ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 65 จากลา
ตอนที่ 65 จากลา
เขารู้ว่าในตัวหยวนกังมีศรัทธาความเชื่อบางอย่างอยู่ เป็นตราประทับที่ได้มาจากการใช้ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขอยู่กับพวกพ้องเมื่อในอดีต เป็นประสบการณ์ชีวิตที่หยวนกังรู้สึกภาคภูมิใจ แม้ว่าบางครั้งศรัทธาความเชื่อนี้จะทำให้หยวนกังดูเหมือนเป็นคนเถรตรงยึดติด แต่เขาคิดว่านั่นไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเลย กลับมองเป็นสิ่งล้ำค่าเสียด้วยซ้ำ เป็นสิ่งมีค่าที่สุดในตัวของหยวนกัง เขายินดีช่วยหยวนกังปกป้องศรัทธาความเชื่อนี้เอาไว้ ไม่อยากให้ได้รับอิทธิพลจากการติดตามเขาจนค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป
หากกระทำเรื่องที่รู้สึกผิดมากเข้า วันหน้าจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคนเฉยชา เขาไม่อยากให้หยวนกังต้องกลายเป็นคนแบบเดียวกับเขา ดังนั้นจึงต้องปกป้องไว้
ว่ากันตามตรง เขาไม่เคยคิดจะรับใช้สองพี่น้องตระกูลซางเลย สองพี่น้องตระกูลซางไม่มีทางซื้อใจเขาได้ง่ายๆ
ซางซูชิงอึกอักลังเล นางอยากพูดยิ่งนักว่าทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง แต่นางก็เป็นคนที่มีประสาทสัมผัสและความรู้สึกเฉียบไวอย่างยิ่ง ตระหนักได้ว่าคำพูดของหนิวโหย่วเต้าแฝงความนัยไว้
นางลังเลใจ แต่หนิวโหย่วเต้ากลับมีท่าทีกดดันเล็กน้อย ถามกดดันอีกครั้ง “ท่านหญิงคิดว่ากระหม่อมทำผิดไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของเขา สุดท้ายซางซูชิงก็ยอมรอมชอม “เต้าเหยี่ยไม่ได้ทำผิดเลย ทำเพราะหวังดีต่อพวกเราพี่น้อง”
หนิวโหย่วเต้าหมดคำพูดเล็กน้อย เขาคาดหวังให้ซางซูชิงหนักแน่นกว่านี้อีกสักนิด จากนั้นต่างฝ่ายต่างไม่ติดค้างอะไรกันอีก ตัดขาดกันไป เขาจะได้พาหยวนกังสะบัดก้นจากไปทันที
เขามีลางสังหรณ์บางอย่าง สังหรณ์ใจว่าพวกเขาสองพี่น้องติดกับสตรีนางนี้เข้าแล้ว ตอนอยู่ที่วัดหนานซานพวกเขาสองพี่น้องก็ถูกสตรีนางนี้รั้งตัวไว้ ความรู้สึกนั้นราวกับพวกเขาสองพี่น้องเป็นเหล็กกล้า ทว่าพออยู่ในมือสตรีนางนี้กลับอ่อนยวบยาบ ใช้ไม้แข็งก็ไม่ได้ ใช้ไม้อ่อนก็ไม่รอด
ผู้หญิงนี่ยุ่งยากกว่าผู้ชายจริงๆ หนิวโหย่วเต้าบ่นอุบอิบในใจ จากนั้นผายมือพลางกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ยังจำเป็นต้องถามต่ออีกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงลอบถอนใจ ปรับน้ำเสียงให้โอนอ่อนลง “เฟิ่งรั่วหนานรู้แล้วว่าตนถูกคนวางยา แล้วจากนี้พี่ชายข้าจะอยู่ร่วมกับนางได้อย่างไร?”
หนิวโหย่วเต้าได้ฟังก็ยิ้มออกมา หยิบดอกไม้ออกจากบนหู จ่อดมตรงจมูก “ท่านหญิงกังวลมากไปแล้ว ขอเพียงไม่กระทบต่อแผนการหลักก็พอ ส่วนจะอยู่ร่วมกับภรรยาอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องส่วนตัวของท่านอ๋อง หากเป็นโชคท่านอ๋องย่อมได้เสพสุข หากเป็นเคราะห์ท่านอ๋องย่อมต้องแบกรับ ดูเหมือนพวกเราไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องนี้มากกระมัง? บนโลกนี้ไหนเลยจะมีเรื่องที่สมหวังดั่งใจไปทุกอย่าง ชีวิตคนเรามักมีอุปสรรคติดขัดอยู่ร่ำไป ท่านหญิงว่าใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” เขาไม่เห็นว่าการที่ซางเฉาจงถูกภรรยาทุบตีจะเป็นเรื่องเลวร้ายอะไร ถึงอย่างไรเขาไม่ได้ถูกทุบตีด้วยอยู่แล้ว
“…” ซางซูชิงพูดไม่ออก เจ้าเป็นคนก่อเรื่อง แต่เจ้ากลับลอยชายไม่แยแส นี่มันจะไร้ยางอายเกินไปแล้ว นางพบว่าคนผู้นี้สนใจเพียงลงแรงทำงานทว่าไม่รับผิดชอบจริงๆ เรียกได้ว่าเรียนผูกไม่เรียนแก้ขนานแท้! นางเอ่ยอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เต้าเหยี่ย หากเรื่องนี้แพร่ออกไป พี่ชายข้าจะมีหน้าไปพบคนอื่นได้อย่างไร?”
หนิวโหย่วเต้าย้อนถาม “ทางฝั่งเราจะป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปหรือไม่?”
ซางซูชิงส่ายหน้า “ไม่มีทางอยู่แล้ว!”
หนิวโหย่วเต้าผายสองมือออกอีกครั้ง “หลังจากตระกูลเฟิ่งทราบเรื่องนี้เข้าจะกล้าป่าวประกาศออกไปหรือ? เฟิ่งรั่วหนานเป็นคนหัวแข็งดื้อรั้น ท่านหญิงวางใจเถอะพ่ะย่ะค่ะ อย่างมากนางก็คงหาทางแก้แค้นเอาคืนเรื่องนี้ ไม่มีทางป่าวประกาศออกไป รับรองได้ว่าไม่มีทางแพร่งพรายออกไปแม้แต่คำเดียว พวกเราไม่พูด ตระกูลเฟิ่งไม่พูด เฟิ่งรั่วหนานเองก็ไม่มีทางโวยวายต่อภายนอกให้ตัวเองเสียหน้าเช่นกัน มีอันใดให้กังวลเล่า ว่ากันในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ต่อให้ข่าวแพร่ออกไป คนเขาก็มองเป็นเรื่องขำขันในม่านมุ้งของสามีภรรยา จะทะเลาะกันอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น ไม่ใช่ธุระของคนอื่น ต่อให้ท่านอ๋องวางยาเพื่อเคี่ยวกรำนางอีกหลายๆ ครั้งแล้วอย่างไรเล่า เทพสวรรค์ก็เข้ามายุ่งไม่ได้ แล้วท่านหญิงจะเดือดเนื้อร้อนใจกลัวขายหน้าแทนท่านอ๋องไปไยพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง พบว่าตนเองคิดมากไปเอง ที่แท้เรื่องที่ตนคิดว่าเป็นเรื่องเลวร้ายกลับมิใช่เรื่องใหญ่ในสายตาเขาเลย ไม่จำเป็นต้องวิ่งมาคุยเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ถึงจะพูดไปแล้วก็เปล่าประโยชน์เช่นกัน คนเขาทำไปแล้วก็แล้วกันไป ปล่อยผ่านไปเสีย
ซางซูชิงไม่พูดเรื่องนี้อีก เหลือบตามองถั่วเหลืองครึ่งกระสอบนั้น กล่าวเปลี่ยนประเด็นว่า “เต้าเหยี่ย พวกท่านจะนำถั่วเหลืองนี้ไปทำอันใดหรือ?”
“ฮ่าๆ หยวนกังจอมตะกละ เขาอยากให้กระหม่อมทำอาหารให้เขาพ่ะย่ะค่ะ” หนิวโหย่วเต้าชี้หยวนกัง จากนั้นก็ชี้ไปที่ถั่วเหลือง “วันหลังหากลองทำอาหารชนิดใหม่แล้ว จะเชิญท่านหญิงมาร่วมลิ้มลองด้วยกันนะพ่ะย่ะค่ะ”
ถั่วเหลืองทำอะไรได้บ้างนะ? นึ่ง? ตุ๋น? ผัดกับเนื้อ? หรือว่าอบกินต่างของว่าง? ซางซูซิงลองใคร่ครวญถึงอาหารชนิดใหม่ที่เขาว่ามา จากนั้นพยักหน้าพลางกล่าว “ได้! นับเป็นลาภปากข้าแล้ว วันหลังจะมาชมทักษะงานครัวของเต้าเหยี่ยดูเสียหน่อย”
“รับประกันได้ว่าท่านหญิงต้องพอใจแน่!” หนิวโหย่วเต้าตอบรับอย่างอารมณ์ดี จากนั้นก็หันไปคุยกับหยวนกัง “วันหน้าถ้าอยากกินของอร่อยก็ต้องตาไวหน่อย คอยสังเกตรวบรวมเครื่องปรุงมาด้วย”
อยู่ที่นี่มาก็หลายปีแล้ว เขาพบว่าเครื่องปรุงของที่นี่มีอยู่แค่ไม่กี่ชนิดเท่านั้น นี่ย่อมต้องเป็นเหตุให้วิธีการปรุงอาหารของโลกนี้ซ้ำซากจำเจ
หยวนกังพยักหน้ารับ
พอพูดถึงเรื่องกิน ย่อมขาดมื้อเช้าไปไม่ได้ พวกซางเฉาจงสองพี่น้อง หลานรั่วถิง หนิวโหย่วเต้าและหยวนกัง ส่วนใหญ่คนทั้งห้ามักกินอาหารพร้อมกัน
ทันทีที่พวกเขาหย่อนก้นนั่ง หนิวโหย่วเต้าก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเย้าแหย่ซางเฉาจงที่นั่งในตำแหน่งหัวโต๊ะ “ท่านอ๋อง เหตุใดใบหน้าของพระองค์จึงฟกช้ำดำเขียวเป็นดวงๆ ล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
เดิมทีซางเฉาจงต้องไปคารวะตระกูลเฟิ่งพร้อมกับเฟิ่งรั่วหนาน แต่เขาถูกทุบตีจนมีสภาพเช่นนี้ ไม่มีหน้าออกไปพบปะผู้คนได้ ดังนั้นจึงหาข้ออ้าง บอกว่ารู้สึกไม่สบายเล็กน้อย ทางตระกูลเฟิ่งก็เข้าอกเข้าใจยิ่ง ส่งคนมาแจ้งว่าให้เขาพักผ่อนให้เต็มที่
ซางเฉาจงกลอกตาคราหนึ่ง เอ่ยโต้กลับไป “ไยเต้าเหยี่ยต้องแสร้งถามทั้งที่รู้อยู่แล้วด้วย”
หนิวโหย่วเต้าแย้มยิ้ม “เหตุใดถึงรู้สึกว่าคนขาดไปคนหนึ่งเล่า พระชายาไม่มาร่วมโต๊ะด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
นอกจากหยวนกังที่มีสีหน้าเรียบเฉยและซางเฉาจงที่แสดงสีหน้าบึ้งตึงแล้ว คนที่เหลือต่างอดขำไม่ได้
ขณะที่กำลังจะกินข้าวกัน มีองครักษ์นายหนึ่งเข้ามาหา เชิญหลานรั่วถิงออกไปครู่หนึ่ง หลังจากหลานรั่วถิงกลับมาก็เอ่ยกับหนิวโหย่วเต้าว่า “เต้าเหยี่ย หยวนฟางผู้นั้นมาขอยืมเสื้อผ้าจากองค์รักษ์”
“เสื้อผ้าหรือ?” หนิวโหย่วเต้าที่กัดแป้งย่างในมืออยู่เงยหน้าขึ้นมา เอ่ยถามว่า “ยืมเสื้อผ้าอันใด?”
หลานรั่วถิงชี้แจง “เขาบอกว่าต้องรองรับหมัดเท้าของน้องหยวน เสื้อผ้าไม่กี่ตัวที่มีไว้ผลัดเปลี่ยนล้วนขาดวิ่นหมดแล้ว ไม่มีตัวที่ใส่ได้เลย จึงมาขอยืมใส่สักชุด”
หนิวโหย่วเต้าร้องอ้อ พยักหน้ากล่าวไปว่า “แค่ชุดเดียวก็ให้ยืมไปเถอะ”
หลานรั่วถิงยิ้มเล็กน้อย มิได้พูดอะไรต่อ เขาตั้งใจพูดเพื่อให้หนิวโหย่วเต้ารู้ไว้เท่านั้น เผื่อปีศาจหมีตัวนั้นจะมีแผนร้ายคิดไม่ซื่อ
“ท่านอ๋อง เหตุใดจึงมากินอาหารโดยไม่รอหม่อมฉันล่ะเพคะ?”
เสียงของเฟิ่งรั่วหนานพลันแว่วมาจากนอกประตู ตัวนางก็ปรากฏขึ้นด้านนอกประตูด้วยเช่นกัน แววตาชั่วร้ายยิ่ง!
ทั้งห้าคนที่อยู่ในห้องต่างพากันลุกขึ้นยืน ซางซูชิงลุกจากโต๊ะก้าวเข้าไปทักทาย “พี่สะใภ้!”
ทางด้านพวกหลานรั่วถิงก็ทักทายเช่นกัน “พระชายา!”
เฟิ่งรั่วหนานไม่สนใจพวกเขา เดินไปหยุดตรงหน้าซางเฉาจง ยืนจ้องหน้า เห็นได้ชัดว่านางตัวสูงกว่าซางเฉาจงเล็กน้อย สองมือค่อยๆ กำหากันจนกลายเป็นหมัด ทำให้คนรู้สึกว่านางพร้อมจะชกหน้าซางเฉาจงได้ทุกเมื่อ
ซางเฉาจงเตรียมป้องกันเต็มกำลัง พยายามรักษาภาพลักษณ์ให้ดูเข้มแข็ง “มาแล้วก็กินด้วยกันเถอะ!”
“พูดเล่นเท่านั้น หม่อมฉันกินมาแล้วเพคะ” เฟิ่งรั่วหนานมองไปรอบๆ เอ่ยขึ้นว่า “หม่อมฉันจะไปเดินดูรอบๆ สักหน่อย ท่านอ๋องจะว่าอะไรหรือไม่เพคะ?”
ซางเฉาจงตอบห้วนๆ “ตามสบาย!”
เฟิ่งรั่วหนานเองก็ไม่เกรงใจ พาเหวินลี่เดินสำรวจห้องหับทั้งหลายในเรือนหลังนี้ จากนั้นก็เดินออกไป
ผ่านไปสักพัก มีองครักษ์มารายงานอีกครั้ง บอกว่าพระชายาเพ่นพ่านไปทั่ว คล้ายกำลังตามหาบางอย่างอยู่
……
ตกดึก เฟิ่งรั่วหนานส่งคนมารบเร้าให้ซางเฉาจงกลับไปพักผ่อนที่เรือนหอ ซางเฉาจงยกเหตุผลมาอ้าง เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมไปค้างด้วย
…….
ส่งไกลพันลี้สุดท้ายก็ต้องอำลา นอกตัวเมืองกว่างอี้ ณ ศาลาริมทางที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้ เผิงอวี้หลานน้ำตานองหน้า โบกมืออำลาบุตรสาว เฟิ่งหลิงปอเหม่อมองขบวนที่จากไปอย่างเงียบงัน แม้จะอยู่ท่ามกลางโลกอันวุ่นวายแต่กลับมีสีหน้าอ้างว้างเล็กน้อย
เฟิ่งรั่วหนานที่อยู่บนหลังม้าหันกลับไปมองเป็นระยะๆ เหลียวมองบิดามารดาที่อยู่ข้างศาลาริมทาง มองกำแพงเมืองที่คุ้นตา ภายในใจรู้สึกโศกเศร้า
เมืองแห่งนั้น นางสัญจรไปมาเข้าๆ ออกๆ ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทว่าไม่เคยรู้สึกเศร้าเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย ไม่ว่านางจะเต็มใจแต่งกับซางเฉาจงหรือไม่ นางก็รู้สึกว่าการจากไปครานี้แตกต่างไปจากเดิม นางตระหนักได้ว่าตนออกเรือนแล้วจริงๆ!
การแต่งงานเป็นเพียงกลยุทธ์เท่านั้น ทั้งสองฝ่ายต่างรู้ดีว่ามีภาระหน้าที่สำคัญต้องจัดการ เรื่องรักใคร่ชายหญิงหรือจะสู้งานสำคัญ หลังเสร็จพิธีวิวาห์ก็ไม่มีพิธีรีตองอะไรมากนัก หลังจากพักผ่อนอยู่ในเมืองหนึ่งวันเต็ม ซางเฉาจงก็พาลูกน้องและภรรยาสาวที่เพิ่งแต่งงานกันมาขอตัวลา
นับตั้งแต่เดินทางออกจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่ ขบวนเดินทางขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิม มีทหารม้าเกราะเหล็กเพิ่มเข้ามาห้าร้อยนาย เป็นองครักษ์ส่วนตัวของเฟิ่งรั่วหนาน
ทั่วทั้งจังหวัดกว่างอี้ เฟิ่งหลิงปอมีทหารชั้นยอดอยู่ใต้บังคับบัญชาหนึ่งแสนนาย ในบรรดานั้นมีทหารม้าเกราะเหล็กห้าพันนาย หนนี้ยกให้เฟิ่งรั่วหนานไปห้าร้อยนาย ทั้งยังมอบทหารราบให้เฟิ่งรั่วหนานอีกสี่พันนายด้วย ทหารเหล่านี้ในฉากหน้านับเป็นการมอบให้ซางเฉาจงหยิบยืมตามที่รับปากไว้ แต่ในความเป็นจริงทุกคนต่างรู้ดีว่าอำนาจบัญชาการทหารอยู่ในมือเฟิ่งรั่วหนาน หากไม่มีป้ายบัญชาการทัพจากเฟิ่งรั่วหนาน ซางเฉาจงก็ไม่มีทางสั่งเคลื่อนย้ายได้แม้แต่คนเดียว จำนวนไพร่พลที่ให้ซางเฉาจงยืมอาจจะไม่มากนัก แต่กลับมีความหมายยิ่ง ในขบวนมีบุตรสาวของเฟิ่งหลิงปออยู่ ซ้ำยังมีลูกเขยของเฟิ่งหลิงปอด้วย ไพร่พลก็ไพร่พลของเฟิ่งหลิงปอ ผู้ใดกล้าดีโจมตีก็ลองดู
ซ้ำยังมีองครักษ์ของซางเฉาจงร่วมอยู่ด้วย รวมเป็นทหารม้าเกราะเหล็กเกือบหนึ่งพันนาย ส่วนทหารราบสี่พันนายไม่ได้จัดสรรไปจากที่นี่ หากพาทหารราบเดินเท้าร่วมทางไปด้วย จะทำให้เดินทางเชื่องช้ายิ่ง เฟิ่งรั่วเจี๋ยบุตรชายคนรองของเฟิ่งหลิงปอที่ประจำการอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางตะวันออกได้รับคำสั่งทางการทหารแล้ว เมื่อคณะเดินทางของซางเฉาจงผ่านทางไป ทางเฟิ่งรั่วเจี๋ยจะจัดสรรไพร่พลสี่พันนายให้ติดตามเฟิ่งรั่วหนานไปยังจังหวัดชิงซาน ส่วนทางนี้จะส่งไพร่พลสี่พันนายไปชดเชยให้เฟิ่งรั่วเจี๋ย
เฟิ่งหลิงปอแจ้งไปทางจังหวัดชิงซานแล้ว ขอให้ทางนั้นช่วยผ่อนปรน ชี้แจ้งว่ามิได้มีเจตนาร้าย อ้างไปว่าเป็นขบวนคุ้มกันบุตรสาวและลูกเขยเท่านั้น หลังจากไพร่พลไปถึงอำเภอชางหลูแล้ว จะถอนกำลังกลับมาหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับข้ออ้างเช่นนี้ ทางจังหวัดชิงซานก็จนปัญญาเช่นกัน เฟิ่งหลิงปอกล้าต่อกรกับราชสำนัก จังหวัดชิงซานไม่มีทางต้านไหว
ทางราชสำนักส่งคนนำราชโองการมาแจ้ง ฝ่าบาททรงเปลี่ยนแปลงพระประสงค์ เรียกตัวซางเฉาจงกลับเมืองหลวง ไม่ต้องไปที่อำเภอชางหลูแล้ว บอกว่าจะปรับเปลี่ยนโยกย้ายตำแหน่ง
ปล่อยเสือออกจากกรง ปล่อยมังกรสู่สมุทร คิดจะจับใส่กรงอีกครั้งย่อมมิใช่เรื่องง่ายแล้ว
หากผู้นำส่งราชโองการใช้เส้นทางอ้อมก็จะทำให้เสียเวลาไปไม่น้อย แต่พอเข้าไปในเขตจังหวัดกว่างอี้ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ราชโองการไม่มีทางส่งไปถึงมือซางเฉาจงภายในระยะเวลาสั้นๆ ได้ และต่อให้ไปถึงซางเฉาจงก็ไม่มีทางยอมรับเช่นกัน เรื่องนี้ย่อมเป็นฝีมือของเฟิ่งหลิงปอ ยิ่งราชสำนักร้อนรนเท่าไร นั่นกลับยิ่งทำให้เฟิ่งหลิงปอมั่นใจมากขึ้นเท่านั้นว่ากาทมิฬแสนตัวเป็นเรื่องจริงแน่นอน!
เฟิ่งหลิงปอให้การสนับสนุนอย่างจริงจังมากขึ้น หลังจากสำนักหยกสวรรค์ทราบข่าวก็ส่งผู้บำเพ็ญเพียรมาให้การสนับสนุนเพิ่มอีกครั้ง
เฟิ่งรั่วหนานมีองครักษ์ติดตามเพียงห้าร้อยนาย แต่กลับมีผู้บำเพ็ญเพียรติดตามมากถึงสามสิบคน ไป๋เหยาเองก็โยกย้ายออกจากจวนผู้ว่าการ รับหน้าที่ผู้นำกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรร่วมสำนักคอยติดตามอารักขา
เนื่องจากสัมภาระและของขวัญร่วมยินดีในวันวิวาห์ของคู่บ่าวสาวมีมากมายเกินไปจึงไม่ได้นำมาด้วย ตัวคนล่วงหน้าไปก่อน ส่วนของขวัญและข้าวของอื่นๆ เฟิ่งหลิงปอจะส่งคนคุ้มกันไปให้ทีหลัง
หลังออกจากตัวเมือง เฟิ่งรั่วหนานสงบอารมณ์ลง เอ่ยสั่งเหวินลี่และเหวินซินที่ติดตามมาด้วย “ไป ไปตามหาตาเฒ่าเคราขาวคนนั้นมาให้ข้า หากหาเจอแล้วอย่าเพิ่งเอะอะโวยวายไป!”
………………………………………………………