีผู้ใดเหนือไปกว่าผู้ใดเลย
ทันใดนั้นเอง เสียงดังสนั่นจากการต่อสู้อันดุเดือดพลันเงียบลง แขนขาของทั้งสองเกาะเกี่ยวพันกันอยู่ เจ้าตรึงแขนข้า ข้าพันแขนเจ้า ไม่มีผู้ใดยอมปล่อยมือและไม่มีผู้ใดยอมปล่อยอีกฝ่ายไป สองใบหน้าอยู่ใกล้ชิดจนแทบจะติดกัน สายตาดุดันสองคู่จ้องมองกันอยู่
ทั้งสองหมุนวนอยู่กลางอากาศ ภายใต้กระแสปราณที่คอยหนุน ร่างของทั้งสองค่อยๆ หมุนวนลงมาอย่างเชื่องช้า
“เจ้าเป็นใครกันแน่!” จงหยวนเอ่ยถามเสียงเคร่งเครียด ประมือกันมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังมองความเป็นมาของอีกฝ่ายไม่ออก คนที่แข็งแกร่งระดับนี้ไม่น่าจะเป็นพวกไร้ชื่อเสียงในโลกบำเพ็ญเพียรไปได้
ชายในชุดลายดอกกล่าวว่า “ข้าเป็นใครไม่สำคัญ แต่ท่านน่ะสิ คิดไม่ถึงว่าท่านจะยินยอมทำงานรับใช้ราชสำนักได้ ข้าอยากรู้นักว่าราชสำนักแคว้นเยี่ยนมอบผลประโยชน์ใดให้ท่านกันแน่!”
“เจ้าให้ความช่วยเหลือฝั่งหนานโจว แล้วมันต่างจากข้าตรงไหนเล่า?”
“หากท่านไม่ลงมือ ข้าย่อมไม่มีทางลงมือกับม่านเช่นกัน!”
“คนขี้ขลาดปกปิดตัวตน ในเมื่อรนหาที่ตายเอง เช่นนั้นก็อย่ามาโทษข้าแล้วกัน!” จงหยวนแค่นเสียงเย็นชา สองไหล่พลันกระตุกขึ้นมา กระแสปราณสีเหลืองทะลักออกมาจากร่าง เข้ารัดพันอีกฝ่ายไว้
ชายในชุดลายดอกพลันดันแขนทั้งสองข้างออกไป แต่วินาทีที่ทั้งสองแยกจากกัน เขากลับพบว่าสองมือสองเท้าของตนถูกกระแสปราณสีเหลืองเกี่ยวรัดพัวพัน เขารีบสะบัดแขนขา ระเบิดกระแสปราณที่รัดพันอยู่จนเกิดเสียงดังสนั่น
แขนทั้งสองข้างของจงหยวนหมุนวนจนเกิดเป็นเมฆหมอกสีเหลืองสายหนึ่ง ประหนึ่งมังกรสีเหลืองตัวหนึ่งเหินทะยานออกมา เข้ารัดชายในชุดลายดอกที่เพิ่งหลุดพ้นจากพันธนาการเอาไว้อย่างแน่นหนาในทันที ยิ่งดิ้นรนก็ยิ่งรัดแน่น รัดแน่นจนแขนทั้งสองข้างของชายในชุดลายดอกปรากฏสีแดงก่ำขึ้นมา
กระแสปราณมีความเหนียวแน่น ชายในชุดลายดอกพยายามกระตุ้นพลังทั้งร่างแล้วก็ยังสลัดให้หลุดพ้นไม่ได้
ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ จงหยวนที่คอยควบคุมส่วนหางของมังกรเอาไวตวัดแขนทั้งสองข้า บนร่างของมังกรที่เลื้อยพันอยู่คล้ายจะมีงูตัวเล็กๆ จำนวนมากโผล่ขึ้นมา หมายจะชอนไชเข้าไปในจมูก ปากและดวงตาของชายในชุดลายดอก
ชายในชุดลายดอกโคจรลมปราณคุ้มกายไว้ งูตัวเล็กๆ จำนวนมากพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังยากจะชอนไชเข้าไปได้
จงหยวนที่จับหางของมังกรเอาไว้สะบัดแขนอีกครั้ง ส่วนหัวมังกรที่รัดพันอยู่พลันอ้าปากแยกเขี้ยว พุ่งเข้าฉกส่วนหัวของชายในชุดลายดอกทันที
ชายในชุดลายดอกที่พยายามดิ้นรนอยู่ตัวสะบัดตัวทีหนึ่ง กระแสปราณปะทุออกมา ถึงแม้ศีรษะอันใหญ่โตของมังกรจะอ้าปากขย้ำเข้าใส่ศีรษะเขาแล้ว แต่สุดท้ายเขี้ยวยาวโง้งก็หยุดอยู่ห่างจากเป้าหมายในระยะหนึ่งนิ้ว ไม่อาจฝังเขี้ยวเข้าไปได้
“ดูเหมือนคนของเจ้าจะตกเป็นรองแล้ว!” หวงเลี่ยที่อยู่บนหอสูงเอ่ยเตือนหนิวโหย่วเต้าด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ตอนนี้เขาไม่ต้องการให้ฝ่ายหนิวโหย่วเต้าพ่ายแพ้ เพราะไม่รู้ว่าหลังจากนี้จงหยวนจะยอมละเว้นพวกเขาหรือไม่
หนิวโหย่วเต้าเงยหน้ามองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หากว่าแม้แต่คนผู้นั้นก็ยังต้านอีกฝ่ายไม่ไหว เช่นนั้นตนคงเดือดร้อนหนักแล้วจริงๆ ที่ผ่านมาไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่าราชสำนักจะสามารถเชิญจงหยวนมาจัดการเขาได้
“ยอดเยี่ยม! นับว่าได้เปิดโลกจริงๆ สมกับเป็นยอดฝีมืออันดับเจ็ดบนทำเนียบโอสถ!”
ก่าเหมี่ยวสุ่ยที่อยู่บนหลังวิหคยักษ์เห็นว่าจงหยวนเป็นฝ่ายได้เปรียบก็พยักหน้ากล่าวชมเชย
เกาเซ่าหมิงเองก็ส่ายหน้าด้วยความตกตะลึง
พอเห็นว่าอีกฝ่ายใช้พลังเข้าปะทะกับตนตรงๆ เพียงแต่พลังสภาวะของทั้งสองคล้ายจะพอฟัดพอเหวี่ยงกัน หากยังอยู่ในสภาพนี้ต่อไปย่อมมีใช่เรื่องดี จงหยวนที่ตวัดหางมังกรพลันทิ้งร่างลงไปยังด้านล่าง กระชากหางมังกรที่รัดพันชายในชุดลายดอกให้ร่วงดิ่งลงไปพร้อมเขา
ชายในชุดลายดอกมองเจตนาของอีกฝ่ายออก เห็นได้ชัดว่าคิดจะอาศัยแรงดิ่งเพื่อเหวี่ยงโจมตี คิดจะเหวี่ยงตนกระแทกพื้นเพื่อให้ร่างแหลกเละ
แรกเริ่มเขายังสามารถโคจรพลังต้านได้ ชะลอความเร็วที่ร่วงคกลงไปได้
แต่ในไม่ช้าก็สังเกตเห็นว่าการทำเช่นนี้มันเปลืองแรงตนเกินไป ตนต้องใช้พลังต่อต้านแรงกระชากของอีกฝ่าย ซ้ำยังต้องใช้พลังชะลอความเร็วในการร่วงหล่นอีก สูญเสียพลังปราณไปอย่างรวดเร็ว แต่อีกฝ่ายเพียงใช้แรงฉุดกระชาก แล้วก็ยังสามารถใช้ประโยชน์จากแรงโน้มถ่วงของโลกได้อีก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ตนไม่มีทางเอาชนะได้แน่
เขาเลิกโคจรพลังชะลอความเร็วในทันที ความเร็วในการร่วงดิ่งลงมาของทั้งสองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จงหยวนลากอีกฝ่ายพุ่งลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อทั้งสองเข้าใกล้พื้นโลกขึ้นเรื่อยๆ คนบนหอสูงมองเห็นสถานการณ์พัวพันระหว่างทั้งสองอย่างชัดเจนแล้ว ต่างมีสีหน้าตกใจเป็นอย่างยิ่ง
ดวงตาของชายในชุดลายดอกที่ร่วงดิ่งลงมาอย่างรวดเร็วพลันสาดประกายเฉียบคม คล้ายจะตัดสินใจอะไรได้แล้ว ตวาดเสียงกร้าวในทันใด “แสงยะเยือกหมื่นลี้ หนึ่งกระบี่ล่มนคร!”
ทันทีที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติทานด้านบน จงหยวนพลันเงยหน้ามองขึ้นไป เห็นแสงสีแดงส่องวาบออกมาจากด้านในร่างมังกรสีเหลืองที่เลื้อยพัน
ตูม! เกิดเสียงกัมปนาทลั่นสะเทือนฟ้าดิน!
ชายในชุดลายดอกจำแลงกายเป็นกระบี่ ทั้งร่างถูกห่อหุ้มอยู่ในกระบี่ขนาดมหึมาเล่มหนึ่งที่ดูคล้ายอำพันสีเลือดที่มีความยาวถึงสองจั้ง ทันทีที่พลังของกระบี่ระเบิดออกมา ร่างของมังกรเหลืองที่รัดพันอยู่ก็ฉีกกระจายเป็นชิ้นๆ ในพริบตา
คนที่อยู่ภายในกระบี่พุ่งตัวลงไป สองดัชนีตวัดชี้ชักนำกระบี่ให้มุ่งเข้าไปหาจงหยวนที่อยู่ทางเบื้องล่าง ฉวยโอกาสใช้กระบี่โจมตีลงไป
กลุ่มคนที่อยู่บนหอสูงต่างตกตะลึงตาค้าง ล้วนเพิ่งเคยเห็นภาพกระบี่พุ่งลงมาจากบนอากาศอันแสนอลังการเช่นนี้เป็นครั้งแรก ราวกับกระบี่ยักษ์ที่มาจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้ากำลังพิฆาตมารร้าย
แต่ซางซูชิงกลับมองไม่เห็นความยิ่งใหญ่อลังการอันใดเลย ไม่ว่าจะเป็นมังกรเหลืองเลื้อยพัวพันที่จงหยวนสำแดงออกมา หรือว่าจะเป็นกระบี่อำพันโลหิตเล่มใหญ่ยักษ์ที่ชายชุดลายดอกสำแดงออกมา คนที่ไม่มีเนตรทิพย์ล้วนมองไม่เห็นอะไรเลย เห็นเพียงร่างมนุษย์สองคนที่ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า ดังนั้นจึงไม่เห็นว่าแท้จริงแล้วการต่อสู้ที่ดุเดือดอย่างแท้จริงนั้นเป็นอย่างไร
ก่าเหมี่ยวสุ่ยที่ขี่วิหคอยู่บนฟ้ามองเห็นภาพที่แปลงกายเป็นกระบี่ด้วยตาตน หลุดอุทานออกมา “คนผู้นี้เป็นใครกัน?”
จงหยวนที่เงยหน้ามองพลันตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ความเร็วที่เขาร่วงตกลงสู่ด้านล่างไม่อาจเทียบกับกระบี่ยักษ์ที่เป็นมันวาวที่สามารถลดแรงเสียดทานได้ กระบี่อำพันโลหิตเล่มยักษ์พุ่งโจมตีเข้ามา ภายใต้สถานการณ์ที่มือไม้ปั่นป่วนทำให้เขาหลบไม่ทัน จึงทำได้เพียงต้านรับไว้ตรงๆ สองมือรีบร้อนประกบเข้าหากัน หนีบกระบี่ยักษ์เอาไว้
“แปลงกายเป็นกระบี่! หรือจะเป็น ‘เคล็ดกระบี่เมฆขจี’ ในตำนานของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่หลังจากสืบทอดมาถึงรุ่นที่สามก็ไม่มีผู้ใดฝึกฝนสำเร็จได้อีก?” จงหยวนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวระคนตกใจ แต่จากนั้นก็เอ่ยแก้ด้วยตัวเองว่า “ไม่สิ เคล็ดกระบี่เมฆขจีจะเป็นเงากระบี่สีเขียว แต่ของเจ้าเป็นสีแดงโลหิต เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ไม่มีคำตอบ และไม่มีเวลาจะตอบด้วย ทั้งสองพุ่งตกลงไปเนินเขาลูกหนึ่งที่อยู่ทางด้านล่างประหนึ่งดาวตก
กลุ่มคนที่ต่อสู้กันอยู่บนเนินเขาสะดุ้งโหยง รีบหยุดการต่อสู้ทันที พุ่งหลบไปคนละทิศคนละทาง
ทันทีที่พุ่งชนเข้ากับเนินเขา จงหยวนที่สองมือประกบกระบี่อยู่พลันดันกระบี่เบี่ยงออกไป หมายจะพุ่งตัวหลบหนี
มือของชายในชุดลายดอกที่อยู่ภายในกระบี่ร่ายเคล็ดกระบี่แล้วสะบัดแขนออกไป กระบี่ยักษ์พลันหมุนวนแล้วแทงลงไป คมกระบี่หมุนควงเฉียดผ่านร่างของจงหยวน ปรากฏละอองโลหิตสายหนึ่งขึ้นมา
ตูม! ประหนึ่งภูเขาพังถล่ม เนินเขาถูกพลังของกระบี่ที่รุนแรงราวกับอสุนิบาตเก้าชั้นฟ้าฟาดผ่าจนพังถล่ม กระบี่ยักษ์เลือนหายไปท่ามกลางดินหินที่ระเบิดปลิวว่อน
ผู้สังเกตการณ์ทั้งหมดตื่นตระหนกตกใจ ต่างสูดหายใจด้วยความหวาดผวา
ขนาดผู้ที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ไกลออกไปบนหอคอยก็ยังรับรู้ถึงแรงสะเทือนที่ส่งผ่านมาจากพื้นดินได้ ซางซูชิงก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัวด้วยความตื่นตระหนก
ในเวลานี้นางได้ประจักษ์อย่างถ่องแท้แล้วว่าเหตุใดใต้หล้านี้ถึงถูกเรียกขานว่าเป็นใต้หล้าของผู้บำเพ็ญเพียร ขอถามทีเถิดว่ากองทัพของคนธรรมดาจะหยุดคนแบบนี้ได้อย่างไร?
พวกหยวนกังที่ยืนอยู่บนยอดเขาหันกลับไปมองทันที มองเห็นเนินเขาลูกนั้นพังถล่มลงมา
ท่ามกลางเศษหินเศษดินที่ปลิวว่อน จงหยวนพุ่งทะยานสู่อากาศ สีหน้าโกรธเกรี้ยวดุดัน แขนข้างหนึ่งตะปบออกไป ส่วนแขนอีกข้างไม่เหลืออยู่แล้ว เมื่อครู่หลบไม่ทัน ถูกกระบี่ที่หมุนควงตัดขาดไปแล้ว
มือข้างที่ตะปบออกไปข้างนั้นดูคล้ายนาฬิกาทรายอย่างไรอย่างนั้น เศษหินเศษดินที่ปลิวว่อนไหลเข้ามารวมตัวกัน พริบตาเดียวก็จับตัวกันเป็นค้อนใหญ่ยักษ์อันหนึ่ง จากนั้นเหวี่ยงมันด้วยแขนข้างเดียวแล้วกระหน่ำทุบลงไปบนเนินเขาอย่างบ้าคลั่ง
ชายในชุดลายดอกที่พุ่งตัวขึ้นมาจากหลุมดินหมุนตัวทะยานขึ้นไป กระบี่อำพันสีแดงเล่มใหญ่ใหญ่ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง พุ่งออกไปฟันค้อนยักษ์ที่ทุบเข้ามา!
ตูม! ค้อนยักษ์ถูกกระบี่ฟันขาดเป็นสองท่อน แต่กระบี่ยักษ์ก็เลือนหายไปในพริบตาเช่นกัน
ท่านกลางดินหินที่ปลิวฟุ้ง ชายในชุดลายดอกที่พลิกตีลังกาเสมือนเห็นช่องว่างอย่างไรอย่างนั้น สิบนิ้วตวัดดีดอย่างต่อเนื่อง ลำแสงสีแดงสายแล้วสายเล่าพุ่งออกไป
จงหยวนที่เหวี่ยงค้อนอยู่พลิกตัวหลบอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ดึงด้ามค้อนกลับมาป้องกันไว้ด้านหน้า ป้องกันจุดสำคัญเอาไว้ แต่ตรงส่วนหน้าท้องกลับถูกลำแสงสีแดงสามสายเจาะทะลุเกราะปราณคุ้มกายที่อ่อนกำลังลง ละอองโลหิตสามสายพุ่งกระฉูดออกมา
ด้ามค้อนในมือซึ่งก่อตัวขึ้นจากเศษดินเศษหินถูกลำแสงสีแดงที่ดีดเข้ามากระแทกจนสลายตัวลง ท่ามกลางสะเก็ดหินดินที่ปลิวว่อน จงหยวนทะยานร่างขึ้นสู่ท้องนภา
เงาร่างของชายในชุดลายดอกพุ่งตามไป ทั้งสองคนหนึ่งนำคนหนึ่งตาม เหินทะยานขึ้นไปกลางอากาศ พุ่งฉิวขึ้นไปท่ามกลางสายตาของคนมากมาย
ระหว่างที่จงหยวนซึ่งมีโลหิตซึมมุมปากมองลงไปด้านล่าง เขาก็มองเห็นรูโหว่ชุ่มเลือดตรงหน้าท้องตนเช่นกัน เอ่ยกับคนที่ไล่ตามมาด้วยแววตาที่แทบจะเบิกถลน “ดัชนีมารพิฆาตของประมุขนิกายมาร…” เคล็ดกระบี่เมฆขจีที่เคยนึกสงสัยก่อนหน้านี้ผุดขึ้นมาในหัว คาดเดาได้ถึงอะไรบางอย่างในพริบตา “ที่แท้ก็เป็นเจ้า!”
ชายในชุดลายดอกไม่ปริปาก ยังคงไล่ตามอย่างไม่ลดละ
จงหยวนทราบดีว่าถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้การแน่ เขาทะยานโฉบออกไปด้านข้างทันที หวังจะหลบหนีเข้าไปในป่า
แสงสีแดงส่องวาบกลางอากาศ ชายในชุดลายดอกจำแลงกายเป็นกระบี่อีกครั้ง กระบี่เล่มยักษ์พุ่งเฉียงๆ ออกไป เมื่อไม่มีแรงต้านเหมือนตอนอยู่ในร่างมนุษย์ ความเร็วก็เพิ่มขึ้นกว่าเดิม ประกอบกับเดิมทีระยะห่างของทั้งสองคนก็ไม่ได้ห่างกกันมากอยู่แล้ว เพียงพริบตากระบี่ก็ไล่มาทัน
จงหยวนโบกแขนข้างเดียวที่เหลืออยู่ มังกรสีเหลืองตัวหนึ่งพุ่งออกมา เข้ารัดพันกระบี่ยักษ์เอาไว้ เขาเองก็พลิกตัวกลับไปยันคมกระบี่เอาไว้ ขณะที่ยันกระบี่พลางพุ่งถอยหลังก็เอ่ยเสียงกร้าวว่า “จำเป็นต้องไล่ล่าสังหารกันให้ถึงที่สุดอย่างนั้นเรอะ?”
ชายในชุดลายดอกที่อยู่ในกระบี่เอ่ยเสียงขรึม “เดิมทีข้าอิจฉาท่านมาก แต่ท่านอยู่อย่างดีๆ ไม่ว่าดี ไยต้องเข้ามาพัวพันกับปัญหานี้ด้วย เมื่อก้าวเข้ามาแล้ว ท่านยังจะถอนตัวได้อีกหรือ?”
ความคิดมากมายแล่นผ่านเข้ามาในหัวของจงหยวน ทราบดีว่าอีกฝ่ายกล่าวถูกต้องแล้ว ไม่สามารถกลับไปลอยตัวอยู่เหนือปัญหาได้อีกต่อไปแล้ว เมื่อสังหารหนิวโหย่วเต้าไม่ได้ ราชสำนักก็ไม่มีทางยอมปล่อยตัวคน เขาทำได้เพียงหาโอกาสลงมือต่อไป ต่อให้ราชสำนักยอมปล่อยคน แต่ตัวตนของคนเหล่านั้นถูกเปิดเผยแล้ว มีบ่วงเชือกล่องหนคล้องคอเขาไว้แล้ว มีคนคอยจะกระชากมันอยู่ทุกเมื่อ
เขาเอ่ยด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยวและเศร้าใจ “ข้าก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน!”
“ในเมื่อพวกเราล้วนไม่เหลือทางถอยแล้ว ก็ให้ข้าส่งท่านไปสู่สุขคติเถอะ!”
ระหว่างที่ชายในชุดลายดอกเอ่ยวาจาก็สะบัดมือร่ายเคล็ดกระบี่ไปด้วย กระบี่อำพันสีแดงหมุนควงอย่างรวดเร็ว พิรุณโลหิตสาดกระจายขึ้นกลางอากาศ