ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 597 นี่คือจุดจบของผู้ที่รุกรานคฤหาสน์กระท่อมฟางของข้า!
- Home
- ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า
- ตอนที่ 597 นี่คือจุดจบของผู้ที่รุกรานคฤหาสน์กระท่อมฟางของข้า!
ตอนที่ 597 นี่คือจุดจบของผู้ที่รุกรานคฤหาสน์กระท่อมฟางของข้า!
หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ดิ่งลงสู่พื้นตามกันไป
ตูม! ร่างกายครึ่งซีกของจงหยวนจมหายไปใต้พื้นดิน ค่อยๆ มีโลหิตไหลซึมเจิ่งนอง
ทันทีที่กระบี่ร่วงถึงพื้นก็เลือนหายไปในทันใด เหลือเพียงชายในชุดลายดอกที่ลอยลงสู่พื้น มองจงหยวนที่ดวงตายังกะพริบอยู่เล็กน้อย
หน่วยจู่โจมที่ต่อสู้อยู่รอบข้างตกใจเป็นอย่างมาก แม้แต่จงหยวนก็ถูกสังหารไปแล้ว ยังจะมีใครกล้าเข้าใกล้คนผู้นี้อีก ต่างหันหลังหลบหนีไป
“จ้าว…” จงหยวนจ้องมองชายในชุดลายดอกพลางเปล่งเสียงอ่อนแรงออกมา ในแววตาคล้ายจะแฝงความพะวงอยากฝากฝัง แต่สุดท้ายยังไม่ทันได้เอ่ยออกไป ดวงตาก็แข็งทื่อไม่ไหวติง แล้วก็ไม่มีลมหายใจอีก
เมื่อยอดฝีมือตัดสินแพ้ชนะ น้อยครั้งนักที่จะยอมออมมือไม่เอาถึงตาย ความจริงแล้วตั้งแต่ตอนที่ทั้งสองเปิดฉากต่อสู้กัน เวลาก็เพิ่งจะผ่ามาได้ไม่เท่าไร เพียงไม่นานก็ตัดสินแพ้ชนะได้
พิรุณโลหิตที่เพิ่งจะร่วงตกลงมาในยามนี้ไหลย้อมร่าง ชายในชุดลายดอกเบือนสายตาไปจากใบหน้าเขา มองไปทางคฤหาสน์กระท่อมฟาง สะบัดแขนเสื้อทั้งสองข้าง ทะยานร่างขึ้นสู่อากาศ สองแขนขยับกระพือราววิหคตัวหนึ่ง โฉบผ่านเหนือหัวกลุ่มคนที่ต่อสู้อยู่ด้านล่างไป
เขาไม่สนใจว่ากลุ่มคนด้านล่างใครจะแพ้ใครจะชนะ เขาไม่มีทางตามไล่ล่าสังหารหน่วยจู่โจมไปทีละคนๆ เพื่อคนชุดดำโพกหน้าฝั่งหนิวโหย่วเต้า
เมื่อมาถึงบนท้องฟ้าเหนือคฤหาสน์กระท่อมฟาง เขาร่อนลงบนหอสูงอย่างแผ่วเบา เดินเอื่อยๆ เข้าไปยืนข้างกายหนิวโหย่วเต้าอย่างเงียบๆ หนังหน้าปลอมแผ่นนั้นยังคงราบเรียบไร้อารมณ์
บนหอสูงเงียบสนิท ทุกคนมองเขาด้วยความตกตะลึง
หวงเลี่ยมองเขา จากนั้นก็มองหนิวโหย่วเต้า
แววตาของอิ๋นเอ๋อร์ที่กอดกล่องอาหารเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น นางเดินเข้าหยุดข้างๆ ชายในชุดลายดอก ยื่นหน้าเข้าไปดูใบหน้าของเขา ชายในชุดลายดอกก็จ้องมองสาวน้อยจอมตะกละคนนี้เช่นกัน
อิ๋นเอ๋อร์อมดูดคราบน้ำมันบนนิ้วมือเล็กน้อย จากนั้นยื่นออกไปหาชายในชุดลายดอก คิดจะดึงหน้ากากหนังออกจากหน้าเขา
ดวงตาของชายในชุดลายดอกเต็มไปด้วยความรังเกียจ ยกแขนเสื้อปัดมือของนางออกไป
ในเวลานี้ทุกคนที่ไม่ทราบความในล้วนคิดว่าสตรีนางนี้คงปัญญาอ่อน อยากจะรนหาที่ตายหรือไร?
อิ๋นเอ๋อร์พลันถลึงตาใส่ ท่าทางไม่พอใจอย่างยิ่ง
คราวนี้ถึงตาคนที่ทราบความในอย่างพวกก่วนฟางอี๋ที่เหงื่อตกแทนชายในชุดลายดอกขึ้นมา เขาสามารถสังหารจงหยวนได้ แต่เกรงว่าจะยังไม่เพียงพอสำหรับต่อกรกับราชินีปีศาจตนนี้ ที่สำคัญคือจะลามเดือดร้อนมาถึงพวกเขาด้วย!
เคราะห์ดีที่ซางซูชิงที่อกสั่นขวัญแขวนนึกเป็นห่วงอิ๋นเอ๋อร์ จึงเข้าไปลากอิ๋นเอ๋อร์ออกมาทันที กระซิบกล่อมว่า “อิ๋นเอ๋อร์ ห้ามก่อเรื่องนะ”
ถึงแม้อิ๋นเอ๋อร์จะยอมปล่อยให้ซางซูชิงลากออกมา แต่ยังคงเบะปากด่าทอชายในชุดลายดอก “คนเลว!”
เดิมทีชายในชุดลายดอกก็มองนางเป็นแค่จอมตะกละอยู่แล้ว จึงคร้านจะถือสาหาความกับสตรีปัญญาอ่อนเช่นนี้
หน่วยจู่โจมในหุบเขาเริ่มแตกพ่ายหลบหนีไปคนละทิศคนละทาง ทันทีที่จงหยวนสิ้นใจ ขวัญกำลังใจก็ป่นปี้!
เดิมทีการเผชิญหน้ากับคนชุดดำโพกหน้ากลุ่มนี้ก็ทำให้พวกเขาเสียเปรียบอยู่แล้ว ตอนนี้แม้แต่จงหยวนก็ยังไม่รอด ยังมีอะไรต้องสู้อีกเล่า? ต่อให้ทุ่มสุดตัว แต่หนิวโหย่วเต้ามียอดฝีมือเช่นนี้คุ้มกันอยู่ข้างกาย ไม่มีทางสังหารหนิวโหย่วเต้าได้เลย ถึงสู้สุดตัวก็มีแต่ตายเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตสู้ต่อแล้ว ต้องหนีเท่านั้น!
พอเห็นคนชุดดำโพกหน้ากลุ่มนั้นต้องการตามไล่ล่า หนิวโหย่วเต้าก็เปล่งเสียงขึ้นมา “ปล่อยไป ไม่ต้องตาม!”
คนชุดดำโพกหน้าคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนกำแพงผิวปากขึ้นมาทันที หยุดการตามล่า
“ต้วนหู่ เหลยจงคัง อู๋ซานเหลี่ยง” หนิวโหย่วเต้าตะโกนเรียก
ทั้งสามคนก้าวออกมาทันที ประสานมือขานรับพร้อมเพรียง “เต้าเหยี่ย!”
หนิวโหย่วเต้าทอดมองไปด้านหน้า เอ่ยทั้งที่หันหลังให้คนทั้งสาม “พวกเจ้าทั้งสามแบ่งกำลังไปคนละหนึ่งร้อย ไปให้การสนับสนุนสำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาส”
“ขอรับ!” ทั้งสามรับคำสั่ง รีบลงไปติดต่อกับทางฝั่งคนชุดดำโพกหน้าเล็กน้อย จากนั้นต่างนำกำลังหนึ่งร้อยคนทะยานออกไป
ศัตรูตัวฉกาจล่าถอยไปแล้ว ตอนนี้ถึงแบ่งกำลังป้องกันภายในคฤหาสน์กระท่อมฟางออกไป หนิวโหย่วเต้าก็ไม่กังวลแล้วเช่นกัน แอบลอบถอนใจอย่างโล่งอก ตอนแรกยังแอบกลัวอยู่ว่าชายในชุดลายดอกจะสู้จงหยวนไม่ได้ ทำเอาเขาใจหายใจคว่ำอยู่พักหนึ่งเลยทีเดียว
แต่เขาก็รู้สึกโชคดีที่ตนเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ล่วงหน้าโดยเชิญคนผู้นี้มาก่อน มิเช่นนั้นหากทำตามที่มั่นใจก่อนหน้านี้คงกลายเป็นการสร้างปัญหาเดือดร้อนให้ตัวเอง
เพราะศัตรูที่ต้องต่อกรด้วยก็คือราชสำนักแคว้นเยี่ยน จะเข้าปะทะกับกลุ่มอำนาจระดับนี้ เขาย่อมเพิ่มความระมัดระวังเป็นอย่างมากเอาไว้แต่แรก สามารถนำพลังอำนาจใดมาใช้ได้เขาล้วนหยิบมาใช้ทั้งสิ้น
ครั้งนี้เรียกได้ว่าป็นครั้งแรกที่เขาทุ่มกำลังทั้งหมดที่ตนมีออกมาปะทะกับราชสำนักแคว้นเยี่ยนอย่างซึ่งหน้า!
หนิวโหย่วเต้ามองหยดเลือดที่เปรอะเปื้อนร่างชายชุดลายดอก จากนั้นยกนิ้วโป้งให้เขาทีหนึ่ง “สมเป็นยอดฝีมือโดยแท้!”
ชายในชุดลายดอกเหลือบมองด้วยแววตาเย็นชา
อยู่กลางอากาศมองเห็นได้ไม่ชัดนัก ก่าเหมี่ยวสุ่ยบังคับวิหคยักษ์ให้โฉบต่ำลงเล็กน้อย เมื่อเห็นจงหยวนที่สิ้นใจตายอยู่บนพื้นก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง
ประกอบกับเหล่ายอดฝีมือที่มาลอบโจมตีล้วนแตกพ่ายแล้ว ก่าเหมี่ยวสุ่ยทราบดีว่าดำเนินการต่อไปไม่ได้แล้ว จึงบังคับวิหคยักษ์บินฝ่าอากาศ หลบหนีไปทันที!
ภาะเหตุการณ์นี้อยู่ในสายตาของหนิวโหย่วเต้า ก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะเฝ้าสังเกตการณ์ต่อสู้อยู่บนท้องฟ้ามาโดยตลอด จึงทำให้เขาสงสัยว่าอีกฝ่ายคงมีฐานะไม่ธรรมดาแน่นอน เขาชี้มือพลางออกคำสั่งในทันใด “ไปดูว่าเป็นใคร นำอินทรีแดงนักล่าไล่ตามไป ลองดูว่าจับตัวมาได้หรือไม่!”
คนชุดดำโพกหน้าหลายคนกระโจนขึ้นไปบนอินทรีแดงนักล่าสองตัว โผขึ้นสู่อากาศไล่ตามไป…
บนยอดเขา พอเห็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ลอบโจมตีกระโดนพุ่งลงมาจากบนอากาศ ลุงเฉินและอู๋เหล่าเอ้อร์ก็เข้าไปคุ้มกันอยู่เบื้องหน้าหยวนกังทันที ภารกิจของพวกเขาในครั้งนี้คือคุ้มกันหยวนกัง
แต่ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ไม่สนใจจะต่อสู้เลย กำลังหนีเอาชีวิตรอดอยู่ ไหนเลยจะมาพัวพันอยู่ตรงนี้ได้ ทะยานผ่านศีรษะของพวกเขาไป เหินผ่านสนามรบด้านล่างไป รีบเร่งหลบหนี
“ท่านประมุข พวกเขาหนีกันไปแล้วขอรับ!”
มีใครคนหนึ่งในหมู่ศิษย์ของหอบุปผาล่องที่เผชิญการปิดล้อมตะโกนขึ้นมา
เฉาอวี้เอ๋อร์ที่ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง โลหิตเปรอะเปื้อนทั่วร่าง กำลังเหวี่ยงกระบี่ไปมาเพื่อบีบให้ศัตรูถอยร่นไป พลันเงยหน้ามองขึ้นไป มองเห็นยอดฝีมือเหล่านั้นกำลังหลบหนีไป
จากนั้นก็มองดูเหล่าศิษย์หอบุปผาล่องที่นอนตายเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นอย่างน่าอนาถ
“อ๊าก!” เฉาอวี้เอ๋อร์เงยหน้ากรีดร้องเสียงโศกเศร้า คล้ายจะตระหนักได้แล้วว่าแผนการล้มเหลว หอบุปผาล่องสูญเสียไปมากขนาดนี้ แต่สุดท้ายแผนการยังคงล้มเหลว จะให้นางทนรับไหวได้อย่างไร
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาระบายความอัดอั้นตันใจ หลังจากสงบใจได้ก็ตะโกนเสียงดังว่า “ถอย!”
แต่สายไปแล้ว มีคนชุดดำโพกหน้านับร้อยคนพุ่งทะยานลงมาจากบนยอดเขา เข้าร่วมการปิดล้อมต่อสู้ เสริมกำลังให้ศิษย์สำนักเซียนสถิต
พอเห็นว่ามีกลุ่มยอดฝีมือมาช่วยเสริมกำลัง ถึงจะไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด แต่ในเมื่อให้ความช่วยเหลือทางฝั่งนี้ก็ย่อมต้องเป็นพวกเดียวกัน ศิษย์สำนักเซียนสถิตที่มีเลือดเปื้อนเต็มร่างพลันฮึกเหิมขึ้นมา เช่นนี้แปลว่าอย่างไรเล่า ก็แปลว่าทางฝั่งเต้าเหยี่ยได้ชัยแล้ว เปิดฉากโต้กลับได้แล้ว พลันตะโกนกร้าวเสียงดังลั่น “ฆ่า!”
ภาพเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันปรากฏขึ้นทั่วแนวป้องกัน
.…
เมื่อเสียงต่อสู้สงบลงอย่างสมบูรณ์ กองทัพที่ประจำอยู่บนไหล่เขาเริ่มขยายตัวออกไปด้านนอก จัดการเก็บกวาดสนามรบ ลัดเลาะไปในหมู่ดงศรและหอกเหล็กที่ปักเรียงราย
เมื่อพบศัตรูที่ยังไม่ตายสนิทนอนครวญครางหรือหายใจรวยรินอยู่ พวกเขาก็จะดึงหอกเหล็กที่ปักอยู่บนพื้นขึ้นมาจ้วงแทงจนโลหิตสาดกระเซ็น
ถึงเป็นคนที่ตายไปแล้วก็ยังโดนหอกทิ่มแทงอยู่หลายที ป้องกันการแกล้งตาย พลทหารเหล่านี้ล้วนมีประสบการณ์ในการเก็บกวาดสนามรบมาอย่างโชกโชนทั้งสิ้น
….
พอได้ยินเสียงต่อสู้เงียบไป หยวนฟางที่ไม่รู้เช่นกันว่ามุดออกมาจากที่ใดโผล่ออกมาดูสถานการณ์อย่างลับๆ ล่อๆ พอเห็นพวกหนิวโหย่วเต้าเดินลงมาจากหอสูงอย่างไม่อนาทรร้อนใจ เขาก็สบายใจขึ้นมาทันที วิ่งฉิวแขนเสื้อปลิวเข้ามาหาหนิวโหย่วเต้า
ถึงแม้จะหลบเลี่ยงอันตรายมาได้ แต่กลับพลาดเหตุการณ์ที่น่าตื่นตะลึงไป
“เต้าเหยี่ย พวกเราชนะแล้วหรือขอรับ? ต้องการให้ข้าพาคนไปเก็บกวาดสนามรบหรือไม่ขอรับ” หยวนฟางเอ่ยด้วยสีหน้าประจบประแจง
ก่วนฟางอี๋กลอกตาทีหนึ่ง รู้เช่นเห็นชาติคนผู้นี้แล้ว รู้ว่าคนผู้นี้กระตือรือร้นเรื่องเก็บกวาดสนามรบเป็นอย่างยิ่ง “ไปเถอะไป๊!” ว่าพลางโบกมือไล่เขาไป
หนิวโหย่วเต้าเดินยันกระบี่ออกมาที่ประตูใหญ่ของคฤหาสน์ ออกไปต้อนรับคนของสามสำนักที่เพิ่งกลับมาจากสนามรบด้วยตัวเอง
เฟ่ยฉางหลิว เจิ้งจิ่วเซียวและเซี่ยฮวาที่เปื้อนเลือดไปทั้งตัวกลับมาพร้อมกับพวกหยวนกัง ศิษย์ที่ติดตามมาด้านหลังยังลากตัวคนสองคนเข้ามาด้วย คนหนึ่งหายใจรวยริน อีกคนขาด้วนไปข้างหนึ่ง
พอหยวนกังมาถึงก็พยักหน้าให้หนิวโหย่วเต้าเล็กน้อย ก่อนจะแยกตัวไปยืนด้านข้าง
“เต้าเหยี่ย โชคดีที่ไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง!” สามเจ้าสำนักประสานมือเอ่ยแสดงความยินดีที่รอดมาได้
หนิวโหย่วเต้าทอดสายตามองไหล่ของเซี่ยฮวาที่พันผ้าไว้ เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บ ดูจากสภาพกระเซอะกระเซิงของทั้งสามคนแล้ว แม้แต่ระดับเจ้าสำนักก็ยังได้บาดเจ็บกันหมด ถึงจะไม่ได้เห็นภาพสถานการณ์ศึกกับตาก็รู้ได้ว่าการต่อสู้จะต้องดุเดือดเป็นอย่างมากแน่นอน เขาเอ่ยถามประโยคหนึ่ง “เจ้าสำนักเซี่ย ไม่เป็นไรมากกระมัง?”
“ไม่ถึงตายหรอก” เซี่ยฮวายิ้นเจื่อนพลางกล่าว จากนั้นถามอีกว่า “เต้าเหยี่ย สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หวงเลี่ยเลิกคิ้วเล็กน้อย ค่อนขอดอยู่ในใจ ต่อสู้จนอยู่ในสภาพนี้แล้วยังไม่รู้อีกหรือว่าเกิดอะไรขึ้น นี่ไม่รู้จริงๆ หรือเสแสร้งกัน? หากไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเจ้าจะยอมวิ่งออกไปเสี่ยงชีวิตสู้ตายหรือ?
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ก่อนหน้านี้ได้รับข่าวมาว่าราชสำนักจะใช้แผนสมคบกับคนในเพื่อทำร้ายข้า ตอนแรกก็ยังไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ ดังนั้นถึงไม่ได้แจ้งให้ทราบ ลำบากทุกท่านแล้ว”
ยังไม่เลิกใช้มุก ‘สมคบกับคนใน’ อีกหรือ ก่วนฟางอี๋เหลือบมองท่าทีของสำนักเขามหายานอย่างเงียบๆ เป็นอย่างที่คาด ล้วนมีสีหน้าน่าดูแย่กันทั้งสิ้น
“สมคบกับคนในหรือ?” สามเจ้าสำนักอุทานด้วยความแปลกใจ ต่างสบตากัน
“ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าไม่เกี่ยวข้องกับพวกท่าน บางทีอาจจะเป็นคนอื่น” หนิวโหย่วเต้าบอกปัดไปด้วยประโยคเดียว วาจานี้ทำให้คิ้วของหวงเลี่ยกระตุกยิกๆ ขึ้นมา
หนิวโหย่วเต้าไม่ได้พูดอะไรมากอีก พยักเพยิดหน้าไปทางคนทั้งสองที่ถูกลากเข้ามา “สองคนนี้คือผู้ใด?”
เซี่ยฮวาชี้บุรุษที่หายใจรวยรินคนนั้น “จินอู๋กวงเจ้าสำนักจิตกระจ่าง!”
เฟ่ยฉางหลิวก็ชี้ไปทางคนที่ถูกฟันขาขาดไปข้างหนึ่ง “เฉาอวี้เอ๋อร์ประมุขหอบุปผาล่อง ศัตรูที่ล้อมโจมตีพวกเราจากด้านนอกคือสองสำนักนี้ จับตัวการใหญ่มาแล้ว ส่วนผู้รอดชีวิตที่เหลือคุมตัวไว้ที่ตีนเขา!”
เจิ้งจิ่วเซียวกล่าวว่า “มีศิษย์บางส่วนของสองสำนักนี้หนีรอดไปได้ แต่ไม่มาก”
ว่ากันตามจริงแล้ว หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคนชุดดำโพกหน้าเหล่านั้นก็คงจับเจ้าสำนักคู่นี้ไม่ได้
หนิวโหย่วเต้าร้องโอ้ ยื่นฝักกระบี่ในมือออกไปช้อนคางเฉาอวี้เอ๋อร์ขึ้นมา
เฉาอวี้เอ๋อร์สะบัดหน้าหนีอย่างไม่ยินยอม แถมยังถ่มน้ำลายปนโลหิตใส่หนิวโหย่วเต้าดัง “ถุย!”
หนิวโหย่วเต้าโคจรพลังสกัดไว้ น้ำลายยังทันเข้าใกล้เขาก็ร่วงตกลงไป
ต้วนหู่ที่อยู่ด้านหลังก้าวเข้ามา ตบหน้านางอย่างจังไปหนึ่งที จากนั้นก็จิกผมของเฉาอวี้เอ๋อร์กระชากไปด้านหลัง ให้หน้าของนางแหงนเชิดขึ้น เผยหน้าของนางออกมา
หนิวโหย่วเต้าใช้ฝักกระบี่เขี่ยเส้นผมยุ่งเหยิงบนใบหน้าหน้าให้เปิดออก เอ่ยถามไปว่า “ประมุขเฉาบอกว่าจะมาพบข้าในอีกสามวันให้หลังมิใช่หรือ? เหตุใดถึงมาเร็วขนาดนี้ล่ะ?”
เฉาอวี้เอ๋อร์ที่ถูกบังคับให้แหงนหน้าขึ้นมีโลหิตเปื้อนทั่วหน้า เอ่ยด้วยเสียงคับข้อง “หนิวโหย่วเต้า นับว่าเจ้าชะตาแข็ง แต่สักวันเจ้าต้องไม่ตายดีแน่!”
“ก่อนหน้านี้ตอนข้าเห็นเจ้า คิดว่ายามสาวเจ้าคงมีความงามอยู่พอตัว ทำไมไม่ออกเรือนให้กำเนิดบุตรธิดา ครองคู่เลี้ยงดูบุตร ไยต้องเข้ามาข้องแวะกับเรื่องต่อสู้ฆ่าฟันให้ลำบากด้วยเล่า” หนิวโหย่วเต้าทอดถอนใจ ลดกระบี่ลงแล้วเอ่ยถาม “พวกท่านว่าสมควรจัดการอย่างไรดี?”
เซี่ยฮวากัดฟันกรอดเอ่ยไปว่า “ศิษย์ของพวกเราสามสำนักที่ล้มตายด้วยฝีมือพวกเขาเกรงว่าคงมีไม่ต่ำกว่าสองพันคน จำนวนทหารที่บาดเจ็บล้มตายยิ่งมีมากกว่า!”
เฟ่ยฉางหลิวเอ่ยถาม “เต้าเหยี่ยคงไม่คิดจะปล่อยนางไปกระมัง?”
เจิ้งจิ่วเซียวก็มองอยู่เช่นกัน สามสำนักเผชิญศึกหนักครานี้ สูญเสียกำลังคนไปมากมายปานนี้ ล้วนอยากสังหารกวาดล้างสำนักจิตกระจ่างและหอบุปผาล่องให้สิ้นซากเพื่อล้างแค้นใจแทบขาดแล้ว!
หนิวโหย่วเต้ามองท่าทีของคนทั้งสาม เอ่ยเสียงเรียบว่า “ล้วนเป็นตัวเบี้ยที่ถูกคนอื่นหลอกใช้ทั้งสิ้น เป็นหรือตายไม่สำคัญ ช่วยล้างหน้าล้งตาพวกเขาให้สะอาดแล้วทำการรักษาสักหน่อย แล้วค่อยนำไปห้อยเป็นเหยื่อล่อไว้บนกำแพงจังหวัดชิงซานพร้อมกับผู้รอดชีวิตทั้งหมด คอยซุ่มดูไว้ หากมีศิษย์ของทั้งสองสำนักเข้ามาช่วยเหลือก็ให้สังหารทิ้งซะ! ให้คนทั่วหล้าได้รู้ว่านี่คือจุดจบของผู้ที่รุกรานคฤหาสน์กระท่อมฟางของข้า!”
สามเจ้าสำนักฟังแล้วพยักหน้ารับ ไม่ควรปล่อยให้พวกเขาได้ตายสบายเกินไปจริงๆ
จินอู๋กวงที่หายใจรวยรินอยู่พลันสะเทือนอารมณ์ขึ้นมา ลมหายใจถี่กระชั้นร้อนรน
เฉาอวี้เอ๋อร์ที่ถูกจิกหัวอยู่ดิ้นรนพลางตวาดกร้าว “หนิวโหย่วเต้า ไอ้ชาติชั่ว ต่อให้ข้าเป็นผีก็ไม่มีวันยอมปล่อยเจ้าไป!”
“คุมตัวไป!” เจิ้งจิ่วเซียวโบกมือสั่งการ