ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 63 เรื่องนี้มีเงื่อนงำ
ตอนที่ 63 เรื่องนี้มีเงื่อนงำ
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ไป๋เหยางุนงงเล็กน้อย เจ้าสาวพังห้องหอตามฆ่าเจ้าบ่าวหรือ?
ซางซูชิงและหลานรั่วถิงที่อยู่นอกเรือนได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงวิ่งเข้ามาในเรือน ทั้งคู่ก็งุนงงเช่นกัน ซางเฉาจงวิ่งออกมาในสภาพสองเท้าเปลือยเปล่าสวมกางเกงเพียงตัวเดียวเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?
สิ่งที่ทำให้ซางซูชิงตกตะลึงยิ่งกว่านั้นคือเฟิ่งรั่วหนานที่ถือกระบี่ตามไล่ล่าอยู่ด้านหลังอย่างบ้าคลั่ง วิ่งออกมาทั้งๆ ที่แต่งตัวเช่นนี้หรือ? เท้าเปลือยเปล่า ปลีน่องขาวเนียนที่อยู่ใต้กระโปรงเผยออกมาเป็นครั้งคราว ดูเหมือนจะไม่ได้สวมกางเกงไว้ด้านใน สาบเสื้ออ้าเผยอเผยผิวขาวผ่องด้านใน…ซางซูชิงไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ สำหรับนางแล้ว การเผยแขนขาต่อหน้าคนนอกนับเป็นเรื่องเสื่อมเสียผิดจารีต สตรีคนหนึ่งจะวิ่งโทงๆ ออกมาด้านนอกในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร?
นางจินตนาการไม่ออกเลย ถ้าหากท่านพ่อท่านแม่ยังมีชีวิตแล้วได้พบลูกสะใภ้เช่นนี้จะบ้าตายหรือไม่ คาดว่าเสด็จพ่อคงสั่งให้ยิงธนูสังหารเสียกระมัง!
หลานรั่วถิงตะลึงตาค้าง พฤติกรรมของเฟิ่งรั่วหนานขัดต่อแนวคิดจารีตสตรีในยุคนี้ของเขา เขายากจะจินตนาการว่าได้ว่าบุตรีตระกูลขุนนางใหญ่อย่างตระกูลเฟิ่งจะเป็นเช่นนี้ไปได้ นึกภาพไม่ออกเลยจริงๆ!
ซางเฉาจงวิ่งเข้ามาทางนี้ ลำพังมือเปล่าเขาก็สู้นางไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนที่นางถืออาวุธมาด้วยเลย มีแต่ต้องรีบหนีเท่านั้น!
“ไอ้สุนัขชั้นต่ำ หยุดวิ่ง เอาชีวิตเจ้ามา!” เฟิ่งรั่วหนานที่ไล่ตามหลังมากรีดร้องเสียงกร้าว
ผู้บำเพ็ญเพียรบนหลังคารอบข้างที่ได้เห็นฉากนี้ต่างพากันพูดไม่ออก
ไป๋เหยาที่ได้สติกลับมาพลันเคลื่อนตัว พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว โผแหวกอากาศ เกิดเสียงลมหวีดหวิว เฟิ่งรั่วหนานหันมามองแวบหนึ่งตวัดกระบี่ฟาดฟัน แม้ไป๋เหยาจะเป็นพวกเดียวกันนางก็ไม่สนใจแล้ว ฝักกระบี่ในมือไป๋เหยาสั่นไหวเล็กน้อย เกิดเสียงดังฉึบ ฝักกระบี่สอดรับกระบี่ที่ฟันเข้ามา เขายื่นมือออกไปคว้าไหล่เฟิ่งรั่วหนานไว้ ตรึงเฟิ่งรั่วหนานไว้กับที่ เอ่ยเสียงเข้ม “รั่วหนาน อย่าก่อเรื่อง!” พลางเลื่อนฝักกระบี่ออกไปอีกทาง ชิงกระบี่จากมือเฟิ่งรั่วหนาน
“ปล่อยข้า! ปล่อยข้านะ! ข้าจะฆ่าเขา ข้าจะฆ่าเขา…” เฟิ่งรั่วหนานดิ้นรนอย่างคลุ้มคลั่ง ขอบตาแดงเรื่อ ในสายตาที่มองไปทางซางเฉาจงคล้ายมีประกายน้ำตาปรากฏขึ้นมารางๆ จ้องซางเฉาจงไม่ละสายตา
ไป๋เหยาขมวดคิ้ว “รั่วหนาน เป็นอะไร?”
เฟิ่งรั่วหนานกัดฟันกรอด “ไอ้คนถ่อยต่ำช้า!”
เห็นนางไม่ยอมพูดอะไรให้ชัดเจน ไป๋เหยาก็พอจะคาดเดาบางอย่างได้แล้ว คาดว่าคงเกิดเรื่องที่นางไม่อยากกระทำขึ้น เขารู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง เจ้าออกเรือนกับเขาแล้ว หากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นจริงๆ ก็เป็นเรื่องปกติ เจ้าจะฆ่าคนเขาเพราะเหตุนี้หรือ? หากข่าวแพร่ไปทั่วหล้า ไปถึงไหนก็แก้ตัวไม่ได้ทั้งนั้น!
แต่เขาก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน เมื่อคืนตอนที่ต่อสู้กันมิใช่ว่าเจ้าเป็นฝ่ายได้เปรียบหรอกหรือ ใครจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่ยอมให้ผู้ใดสอดมือเข้าแทรกมิใช่หรือ? หากเจ้าไม่สมยอม แล้วเขาจะทำอันใดเจ้าได้? หรือว่าจะถูกทำอะไรหลังจากหลับไปแล้ว…เจ้าไม่น่าจะประมาทขนาดนั้นนี่นา?
นางไม่ยอมพูด อีกทั้งเป็นเรื่องในห้องหอตัวไป๋เหยาเองก็ไม่สะดวกจะซักถาม เขาหันไปส่งสายตากับทางเหวินซินและเหวินลี่ที่ตระหนกเสียขวัญอยู่เล็กน้อย จะปล่อยให้เฟิ่งรั่วหนานยืนอยู่ข้างนอกเช่นนี้ได้อย่างไร เขาจึงใช้พลังบังคับลากตัวเฟิ่งรั่วหนานกลับไป
ทางด้านซางเฉาจงที่วิ่งไปถึงปากประตูและได้รับการปกป้องคุ้มกันจากหลานรั่วถิงและซางซูชิง รวมถึงองครักษ์เฝ้าประตูอีกหลายคนก็รู้สึกโล่งใจ ชีวิตนี้เขาไม่เคยอับอายขายหน้าขนาดนี้มาก่อนเลย
พอเห็นเฟิ่งรั่วหนานถูกคุมตัวไปแล้ว หลานรั่วถิงจึงหันกลับมา มองดูซางเฉาจงที่อยู่ในสภาพที่ดูไม่ค่อยได้ จึงสั่งให้องครักษ์ที่เข้าเวรรีบถอดผ้าคลุมกันลมออก นำมาคลุมร่างซางเฉาจง ซ้ำยังมีองครักษ์นายหนึ่งถอดรองเท้าออกมาให้ซางเฉาจงยืมใส่แก้ขัดไปก่อนด้วย
หลานรั่วถิงและซางซูชิงอารักขาซางเฉาจงกลับไปยังเรือนพำนักของตนที่อยู่อีกทาง
ระหว่างทาง หลานรั่วถิงถามหยั่งเชิงดู “ท่านอ๋อง สำเร็จแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เห็นได้ชัดว่าเขาก็มองบางอย่างออกเช่นกัน
เรื่องนี้ค่อนข้างพูดยากสำหรับซางเฉาจง เขาพยักหน้าเล็กน้อย ถือว่ายอมรับแล้ว แต่เมื่อเห็นน้องสาวอยู่ข้างกายจึงไม่สะดวกจะพูดอันใดให้ชัดเจนได้ ถึงอย่างไรก็น้องสาวก็ยังเป็นสตรีที่ยังมิได้ออกเรือน
ทันทีที่เขาพยักหน้า ซางซูชิงก็หน้าแดงขึ้นมา ทว่าในใจยังคงฉงนอยู่ เฟิ่งรั่วหนานแสดงออกชัดเจนว่าไม่ยินยอม แล้วนางปล่อยให้พี่ชายทำสำเร็จได้อย่างไร?
พอกลับมาถึงเรือนพำนักของตน หลานรั่วถิงให้ซางเฉาจงเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องก่อนแล้วค่อยคุยกัน
ซางเฉาจงกลับกระแอมคราหนึ่ง เอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ เข้ามาหน่อยสิ”
หลานรั่วถิงเหลือบมองซางซูชิงทันที ฟังออกว่าอีกฝ่ายมีเจตนาจะหลบเลี่ยงซางซูชิง แม้นจะไม่ทราบว่าต้องการปิดบังเรื่องใดจากซางซูชิง แต่ก็ยังคงพยักหน้าตอบรับ ตามเขาเข้าไป
ซางซูชิงมองประตูที่ถูกปิดลง รู้สึกได้เช่นกันว่าพี่ชายมีเจตนาหลบเลี่ยงตน จึงเป็นฝ่ายถอยออกไปเอง
ซางเฉาจงที่อยู่ภายในห้องนำเสื้อผ้าของตนออกมา ค่อยๆ สวมใส่ คิ้วขมวดมุ่นอยู่ตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องในใจ หลานรั่วถิงรอคอยอยู่ด้านข้าง
กระทั่งเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อย ซางเฉาจงวางสองมือลงบนโต๊ะ ก้มศีรษะนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ จากนั้นถึงจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาออกมา “ท่านอาจารย์ เรื่องนี้มีบางอย่างแปลกๆ”
หลานรั่วถิงค่อยๆ เดินเข้ามาหยุดข้างกายเขา เอ่ยถาม “อย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางเฉาจงเริ่มเล่า “ความจริงเมื่อคืนข้าถูกเฟิ่งรั่วหนานคุมตัวไว้แล้ว จากนั้นเห็นแรงแขนของนางค่อยๆ คลายลง ข้าหลงนึกว่านางคงใกล้หมดแรงแล้ว จึงออกแรงดิ้นทันที พลิกเป็นฝ่ายจัดการนาง จากนั้นก็…ก็นั่นแหละ! หลังจากจัดการเรียบร้อย ข้าเองก็นึกว่านางคงยอมรับชะตากรรมแล้ว ทว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน ดูเหมือนพละกำลังของนางจะฟื้นคืนมาอีกครั้ง เริ่มด่าทอข้า บอกว่าข้าวางยานาง…สถานการณ์หลังจากนั้นท่านก็ได้เห็นแล้ว”
“วางยาหรือ?” หลานรั่วถิงฉงน “ท่านอ๋องแน่ใจหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางเฉาจงเอ่ยเสียงขรึม “เมื่อคืนถูกสตรีนางนั้นยั่วโมโห ด้วยความวู่วามจึงไม่ทันสังเกต ตอนนี้พอย้อนนึกถึงสภาพของนางเมื่อคืนนี้ มันก็ค่อนข้างผิดปกติจริงๆ ตอนแรกยังเรี่ยวแรงมหาศาล ทว่าต่อมา…ต่อมากลับปล่อยตัวโอนอ่อนตาม เรื่องนี้มีบางอย่างแปลกๆ จริงๆ เป็นไปได้มากว่าที่คำพูดของนางจะเป็นความจริง” เขาค่อยๆ หันมาหา เอ่ยถามหยั่งเชิงว่า “ใช่ฝีมือของทางฝั่งเราหรือไม่”
หลานรั่วถิงรีบโบกมือปฏิเสธ เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกเราจะใช้วิธีเช่นนี้ได้อย่างไร อีกอย่าง สุราอาหารทั้งหมดของที่นี่คนของจวนผู้ว่าการเป็นคนนำมาส่งให้ พวกเราก็กังวลเช่นกันว่าหากพวกเขาเล่นเล่ห์อะไรจะสายเกินแก้ การจัดแจงในห้องหอก็มิได้ผ่านมือพวกเราเลย ไม่มีทางเป็นฝีมือของพวกเราได้”
ซางเฉาจงเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “แต่ทางจวนผู้การคงไม่ทำแบบนี้กับนางกระมัง?”
“ก็จริงพ่ะย่ะค่ะ หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจริง เช่นนั้นเป็นฝีมือผู้ใด…” หลานรั่วกล่าวมาถึงตรงนี้ก็ชะงักไป แววตาวูบไหว คล้ายจะนึกอะไรได้ สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย เขานึกถึงพฤติกรรมของหนิวโหย่วเต้าเมื่อคืนนี้ ทุกคนล้วนกังวลว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับซางเฉาจง มีเพียงหนิวโหย่วเต้าที่บอกว่าไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรขึ้น เกลี้ยกล่อมให้ทุกคนกลับไป
เมื่อคืนเขาก็ยังแปลกใจอยู่ เห็นๆ อยู่ว่าเฟิ่งรั่วหนานกำลังแก้แค้น เหตุใดหนิวโหย่วเต้าถึงมั่นใจว่าจะไม่เกิดเรื่องกับซางเฉาจงเล่า ตอนนี้พอได้ยินซางเฉาจงว่ามาแบบนี้ เขาก็คล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา เอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “เกรงว่าคงเป็นคนผู้นั้นเสียแล้ว”
ซางเฉาจงลุกขึ้นมาทันที ถามด้วยความสงสัย “ผู้ใด?”
หลานรั่วถิงถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “ก็ผู้ที่ทำให้ท่านอ๋องได้แต่งงานและเร่งเร้าเรื่องในห้องหอให้ท่านอ๋อง หากว่ากันตามหลักเหตุผล ไม่มีใครอื่นแล้วนอกจากคนผู้นั้น”
ซางเฉาจงตะลึงงัน “ท่านอาจารย์หมายถึงหนิวโหย่วเต้าหรือ?”
หลานรั่วถิงกล่าวว่า “เมื่อคืนมีสัญญาณบ่งชี้หลายอย่าง ตอนนี้พอนำมาเชื่อมโยงกัน มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกี่ยวข้องกับเขาพ่ะย่ะค่ะ”
ซางเฉาจงรู้สึกสงสัย “ไหนท่านอาจารย์บอกว่าการจัดแจงในห้องหอมิได้ผ่านมือทางเราเลยมิใช่หรือ? แล้วเขาจะหาโอกาสเล่นลูกไม้นี้ได้อย่างไร? อีกอย่าง สุราอาหารในห้องหอข้าก็กินเหมือนกัน ไยเฟิ่งรั่วหนานจึงมีอาการแต่ข้าไม่มีเล่า?”
หลานรั่วถิงถอนหายใจดังเฮ้อ จากนั้นกล่าวว่า “เขาทำได้อย่างไรข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน งูมีทางของงู หนูมีทางของหนู สรุปคือมิใช่วิถีทางทั่วไปแน่ เต้าเหยี่ยคนนี้ของพวกเรา วิธีการจัดการเรื่องราวเจือความชั่วร้ายอยู่บ้าง จากที่ก่อนหน้านี้ไปหาเฟิ่ง…พระชายาเพื่อยืมเงินมาจัดการเรื่องสินสอดก็ทำให้มองออกแล้วว่าเขาเป็นคนที่ทำได้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย คล้ายจะไม่ใช่คนซื่อตรงมีคุณธรรม แต่คนผู้นี้ก็มีความสามารถจริงๆ ความรู้และมุมมองเขาคล้ายจะเหนือกว่าผู้อื่น เป็นคนที่มากความสามารถ! ข้าสงสัยมาโดยตลอดว่าด้วยวัยของเขาแล้ว หมู่บ้านในหุบเขาเล็กๆ แห่งหนึ่งจะทำให้เขามีความสามารถเช่นนี้ได้หรือ? และก็ไม่คล้ายว่าผ่านการอบรบสั่งสอนออกมาจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เลย ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์กักบริเวณมาโดยตลอด เฮ้อ ท่านตงกัวรับตัวศิษย์แบบไหนเข้ามากันแน่! มีคนเช่นนี้อยู่ข้างพวกเรา ไม่รู้เลยว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่ แต่จากที่เห็นในตอนนี้ เหมือนจะมิใช่เรื่องเลวร้ายอันใด กลับคอยช่วยเหลือพวกเราอยู่จริงๆ”
ซางเฉาจงคล้ายจะร้องไห้ออกมา ใบหน้าแหยเก “นี่มันเรื่องอะไรกัน แล้วข้าจะมีหน้าไปเจอใครเขาได้…”
หลังการสนทนาจบสิ้นลง หลานรั่วถิงก็ออกไป ปล่อยให้เขาหดหู่ซึมเซาอยู่ในห้องตามลำพัง
พอพบซางซูชิงที่อยู่ด้านนอก หลานรั่วถิงได้เชิญซางซูชิงไปสนทนากันเงียบๆ ที่ด้านข้าง
“เสด็จพี่ไม่เป็นไรใช่ไหม?” ซางซูชิงเอ่ยถามด้วยความห่วงใย
หลานรั่วถิงส่ายหน้า อึกอักลังเลเล็กน้อย คล้ายว่ามีถ้อยคำบางอย่างที่ไม่รู้ว่าสมควรพูดออกมาหรือไม่
ซางซูชิงเห็นท่าทีของเขา จึงเอ่ยออกมาว่า “ท่านอาจารย์มีเรื่องใดก็ว่ามาตามตรงเถอะ ระหว่างพวกเราไม่จำเป็นต้องลำบากใจเช่นนี้”
หลานรั่วถิงเงียบไปเล็กน้อย จากนั้นกล่าวว่า “กระหม่อมอยากเตือนท่านหญิงสักประโยค หากไม่จำเป็นล่ะก็ พยายามอย่าอยู่ตามลำพังกับหนิวโหย่วเต้านะพ่ะย่ะค่ะ”
ซางซูชิงแปลกใจ “ไยท่านอาจารย์ถึงกล่าวเช่นนี้?”
หลานรั่วถิงใคร่ครวญเล็กน้อย ยังคงกระซิบเตือนไปว่า “เรื่องในห้องหอมีบางอย่างแปลกๆ เป็นไปได้สูงว่าเฟิ่งรั่วหนานจะถูกหนิวโหย่วเต้าวางยา มิเช่นนั้นเกรงว่าท่านอ๋องคงทำไม่สำเร็จ”
“หา…” ซางซูชิงหลุดอุทาน เมื่อรู้ตัวว่าเสียกริยาไปบ้าง จึงปิดปากของตัวเองที่อยู่ภายใต้ม่านแพร จากนั้นกล่าวเสียงเบาๆ ขึ้นมา “จะเป็นไปได้อย่างไร”
หลานรั่วถิงยืนยัน “น่าจะเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องก็เพิ่งทราบหลังเกิดเรื่องไปแล้ว…” เขาเล่าย้อนบทสนทนาที่คุยกับซางเฉาจงคร่าวๆ
ซางซูชิงตกอยู่ในภวังค์ความคิด พยายามนึกเชื่อมโยงถึงท่าทีแปลกๆ ของหนิวโหย่วเต้าเมื่อคืนนี้ แล้วก็เข้าใจในเจตนาของหลานรั่วถิงเช่นเดียวกัน เขากังวลว่านางจะเสียท่าเช่นเดียวกับเฟิ่งรั่วหนาน นางถอนหายใจเบาๆ “ท่านอาจารย์คิดมากไปแล้ว ยังไม่ต้องไปพูดถึงว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือเขาหรือเปล่า เอาแค่ว่าด้วยรูปโฉมของข้าเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่มีทางเป็นไปได้” นางสื่อถึงรูปโฉมอันอัปลักษณ์ของตน
หลานรั่วถิงกล่าวว่า “เพียงเตือนให้ท่านหญิงระวังไว้บ้าง คนผู้นี้ค่อนข้างร้ายกาจพ่ะย่ะค่ะ” จากนั้นประสานมือคำนับ หันหลังเดินจากไป
ซางซูชิงมองส่งเขา นิ่งเงียบไปพักใหญ่…
…….
หยวนกังมาเยือนเรือนเล็กอันเป็นที่พำนักของเหล่าสมณะวัดหนานซานอีกครั้ง หยวนฟางโค้งคำนับอยู่ตรงหน้าเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เตรียมตัวพร้อมสำหรับการถูกทุบตีแล้ว ทว่าหยวนกังกลับไม่ได้รีบร้อนลงมือกับเขา หากแต่มองสำรวจเขาอย่างแปลกใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าพอภิกษุเฒ่าโกนหนวดเคราขาวโพลนอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวออกจนเกลี้ยงแล้ว กลับดูอ่อนเยาว์ขึ้นไม่น้อยเลย แทบจำไม่ได้…
ภายในห้องหอยุ่งเหยิงเละเทะ เฟิ่งรั่วหนานที่นั่งอยู่ริมเตียงน้ำตาอาบหน้า แล้วก็ไม่มีที่จะนั่งแล้วจริงๆ ทั้งเก้าอี้และโต๊ะล้วนพังเสียหายหมด
ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนปรากฏขึ้นมาในหัวเป็นครั้งคราว สถานการณ์ที่เดิมทีอยู่ในการควบคุมของนางจู่ๆ ก็พลิกผันไป ทั่วทั้งร่างกายไร้เรี่ยวแรง พอนึกถึงภาพอันน่าอับอายที่ถูกซางเฉาจงรวบหัวรวบหาง ภายในใจก็รู้สึกยากจะทนรับได้จริงๆ นางอยากจะโขกหัวฆ่าตัวตายใจแทบขาดแล้ว ไม่ทราบเช่นกันว่าตนประสบเคราะห์หามยามซวยอันใดเข้า ระยะนี้ถึงเกิดเรื่องอัปยศอดสูขึ้นอย่างต่อเนื่อง เกิดความคิดอยากตายขึ้นมาจริงๆ
เหวินซินและเหวินลี่เก็บกวาดเศษซากเละเทะภายในห้องอย่างระมัดระวัง ทว่าเผลอเตะโดนกาสุราสีทองที่หล่นอยู่บนพื้นเข้า เกิดเสียงดังกังวาน ทำให้สองสาวใช้สะดุ้งโหยง เฟิ่งรั่วหนานหันขวับมา จ้องมองกาสุรา คิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อย พลันเช็ดน้ำตาทันที เอ่ยถามว่า “สุรานี้มาจากไหน”
……………………………………………………….