ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 601 ข้าเรียกค่าไถ่ตัวเจ้าร้อยล้านเหรียญทอง
- Home
- ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า
- ตอนที่ 601 ข้าเรียกค่าไถ่ตัวเจ้าร้อยล้านเหรียญทอง
ตอนที่ 601 ข้าเรียกค่าไถ่ตัวเจ้าร้อยล้านเหรียญทอง
ชายในชุดลายดอกที่เผยโฉมออกมาแล้วมิใช่ใครอื่น เป็นจ้าวสยงเกอศิษย์ที่ถูกขับไล่ออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์นั่นเอง
แต่จ้าวสยงเกอในตอนนี้มิได้ดูมอมแมมมอซอเช่นแต่ก่อนแล้ว ชำระร่างกายจนหมดจด เสื้อผ้าก็สะอาดสะอ้าน หนวดเครารุงรังบนหน้าก็โกนออกไปแล้ว เผยใบหน้าหล่อเหลาคมคาย เพียงแต่ยังดูหม่นหมองลงไปหลายส่วน แต่ยังมองเห็นเค้าความหล่อเหลาในยามหนุ่มได้อยู่
“ความคิดเห็นหรือ? ข้าจะมีความคิดเห็นอันใดได้? ก็แค่ตัวอัปลักษ์ผู้หนึ่ง!” จ้าวสยงเกอเอ่ยหยัน
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เท่าที่ข้ารู้มา ปานบนใบหน้าของนางมิใช่ปานตามธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่ตงกัวเฮ่าหรานสร้างไว้บนหน้านางในวัยแบเบาะ”
จ้าวสยงเกอขมวดคิ้ว “เจ้าคิดจะพูดอะไร?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “อันว่าสตรีต้องมีใบหน้าเช่นนี้ ทั้งชีวิตก็พังย่อยยับแล้ว ถึงแม้ข้าจะเคยอยู่ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาก่อน แต่ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีวิชาปลูกปานเช่นนี้เลย ท่านและพวกตงกัวเฮ่าหรานเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์ วิชาที่ตงกัวเฮ่าหรานใช้เป็น ท่านก็น่าจะพอเข้าใจไม่มากก็น้อยกระมัง?”
จ้าวสยงเกอเงียบไปพักใหญ่ “นีมิใช่วิชาในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ แต่เป็นวิชาลับแขนงหนึ่งของนิกายมาร เรียกว่า ‘ลักษณ์ผี’ มีคนรู้จักน้อยมาก เป็นข้าที่สอนให้ตงกัวฮ่าหรานเอง เฮ้อ ต้องโทษข้าที่ปีนั้นพูดมากไป”
หนิวโหย่วเต้าผงะไปเล็กน้อย เหตุใดถึงรู้สึกว่าเรื่องนี้มีเส้นสนกลในเล่า แต่จากนั้นก็เอ่ยด้วยความดีใจ “ในเมื่อท่านเป็นคนสอน เช่นนั้นท่านก็น่าจะมีวิธีแก้ไขแน่นอน สตรีคนหนึ่งต้องมีรูปโฉมเช่นนี้ก็นับว่าน่าสงสารมากพอแล้ว ไหนเลยจะปล่อยให้นางเสียเวลาชั่วชีวิตได้ โปรดลงมือช่วยเหลือด้วยเถิด!”
จ้าวสยงเกอส่ายหน้า “ข้าอาจจะมีหนทางแก้ไขได้ แต่ข้าไม่มั่นใจว่าเบื้องหลังของลักษณ์ผีนี้ซ่อนเร้นสิ่งใดไว้ ดังนั้นข้าจึงไม่อาจแก้ให้ได้”
หนิวโหย่วเต้ามึนงง “หมายความว่าอย่างไร?”
จ้าวสยงเกอกล่าวว่า “ยินยอมให้ประทับลักษณ์ผีลงบนหน้าบุตรี นี่คือการตัดสินใจของตัวหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วเอง ตงกัวเฮ่าหรานไม่มีทางตัดสินใจเรื่องนี้โดยพลการได้ สมควรจะแก้ในยามใดก็เป็นเรื่องของคนเขา ข้าไม่อยากก้าวก่าย ช่วยแล้วอาจจะทำให้เรื่องเลวร้ายกว่าเดิม”
“สรุปแล้วเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยสีหน้าฉงน
“ข้าก็เพียงคาดเดาเท่านั้น ลาล่ะ” ดูเหมือนจ้าวสยงเกอไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่ออีก จึงกอดไหสุราแล้วสาวเท้าเดินจากไป
วิหคยักษ์ตัวหนึ่งโผสู่นภา หยวนกังควบคุมวิหคไปส่งด้วยตัวเอง ขนส่งคนทางอากาศ เพราะไม่อยากคนอื่นสังเกตเห็น
จากไปอย่างเรียบง่าย หนีบไหสุราไปเพียงใบเดียว ไม่เรียกร้องค่าตอบแทนใดๆ
ขามาก็เรียบง่ายเช่นกัน หนิวโหย่วเต้าเพียงแจ้งว่าข้ามีภัย ด้วยเหตุนี้จ้าวสยงเกอจึงมาหา
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยเจรจาเรื่องราคาค่าตอบแทนอันใดเลย เรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงราคาค่าตอบแทนใดๆ เรื่องบางอย่างขอเพียงต่างฝ่ายต่างรู้แก่ใจว่าตนสมควรทำเช่นไรก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดมากอีก
หนิวโหย่วเต้ายืนมองส่งอยู่ภายในสวน ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย ยังคงใคร่ครวญอยู่ว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของจ้าวสยงเกอหมายความว่าอย่างไร
เงาร่างของก่วนฟางอี๋ก้าวออกมาจากเงามืด เดินเข้ามาแล้วกระซิบถาม “แขกไปแล้วหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบ “อืม” คำหนึ่ง
ก่วนฟางอี๋ถามต่อ “ข้าได้ยินว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มียอดวิชาประจำสำนัก นามว่าเคล็ดกระบี่เมฆขจีใช่หรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองนางคราหนึ่ง ทราบดีว่านางอยากถามอะไร “นับจากบรรพจารย์ผู้บุกเบิกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ถัดลงมาสามรุ่นก็ไม่มีผู้ใดสามารถฝึกให้สำเร็จได้อีก ผู้ที่จะฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ได้ ขั้นแรกคือต้องบรรลุสภาวะในระดับหนึ่งแล้ว ขั้นต่อมาคือต้องมีพรสวรรค์ในการฝึกฝน มิใช่วิชาที่ผู้ใดก็สามารถฝึกให้สำเร็จได้ มิเช่นนั้นสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คงไม่ตกต่ำจนกลายเป็นเช่นนี้ ผ่านมาหลายร้อยปี เขาคือคนแรกในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่ฝึกฝนยอดวิชานี้สำเร็จได้อีกครั้ง!”
ดวงตาก่วนฟางอี๋พลันส่องประกาย “จ้าวสยงเกอหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ
ก่วนฟางอี๋พลันสะท้อนใจเป็นอย่างยิ่ง ส่ายหน้าเอ่ยไปว่า “ข้าล่ะแปลกใจนัก สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เป็นอะไรไป เจ้าก็คนหนึ่ง เขาก็คนหนึ่ง คนที่มีฝีมืออย่างแท้จริงกลับถูกขับไล่ออกจากสำนักกันหมด แต่ตอนนี้กลับอาศัยพึ่งพาสองศิษย์ที่ถูกขับออกจากสำนักคอยช่วยหนุนหลังอย่างลับๆ หากไม่มีพวกเจ้าสองคน สำนักสวรรค์พิสุทธิ์คงล่มสลายไปนานแล้ว ข้าล่ะเศร้าใจแทนสำนักสวรรค์พิสุทธิ์นัก”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าคิดมากไปแล้ว ความเป็นความตายของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยอย่างดูแคลน “เอาเถอะ เข้าใกล้ไม่ได้ ตัดก็ไม่ขาด ในบางมุมแล้วเจ้ากับจ้าวสยงเกอล้วนเป็นคนประเภทเดียวกัน มิเช่นนั้นเจ้าคงไม่มีทางเรียกหาเขา เขาเองก็ไม่มีทางยอมออกมาช่วยเจ้าง่ายๆ คนประเภทนี้ไม่ใช่คนที่จะหวั่นไหวเพราะผลประโยชน์อันใด ก็เหมือนที่เจ้าเคยกล่าวไว้ว่าอะไรนะ อ่อ ใช่แล้ว คุณธรรมคงนิรันดร์! คุณข้าวแดงแกงร้อนที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีต่อพวกเจ้ายากจะตัดขาดได้ รู้จักเจ้ามานานขนาดนี้ ยังไม่เคยมีผู้ใดทำให้เจ้าหงุดหงิดร้อนใจได้เลย ถังอี๋ก็นับว่าเป็นคนหนึ่งกระมัง? เจ้าคนปากแข็ง! เฮ้อ ไม่รู้หมือนกันว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์สั่งสมกุศลใดไว้”
“ทำเหมือนว่าเจ้ารู้จักข้าดีอย่างนั้นแหละ คำพูดคำจาเหมือนคนแก่เข้าไปทุกทีแล้ว!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเยาะแล้วหันหลังเดินจากไป
“เจ้าคนวิปริตสมควรตาย ข้าขอแช่งให้เจ้าอยู่คนเดียวไปจนตาย!”
“เลิกพูดเหลวไหลเถอะ ไปบอกให้ต้วนหู่มาพบข้าหน่อย”
ผ่านไปสักพัก ต้วนหู่ก็มาที่ห้องพักของหนิวโหย่วเต้า ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเรียกหาเขาในเวลานี้ด้วยมีธุระใด
หนิวโหย่วเต้าชี้หน้ากากและชุดลายดอกที่อยู่บนโต๊ะ “ลองสวมดู”
“เอ่อ…” ต้วนหู่พูดไม่ออก จำได้ว่าเป็นอุปกรณ์แปลงโฉมของยอดฝีมือชุดลายดอกคนนั้น แต่ยังคงทำตามคำสั่งอยู่ดี
หลังจากสวมเสร็จ หนิวโหย่วเต้าเดินวนรอบตัวเขาสองรอบ ยิ้มออกมา “รูปร่างใกล้เคียง เพียงอาจจะต้องเสริมโครงหน้าสักหน่อย ต้องโกนหนวดเคราออกด้วย ต้วนหู่ จากนี้ไปเจ้าต้องรับหน้าที่สวมบทบาทนี้”
ก่วนฟางอี๋ที่ยืนกอดอกเฝ้ามองอยู่ด้านข้างหลุดขำออกมา
สีหน้าท่าทางดูเหยียดหยาม แต่ในใจกลับยอมรับนับถือ ไม่รู้เลยว่าสมองของคนผู้นี้เติบโตมาเช่นไร ช่างแตกต่างไปจากคนอื่นนัก
ก่อนหน้านี้ยังไม่เข้าใจก็ไม่ได้ตระหนักถึงอะไร แต่ยามนี้นางพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดหนิวโหย่วเต้าต้องให้จ้าวสยงเกอสวมชุดลายดอกเด่นสะดุดตา ที่แท้ก็เพื่อให้เด่นชัดสะดุดตา ที่แท้ก็เพื่อเพิ่มความยากในการแยกแยะแก่คนนอก พอออกไปปรากฏตัวด้วยชุดนี้ คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวย่อมเข้าใจผิดได้ง่ายๆ…
ฟ้าสว่างแล้ว นอกกำแพงเมืองจังหวัดชิงซาน มีนักโทษหลายสิบคนถูกแขวนห้อยไว้ให้ชาวบ้านเห็น
คราบเลือดบนอาภรณ์เหล่านักโทษแห้งกรังแล้ว เนื้อตัวสกปรก แต่ใบหน้ากลับเช็ดล้างสะอาดสะอ้าน ทำให้คนมองออกได้ง่ายๆ ว่าใครเป็นใคร
หากเป็นคนไม่รู้จักกัน ต่อให้ล้างหน้าสะอาดแค่ไหนก็ไม่รู้จักอยู่ดี ส่วนคนที่รู้จักย่อมจดจำได้ว่าล้วนเป็นคนที่มีตำแหน่งฐานะในสำนักจิตกระจ่างและหอบุปผาล่องทั้งสิ้น มีผู้นำของสองสำนักรวมอยู่ด้วย
ตรวนเหล็กชั้นดีล่ามอยู่บนตัวนักโทษ ต่อให้มีคนเข้ามาช่วยเหลือก็เกรงว่าคงยากจะทำลายตรวนเหล็กให้ขาดได้ในระยะเวลาสั้นๆ
วิธีที่สะดวกที่สุดคือตัดอวัยวะส่วนที่ถูกล่ามทิ้ง แต่หากทำเช่นนั้นการช่วยเหลือก็หมดความหมาย
หน้าไม้ขนาดใหญ่แถวหนึ่งตั้งเรียงอยู่บนกำแพงเมือง พลธนูจำนวนมากผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันออกลาดตระเวนไปมา ผู้บำเพ็ญเพียรที่เปลี่ยนมาสวมชุดทหารก็ปรากฏตัวผลุบๆ โผล่ๆ อยู่บนกำแพงเมืองเช่นกัน
กลุ่มชาวบ้านรวมตัวกันใต้กำแพงเมืองพลางชี้ไม้ชี้มือเอ่ยวิพาก์ษ์วิจารณ์
ในหมู่ชาวบ้านมีบางคนที่ปรากฏสีหน้าคับข้องหมองใจ แต่ยังคงพยายามสะกดอารมณ์ไม่ให้เผยออกไป…
….
ณ คฤหาสน์กระท่อมฟาง ซางซูชิงยังเดินไปไม่ถึงเรือนของหนิวโหย่วเต้าก็เห็นหนิวโหย่วเต้าพาคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาแล้ว
เขาล้างหน้าเกล้าผมแล้ว ดูเหมือนนางจะไม่จำเป็นต้องไปหวีผมให้อีก อันที่จริงคือหนิวโหย่วเต้าไม่ได้นอนเลยทั้งคืน
“เต้าเหยี่ย” แต่ซางซูชิงก็ยังคงเดินเข้าไปทักทาย
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าให้ “อิ๋นเอ๋อร์ยังนอนอยู่อย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงยิ้มแล้วพยักหน้าให้
“เฮ้อ กินอิ่มก็นอน นอนตื่นก็กิน ใช้ชีวิตเหมือนหมูไม่มีผิด ชวนให้คนอิจฉาเหลือเกิน” หนิวโหย่วเต้าทอดถอนใจ ไม่พูดมากอีก ล้วนเป็นคนคุ้นเคยกันทั้งสิ้น ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเกินไป ทักทายเสร็จก็เดินหน้าต่อ
ซางซูชิงตามไปเพราะอยากติดตามสถานการณ์ แต่เดินตามอยู่ด้านหลังเพียงลำพัง เฝ้ามองแผ่นหลังของคนผู้นั้นที่เดินยันกระบี่นำอยู่ด้านหน้าโดยมีกลุ่มคนรายล้อมอยู่
อีกฝ่ายเดินเร็วมากจนดูเหมือนนางจะตามไม่ค่อยทัน ความรู้สึกนี้เป็นเช่นเดียวกับสภาพจิตใจของนาง เต้าเหยี่ยผู้นี้ดูห่างไกลจากนางออกไปเรื่อยๆแล้ว
แต่ก่อนยังคงพูดคุยยิ้มหัวกันได้ แน่นอนว่าตอนนี้ก็พูดคุยยิ้มหัวกันได้อยู่ แต่บรรยากาศดูเหมือนจะเปลี่ยนไปแล้ว คล้ายว่านางจะมองเขาไม่ออกมากขึ้นทุกที
เมื่อก่อนเขาจะทำสิ่งใด นางล้วนมองออกทั้งสิ้น นางทราบเรื่องราวยิบย่อยได้กระจ่างแจ้งง่ายดายนัก แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับเอาแน่เอานอนไม่ได้ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นางไม่อาจทำความเข้าใจได้ เพียงกวักมือก็ทำให้ยอดฝีมือมากมายมารวมตัวกันได้จนนางสับสนมึนงงไปหมด
ในอดีตที่หนิวโหย่วเต้ายังคงเป็นเพียงหนิวโหย่วเต้าคนนั้น สถานะท่านหญิงของนางสูงส่งกว่าอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด
แต่ตอนนี้ดูเหมือนเต้าเหยี่ยจะกลายเป็นเต้าเหยี่ยไปแล้วจริงๆ เสมือนกลายเป็นท้องนภาที่ปกคลุมอยู่เหนือมณฑลหนานโจว อยู่สูงส่งห่างไกล เพียงยิ้มบางๆ ก็ขับไล่สำนักหยกสวรรค์ออกไปได้ เพียงโบกมือเล็กน้อยก็กดหัวสำนักเขามหายานจอมยโสลงไปได้ แม้แต่ยามที่ทางเสด็จพี่พูดคุยกับเต้าเหยี่ยก็ล้วนแฝงความระมัดระวังเอาไว้โดยไม่รู้ตัวแล้ว
ส่วนนางก็รับรู้ได้เช่นกันว่าตอนที่พูดคุยกับเขา ตนก็มีความระมัดระวังขึ้น ก็เหมือนสถานการณ์ในตอนนี้ อีกฝ่ายเดินอาดๆ อยู่ด้านหน้า แต่นางกลับตามไม่ทันแล้ว
ฐานะท่านหญิงจะมีความหมายใดกับอีกฝ่ายเล่า ซ้ำตนยังหน้าตาอัปลักษณ์ถึงเพียงนี้ อีกฝ่ายจะมาต้องตาตนอย่างนั้นหรือ?
พอนึกถึงวาจาที่ตนเอ่ยออกไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบเมื่อวานนี้ ไหนจะการกระทำอันวู่วามไร้เหตุผลบนหอสูงอีก จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าตนช่างโง่นัก โง่เง่าอย่างที่ยากจะให้อภัยตัวเองได้ ในใจรู้สึกอึดอัดทรมานอย่างน่าประหลาด…
ภายในศาลาริมน้ำ มีคนกลุ่มหนึ่งมาถึงก่อนแล้ว เฟ่ยฉางหลิว เซี่ยฮวาและเจิ้งจิ่วเซียวต่างอยู่ที่นี่
“เต้าเหยี่ย!” พอหนิวโหย่วเต้ามาถึง ทั้งกลุ่มก็พากันประสานมือเอ่ยทัก
หนิวโหย่วเต้าเดินตรงเข้าไปหาเกาเซ่าหมิงที่ถูกคุมตัวมา เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคือเกาเซ่าหมิงบุตรชายคนโตของเจ้ากรมการพลเรือนเกาเจี้ยนเฉิงกระมัง?”
เกาเซ่าหมิงแค่นเสียงเย็นชา เบือนหน้าหนี ดูแคลนหมางเมิน
คนที่อยู่ด้านข้างโมโหขึ้นมาทันที ต้องการจะสั่งสอนเขา แต่หนิวโหย่วเต้ายกมือปรามไว้ “อีกฝ่ายเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ อย่าเสียมารยาท แต่ข้าก็แปลกใจเหลือเกิน เจ้าเป็นราชทูตประจำแคว้นจ้าวมิใช่หรือ? ไฉนจึงวิ่งมาลอบสังหารข้าที่จังหวัดชิงซานได้?”
เกาเซ่าหมิงยังคงไม่ปริปาก ท่าทางคล้ายจะสื่อว่าจะฆ่าจะแกงก็เชิญตามสบาย
เขาปากแข็งมาก เมื่อวานนี้ทำอย่างไรก็ไม่ยอมปริปากทั้งสิ้น ทางนี้เกือบจะสืบประวัติของเขาไม่ได้ ยังดีที่พาตัวผู้รอดชีวิตรายอื่นมาระบุตัวเขาได้
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ไม่พูดก็ไม่เป็นไร ขอเพียงเจ้าอยู่ในกำมือข้าก็พอแล้ว ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้ากรมการพลเรือนจะมาช่วยเจ้าหรือไม่ เมื่อวานนี้ให้คนส่งข่าวไปหาบิดาเจ้า คาดว่าเช้านี้คงจะส่งไปถึงจวนตระกูลเกาแล้ว ข้าเรียกค่าไถ่ตัวเจ้าร้อยล้านเหรียญทอง ราคานี้คงไม่ดูหมิ่นเจ้าไปกระมัง?”
คนรอบข้างหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่
ในที่สุดเกาเซ่าหมิงก็เปิดปากแล้ว เอ่ยด้วยสีหน้าเปี่ยมความโกรธเกรี้ยว “ไอสารเลว!”
“หากยอมบอกข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ยินดีชี้ตัวราชสำนักให้ ข้าก็จะมอบทางรอดให้เจ้า! เจ้าลองเก็บไปคิดดูให้ดี” หนิวโหย่วเต้าว่าพลางโบกมือเล็กน้อย ให้คนลากตัวเขาออกไป
พอเกาเซ่าหมิงไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็มองไปที่สามเจ้าสำนัก เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “บนตัวผู้อาวุโสแห่งสำนักจิตกระจ่างและหอบุปผาล่องน่าจะไม่ถึงกับไม่มีของมีค่าอยู่กระมัง?”
สามเจ้าสำนักแลกเปลี่ยนสายตากัน เจิ้งจิ่วเซียวกระแอมแห้งๆ เอ่ยไปว่า “ก็มีไม่เท่าไร รวมๆ กันแล้วก็ไม่กี่หมื่นกี่เหรียญทองเท่านั้น เตรียมจะมาหารือเรื่องการแบ่งสันปันส่วนกับเต้าเหยี่ยอยู่พอดี”
เมื่อวานก่อนจะต่อสู้กัน พวกเขาก็ไม่เคยคิดเอาไว้เลยเช่นกัน จนกระทั่งตรวจยึดตั๋วแลกทองของโรงฝากเงินใต้หล้ามาได้ ถึงได้ตระหนักขึ้นมาได้ว่าสำนักจิตกระจ่างและหอบุปผาล่องปกครองมณฑลหนานโจวมานานขนาดนี้ ย่อมมีทรัพย์สินอยู่ในระดับหนึ่ง หลังจากสู้เสร็จถึงพบว่าได้กำไรมาไม่น้อยทีเดียว ถึงแม้จะประสบความสูญเสียไปมากก็ตาม
“จะแบ่งอย่างไรก็แล้วแต่พวกท่านเถอะ ข้าไม่เข้าไปยุ่งแล้วกัน นี่เป็นสิ่งที่สามสำนักควรได้รับหลังจากทุ่มเทกำลังออกไป” หนิวโหย่วเต้าว่าจบก็โบกมือเล็กน้อย ให้ก่วนฟางอี๋มอบแหวนกระดิ่งควบคุมวิหคยักษ์สามตัวแก่พวกเขา “ รับไปสำนักละตัวเถอะ วันหน้าจะได้เดินทางไปจัดการธุระได้สะดวก”