ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 64 ถั่วเหลือง
ตอนที่ 64 ถั่วเหลือง
สาเหตุที่ถามเช่นนี้ เพราะมีเรื่องหนึ่งที่ช้าเร็วนางก็ต้องนึกออก เพียงแต่เมื่อเห็นกาสุราจึงทำให้นึกออกได้เร็วขึ้น เพราะหลังจากมาถึงที่นี่นางก็แทบจะไม่ได้ดื่มน้ำเลย ดื่มสุราแค่จอกเดียวตอนประกอบพิธีเท่านั้น แล้วพลาดท่าได้อย่างไร หรือว่าปัญหาจะอยู่ที่สุรา?
เหวินซินเอ่ยตอบ “ส่งมาจากทางจวนเจ้าค่ะ”
เฟิ่งรั่วนานถามต่อ “สุรานี้ผ่านการตรวจสอบหรือยัง?”
เหวินซินตอบอย่างชัดเจน “บ่าวเห็นกับตาว่าท่านพ่อบ้านพาคนมาตรวจสอบสุราอาหารที่จัดเตรียมให้ทางนี้แล้ว น่าจะไม่มีปัญหาอันใดเจ้าค่ะ”
เฟิ่งรั่วหนานเงียบไป ทางจวนผู้ว่ากังวลว่าราชสำนักจะลงมือกับซางเฉาจง ย่อมตรวจสอบดูอย่างละเอียดแน่นอน น่าจะไม่มีปัญหาอะไร อีกทั้งถ้าว่ากันตามหลักเหตุผลแล้ว ทางจวนก็ไม่น่าจะทำกับนางเช่นนี้ เช่นนั้นปัญหามันอยู่ตรงไหนล่ะ?
นางซักถามอีกครั้ง “ระหว่างทางสุรานี้เคยผ่านมือคนอื่นบ้างหรือไม่?
ทั้งสองส่ายหน้าพร้อมกัน เหวินซินตอบว่า “สุราในส่วนที่ใช้ต้อนรับแขก บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่สุราที่จัดส่งมาให้ทางห้องหอเป็นสุราชั้นเลิศ ส่งตรงถึงมือพวกเราโดยเฉพาะเจ้าค่ะ ไม่เคยผ่านมือคนอื่นเลยเจ้าค่ะ”
เฟิ่งรั่วหนานถามเสียงเข้ม “แน่ใจนะว่าไม่เคยมีผู้ใดแตะต้องมาก่อน”
ทั้งสองต่างคิดในใจว่านี่มันเรื่องอะไรกัน หรือว่าจะมีคนวางยาในสุรา? จากนั้นส่ายหน้าพร้อมกันอีกครั้ง
เช่นนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เฟิ่งรั่วหนานบ่นกระปอดกระแปดอยู่ในใจ เลื่อนสายตามองไปที่เชิงเทียน ค่อยๆ ลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้ ไม่กล้าเดินเร็วเกินไป เมื่อคืนถูกใครบางคนเคี่ยวกรำอย่างหนัก เช้านี้ไล่ตามสังหารด้วยความโกรธแค้นจึงไม่ทันรู้สึกตัว นางเดินไปหยุดตรงเชิงเทียน พบว่าเทียนแดงทั้งสองเล่มเผาไหม้จนหมดแล้ว เหลือเพียงน้ำตาเทียนที่หยดประปรายเป็นดวงๆ
นางใช้มือแงะน้ำตาเทียนชิ้นหนึ่งออกมา ยกขึ้นจ่อดมตรงปลายจมูก ขณะที่กำลังจะสั่งให้คนนำไปตรวจสอบดู จู่ๆ เหวินลี่ก็อุทานขึ้นมา “คุณหนูเจ้าคะ ดูเหมือนสุรานี้จะเคยผ่านมือคนอื่นเจ้าค่ะ”
เฟิ่งรั่วหนานหันขวับทันที
เหวินซินถามด้วยความแปลกใจ “เคยด้วยหรือ?”
เหวินลี่ย้อนถาม “พี่ลืมไปแล้วหรือ? เมื่อวานตาเฒ่าเคราขาวคนนั้นมาขวางทางพวกเราไว้แล้วขอตรวจสอบมิใช่หรือ?”
เหวินซินผงะไปแวบหนึ่ง นางนึกออกแล้วเช่นกัน รีบพยักหน้ายืนยันกับเฟิ่งรั่วหนาน สื่อว่าเป็นความจริง
เฟิ่งรั่วหนานกัดฟันเอ่ย “ตาเฒ่าเคราขาวอะไรนั่นมาจากไหน?”
เหวินลี่กล่าวตอบ “บ่าวก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ เขาบอกว่าเขาเป็นองครักษ์ของท่านอ๋อง”
พอได้ยินว่าเป็นคนของซางเฉาจง เฟิ่งรั่วหนานก็ซักถามทันที “รีบพูดมา เรื่องราวเป็นมาอย่างไร?”
“เมื่อคืน ตอนที่พวกบ่าวสองคนยกสุราเข้ามา…” เหวินลี่บอกเล่าสถานการณ์ในตอนนั้นอย่างละเอียด
เฟิ่งรั่วหนานที่ฟังจบเดินอาดๆ เข้าไป หยิบกาสุราบนพื้นขึ้นมาเปิดฝาแล้วดมเล็กน้อย ไม่ได้กลิ่นผิดปกติอันใด จึงมองเข้าไปด้านใน พบว่าสุราส่วนใหญ่หกไปเกือบหมดแล้ว เหลืออยู่ด้านในแค่นิดหน่อย นางยื่นกาสุราไปตรงหน้าเหวินซิน เอ่ยเสียงเข้ม “ดื่มซะ!”
“เอ่อ…” เหวินซินตกตะลึง ไม่ทราบว่านางคิดจะทำอะไรกันแน่ เดิมทีไม่นึกว่าสุรานี้จะมีปัญหาอะไร แต่พอเฟิ่งรั่วหนานทำตัวมีลับลมคมในเช่นนี้ นางก็ชักจะกลัวแล้ว แต่นางไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงรับมา ยกพวยกาขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทา ค่อยๆ เทเข้าปากตัวเอง กลั้นใจกลืนลงไป แต่ปริมาณสุราในกาก็เหลืออยู่เพียงอึกเดียวเท่านั้น
จากนั้นก็รอกันต่อไป เฟิ่งรั่วหนานเดินกลับมายังริมเตียง นั่งลงไปพลางหลับตา เฝ้ารออย่างเงียบๆ นางดูเหมือนจะใจเย็นลงแล้ว
เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา[1] จู่ๆ เหวินซินเอ่ยขึ้นมาอย่างอ่อนระโหยโรยแรง “คุณหนู…”
เฟิ่งรั่วหนานลืมตามองทันที มองเห็นเหวินซินตัวส่ายโงนเงน ร่างกายอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรง ล้มลงบนพื้นเสียงดังตุบ
“ท่านพี่” เหวินลี่ตกใจ รีบก้มลงไปประคอง
เฟิ่งรั่วหนานก็รีบก้าวเข้ามาตรวจดูอาการ เหวินซินนอนแผ่หลา ท่าทางไร้เรี่ยวแรง สองตาหรี่ปรือคล้ายคนง่วงหงาวหาวนอน
พอนางเห็นก็เข้าใจทันที สภาพไม่ต่างไปจากตัวนางเมื่อคืนเลย สุรานั้นมีปัญหาจริงๆ ด้วย!
“คุณหนู ท่านพี่เป็นอะไรไปเจ้าคะ?” เหวินลี่ถามด้วยความร้อนรน
เฟิ่งรั่วหนานโบกมือสื่อให้นางพยุงเหวินซินขึ้นไปบนเตียง ตัวนางเองก็ยื่นมือเข้าช่วยอีกแรง พอวางเหวินซินลงบนเตียงแล้ว เฟิ่งรั่วหนานหันมาคุยกับเหวินลี่ “วางใจเถอะ นางไม่เป็นไร ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าเฒ่าเคราขาวคนนั้นชื่ออะไร?”
เหวินลี่ส่ายหน้า “บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ”
เฟิ่งรั่วหนานถามต่อ “ถ้าพบเขาอีกครั้ง เจ้าจะจำได้หรือไม่?”
เหวินลี่พยักหน้ารัวๆ “จำได้เจ้าค่ะ”
เฟิ่งรั่วหนานกัดฟันกรอด บ่นพึมพำถ้อยคำหยาบโลนที่มีเพียงตัวนางเท่านั้นที่เข้าใจ อารมณ์คล้ายจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เริ่มค้นเสื้อผ้าของตนออกมาสวมใส่
ตอนที่ตามไล่ล่าซางเฉาจงก่อนหน้านี้ นางไม่ได้สวมชุดชั้นในไว้เลย สวมเพียงชุดกระโปรงชั้นนอกตัวนี้ เรื่องเช่นนี้สตรีทั่วไปในยุคนี้ไม่กล้าทำกันจริงๆ มิเสียทีที่นางเป็นสตรีที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางบุรุษมาเป็นเวลานาน…
…….
ณ จวนผู้ว่าการ เฟิ่งหลิงปอและเผิงอวี้หลานนั่งกินอาหารเช้าที่โต๊ะด้วยกัน ด้านข้างมีคนคอยรายงานสถานการณ์ของทางเฟิ่งรั่วหนานอยู่
พอได้ยินว่าเฟิ่งรั่วหนานถีบซางเฉาจงกระเด็นออกมาจากห้องหอตั้งแต่เช้าตรู่ ถือกระบี่ตามไล่ฆ่าไปตลอดทาง สองสามีภรรยาต่างถือตะเกียบค้างไว้ด้วยความตกตะลึง เหงื่อตกเล็กน้อย ทราบดีว่าบุตรสาวของบ้านตนดุร้าย แต่ไม่คิดเลยว่าจะดุร้ายขนาดนี้
เฟิ่งหลิงปอโบกมือบอกให้คนที่มารายงานถอยออกไป ยิ้มเจื่อนพลางส่ายหน้าเล็กน้อย จากนั้นก้มหน้ากินอาหารเช้าต่อ
แต่เผิงอวี้หลานกลับมีสีหน้ากังวล เอื้อมมือไปแย่งตะเกียบจากมือเขา เอ่ยว่า “เมื่อคืนตีกัน เช้ามาก็ถือกระบี่ไล่ล่าอีก วุ่นวายถึงขนาดนี้แล้ว ท่านยังมีอารมณ์กินต่ออีกหรือ?”
เฟิ่งหลิงปอผายมือพลางเอ่ยว่า “แล้วจะให้ทำอย่างไร? เรื่องในครอบครัวของคนสองคน ต่อให้เป็นขุนนางเที่ยงธรรมก็ยากจะตัดสินได้ ถ้ากินข้าวไม่ลงเพราะเรื่องแค่นี้มิต้องหิวตายกันหมดหรือ? อีกอย่างนะ สถานการณ์มันก็เห็นชัดๆ กันอยู่ ซางเฉาจงมิใช่คู่ต่อสู้ของลูกสาวเจ้าเลย เอาชนะลูกสาวเจ้าไม่ได้ ลูกสาวเจ้าไม่มีทางเสียเปรียบหรอก คนที่จะถูกทุบตีคือซางเฉาจงโน่น เจ้ายังมีอันใดต้องกังวลอีก?”
เผิงอวี้หลานถลึงตาพลางเอ่ยว่า “นี่ท่านพูดอันใดอยู่ จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ก็คงมิได้ใช่ไหมล่ะ?
เฟิ่งหลิงปอถอนหายใจ กล่าวไปว่า “ถ้าจะให้ข้าพูดล่ะก็ เจ้าไม่ควรให้นางฝึกวรยุทธ์ตั้งแต่แรกแล้ว ต้องขอบคุณซางเฉาจงด้วยซ้ำที่ยอมแต่งกับนาง หากเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปคงทนรับหมัดเท้าของนางไม่ไหวแน่ เกรงว่าเจ้าบ่าวอาจถูกลูกสาวเจ้าทุบตีจนตายทั้งเป็นในคืนเข้าหอก็เป็นได้ แบบนั้นต่างหากถึงจะกลายเป็นขี้ปากคนเข้าจริงๆ!”
เผิงอวี้หลานเอ่ยด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “มาพูดเอาตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร ท่านลองคิดดูสิ ถ้าต่อไปซางเฉาจงดีกับนางก็แปลกแล้ว”
เฟิ่งหลิงปอก้มหน้าหลุบตา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เจ้าคิดว่าถ้าไม่ตีกันแล้วจะดีกันได้หรือ? ซางเฉาจงแต่งกับรั่วหนานด้วยจุดประสงค์ใดเจ้าเองก็รู้ดี วางใจเถอะ ก็อย่างที่เคยพูดไป ขอเพียงเขายังพึ่งพาตระกูลเฟิ่งอยู่ เขาก็ไม่กล้าทำอะไรลูกสาวเจ้าแน่ มีคนของเราคอยจับตามอง เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน ตอนนี้รั่วหนานรักษาระยะห่างกับเขาไว้ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแย่ เอาไว้จัดการเรื่องนั้นได้แล้วเจ้าค่อยอบรมลูกสาวเจ้าทีหลังว่าต้องทำตัวอย่างไรก็ยังไม่สาย…”
…..
ดวงตะวันลอยสู่ฟ้า หน้าแปลงดอกไม้ หนิวโหย่วเต้าโน้มตัวไปด้านหน้า ก้มมองบุปผาดอกหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียด เป็นดอกไม้ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน จึงเด็ดออกมาดอกหนึ่งเพื่อพินิจดูให้ละเอียด
ตุบ! กระสอบป่านใบหนึ่งที่บรรจุของไว้ครึ่งกระสอบถูกโยนลงตรงแทบเท้าเขา หนิวโหย่วเต้าหันไปมองแวบหนึ่ง ก่อนจะมองหยวนกังที่ยืนอยู่ตรงหน้า ถามไปว่า “อะไร?”
หยวนกังตอบสั้นๆ “คุณดูเองเถอะ”
หนิวโหย่วเต้าใช้ปลายเท้าเขี่ยดู พบว่าเป็นของลักษณะเล็กๆ ร่วนๆ ไม่ทราบว่าคืออะไรกันแน่ จึงทัดดอกไม้ไว้ที่หู จากนั้นก้มลงแกะปากกระสอบ เปิดออกมองแวบหนึ่ง พบว่าด้านในบรรจุธัญพืชสีเหลืองเม็ดเล็กๆ ไว้ครึ่งกระสอบ เขาหยิบขึ้นมากำหนึ่ง เงยหน้าถามด้วยความประหลาดใจ “ถั่วเหลือง?”
เขาหลงนึกว่าเป็นของหายากอันใด ถึงกับทำให้หยวนกังยอมแบกมาให้ตนดู ที่แท้ก็เป็นของกิ๊กก๊อกแค่นี้เอง
หยวนกังกล่าวว่า “ดูเหมือนโลกทางนี้จะไม่ค่อยปลูกเจ้านี่กันเท่าไร ตอนผมอยู่ที่หมู่บ้านก็ไม่เคยเห็น แล้วก็ไม่เคยได้ยินคนเอ่ยถึงเลย นี่คือหนึ่งในเสบียงที่ทางจวนผู้ว่าการส่งมาให้เมื่อวาน ผมบังเอิญไปเจอเข้า ก็เลยลองถามพ่อครัวดู เขาบอกว่าเป็นเพราะถั่วเหลืองให้ผลผลิตต่ำ คนที่นี่เลยปลูกกันน้อย คนทั่วไปแทบจะหากินไม่ได้ คนส่วนใหญ่ไม่เคยกินมาก่อนเลยด้วยซ้ำ”
หนิวโหย่วเต้านึกสงสัย “นายอย่าบอกฉันเชียวนะว่านายคิดจะส่งเสริมให้ปลูกเจ้านี่ หรือว่านายอยากส่งกลับไปให้คนที่หมู่บ้านปลูก? ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ฉันขอแนะนำให้นายล้มเลิกความคิดซะ เมื่อกี้นายก็พูดเองนี่ว่าเจ้านี่ให้ผลผลิตต่ำ ในยุคที่ใต้หล้าวุ่นวาย ทุกคนให้ความสำคัญกับปากท้องเป็นสำคัญ ของที่ได้ผลผลิตน้อยไม่มีใครเขาอยากปลูกหรอก ส่งเสริมไปก็ไม่มีประโยชน์ ประหยัดแรงไว้ดีกว่า”
หยวนกังเอ่ยสั้นๆ ว่า “ผมไปถามพ่อครัวมาแล้ว พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อเต้าหู้เลย คุณลองทำดูสิ”
ตัวเขาทำอาหารจากเต้าหู้สำเร็จรูปเป็น แต่เขาทำเต้าหู้จากถั่วเหลืองไม่เป็น เขาเคยได้ยินกรรมวิธีผลิตมาบ้าง แต่ไม่เคยลองทำมาก่อน แต่เขารู้ว่าเต้าเหยี่ยต้องทำได้แน่ เพราะเต้าเหยี่ยสนใจพวกสิ่งที่สืบทอดมาจากโบราณเสมอมา เชี่ยวชาญทักษะที่สืบทอดมาจากยุคโบราณหลายแขนง
“ไม่มีเต้าหู้งั้นเหรอ?” หนิวโหย่วเต้าแปลกใจ มองถั่วเหลืองในกระสอบอีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะถอนใจพลางส่ายหน้า พอหยวนกังเอ่ยถึงเช่นนี้ เขาก็คิดถึงรสชาตินั้นขึ้นมาเช่นกัน แล้วก็เข้าใจความรู้สึกของหยวนกังด้วย คงจะเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับเขา จึงพยักหน้าตอบไปว่า “วันหลังถ้ามีเวลาค่อยว่ากันอีกที พรุ่งนี้ต้องเดินทางแล้ว ทำตอนนี้คงไม่ทัน”
ระหว่างที่พวกเขาคุยกันอยู่ซางซูชิงก็โผล่มา หลังได้รับคำเตือนจากหลานรั่วถิง นางก็ตรงหน้ามาที่นี่เลย มองเห็นทั้งสองยืนล้อมกระสอบใบหนึ่งอยู่ ไม่รู้ว่าภายในนั้นเป็นของสิ่งใดถึงทำให้ทั้งสองพูดคุยกันด้วยท่าทางเป็นจริงเป็นจังได้ เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ถึงได้พบว่าเป็นถั่วเหลือง จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านหญิงดูผ่อนคลายเช่นนี้ เห็นทีว่าท่านอ๋องคงสบายดี”
ซางซูชิงถามไปตรงๆ “เรื่องวางยาเป็นฝีมือท่านหรือ?”
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะทราบเรื่องแล้ว! หนิวโหย่วเต้าก็ทราบดีว่าการกระทำนี้เด่นชัดไปหน่อย แต่เขายังคงส่ายหน้าปฏิเสธ “มิใช่ฝีมือกระหม่อม” เขาไม่มีทางยอมรับเรื่องนี้
ซางซูชิงซักถามต่อ “เต้าเหยี่ยยังไม่ทันซักถามว่าเป็นเรื่องใดก็เอ่ยปฏิเสธแล้วหรือ?”
“กระหม่อมจำเป็นต้องถามด้วยหรือ? อย่างแรกคือเรื่องนี้มิใช่ฝีมือของกระหม่อม อย่างที่สอง หากว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือกระหม่อม…” หนิวโหย่วเต้าหันไปมองหยวนกัง “แล้วข้าทำไม่ถูกหรือ?”
หยวนกังทราบดีว่าเขามิได้หมายถึงเรื่องวางยา หากแต่หมายถึงสาเหตุที่ต้องวางยา จึงส่ายหน้าแล้วเอ่ยไปว่า “ทำถูกแล้ว!”
หนิวโหย่วเต้าหันไปมองซางซูชิงอีกครั้งทันที จากนั้นถามว่า ”เช่นนั้น ท่านหญิงคิดว่ากระหม่อมทำผิดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?
สำหรับเขาแล้ว ขอเพียงซางซูชิงพูดออกมาว่าเขาผิด เช่นนั้นเขาก็จัดการอะไรๆ ได้ง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากอีก ระหว่างทางหากพบโอกาสที่เหมาะสม เขาก็จะพาหยวนกังจากไปทันที ไม่แม้กระทั่งบอกกล่าวอันใด อันที่จริงทุกอย่างที่เขาจัดการให้พวกซางเฉาจงสองพี่น้องในตอนนี้มิได้ทำเพื่อพวกเขาสองพี่น้องเลย สองพี่น้องยังไม่คู่ควรให้เขาทุ่มเทรับใช้ ทำไมเขาต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ? คิดว่าสิ่งที่เรียกว่าทรัพยากรบำเพ็ญเพียรอันเลื่อนลอยไม่เป็นรูปธรรมนั่นจะสามารถเหนี่ยวรั้งให้เขาอยู่เสี่ยงอันตรายได้อย่างนั้นหรือ? ล้อกันเล่นหรือเปล่า!
เขาไม่สนใจหรอกว่าโลกนี้จะตกอยู่ใต้การปกครองของฮ่องเต้พระองค์ไหน แล้วก็ไม่สนใจด้วยว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายได้เปรียบหรือเสียเปรียบในศึกชิงอำนาจภายในราชวงศ์ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตนี้หรือชีวิตที่แล้ว เขาก็ไม่มีนิสัยทำงานรับใช้คนอื่น เหตุผลที่เขายอมอยู่ช่วย เป็นเพราะเขาส่งหยวนกังไปจัดการเรื่องราว สุดท้ายหยวนกังกลับรู้สึกผิดบาปละอายใจ เจ้านายอย่างเขาย่อมมิอาจปัดความรับผิดชอบได้ ใช้ชีวิตมาสองชาติ เป็นพี่น้องไปชั่วชีวิต สิ่งที่ต้องมีคือน้ำใจ เขาไม่ต้องการให้พี่น้องของตนต้องแบกรับความรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตเพราะติดค้างผู้อื่น ลวงคนจงอย่าลวงใจ เขารั้งอยู่ช่วยเหลือเพื่อชดเชยความรู้สึกผิดของหยวนกังเท่านั้น
เขาเริ่มเดินเกม ปูทาง สร้างสะพานข้ามฝั่งให้สองพี่น้องแล้ว หากว่ากันในแง่ของมูลค่า มันมากพอจะชดใช้ในสิ่งที่หยวนกังติดค้างพวกเขาไว้แล้ว หากอีกฝ่ายคิดว่าแผนการที่เขาทุ่มเทความคิดจิตใจคอยช่วยเหลือเป็นความผิด เช่นนั้นเขาก็จะถามหยวนกังว่า ในเมื่อพวกเราทำเรื่องที่สมควรทำไปแล้ว แต่คนเขากลับไม่เห็นค่า พวกเรายังจำเป็นต้องอยู่ต่ออีกหรือ? เมื่อคลี่คลายปมในใจให้หยวนกังแล้ว เขาย่อมต้องพาหยวนกังออกไปจากวังวนแห่งความขัดแย้งนี้
……………………………………
[1] หน่วยการจับเวลาของจีนในสมัยโบราณ หนึ่งถ้วยชา = 15 นาที