ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 67 แน่ใจหรือว่าจะอยู่
ตอนที่ 67 แน่ใจหรือว่าจะอยู่
“อ่า…” หยวนฟางมองเขาด้วยความตะลึง ความจริงเขาสงสัยแต่แรกแล้ว ตอนนี้พออีกฝ่ายสารภาพออกมาตรงๆ เช่นนี้ เปิดเผยอย่างเป็นธรรมชาติตรงไปตรงมาเช่นนี้ กลับทำให้เขายากจะเชื่ออยู่บ้าง นึกถึงเมื่อครู่นี้ที่คนผู้นี้เปิดโปงเขาต่อหน้าคนจำนวนมาก เขาอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าโอดครวญ “เต้าเหยี่ย ไยต้องทำร้ายข้าด้วย? ตอนอยู่ที่วัดหนานซานข้าช่วยซ่งเหยี่ยนชิงก็เพราะไม่มีทางเลือก” เขายังนึกว่าอีกฝ่ายแค้นเคืองเรื่องที่วัดหนานซานอยู่ เพราะนอกเหนือไปจากเรื่องนั้น ตนก็ไม่มีความแค้นใดๆ กับคนผู้นี้เลย!
หนิวโหย่วเต้าตบไหล่เขาเบาๆ พลางกล่าวว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้ามิได้ทำร้ายเจ้า แต่กำลังช่วยเจ้าอยู่ต่างหาก”
หยวนฟางเงยหน้าเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “ช่วยข้าหรือ?” สีหน้าบ่งบอกชัดเจน สื่อว่ากำลังหลอกข้าอยู่กระมัง?
มือที่ตบลงไปบนไหล่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะเล็กน้อย หนิวโหย่วเต้าชักมือกลับมาดมดู กลิ่นซีอิ๊วรุนแรงเป็นอย่างมาก จึงเช็ดมือกับเสื้อผ้าของหยวนฟางในส่วนที่ยังสะอาดอยู่ จากนั้นกล่าวว่า “เจ้าซ่อนหัวเร้นหางเช่นนี้ก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้หรอก อีกทั้งยามนั้นเจ้าไม่ได้เผยหน้าแค่เพียงคนเดียว หากแต่เผยหน้ากันเป็นกลุ่ม ตอนนี้นางไม่อยากอับอายขายหน้าคนอื่นถึงไม่ได้สอบสวนเรื่องนี้อย่างเอิกเกริก หากนางเอาจริงขึ้นมา เจ้าจะหลบซ่อนเช่นนี้ได้หรือ? ดังที่กล่าวกันว่ายิ่งนานยิ่งยุ่ง มิสู้เร่งคลี่คลายโดยเร็ว”
จะตายเร็วน่ะสิไม่ว่า! หยวนฟางบ่นในใจ ทว่าปากยังอ้อนวอนขอความเมตตาต่อ “เต้าเหยี่ย ท่านเมตตาด้วยเถิด ปล่อยพวกเราไปได้หรือไม่? ข้ากลับไปที่วัดหนานซานจะตั้งป้ายอายุมั่นขวัญยืนสวดขอพรให้ท่าน สวดขอพรต่อหน้าพุทธองค์ทุกวันให้ท่านอายุมั่นขวัญยืนดีหรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้าใช้กระบี่ยันพื้นไว้ เอ่ยอย่างจริงจัง “จะไปก็ย่อมได้ แต่ข้าขอกล่าววาจาไม่น่าฟังเอาไว้หน่อย หากออกจากจุดพักม้าไปแล้ว พวกเราจะตัดขาดไม่เกี่ยวข้องกันอีก หากคิดจะหวนกลับมาย่อมไม่ง่ายแล้ว”
คนบ้าน่ะสิถึงจะอยากเกี่ยวข้องพัวพันกับเจ้า อาตมาอยากตัดขาดกับเจ้าใจแทบขาดแล้ว! หยวนฟางค่อนขอดอยู่ในใจ อยู่ที่นี่ถูกทุบตีแทบทุกวัน ไหนเลยจะอยากอยู่ต่อ เขารีบพนมมือเอ่ยว่า “หากเต้าเหยี่ยช่วยให้สมปรารถนาได้ อาตมาขอสาบานต่อหน้าพระพุทธรูปแห่งวัดหนานซานว่าจะไม่ตระบัดสัตย์เด็ดขาด มิเช่นนั้นขอให้อาตมาตกนรกหมกไหม้”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ ถอนหายใจพลางกล่าวว่า “แตงที่ฝืนเด็ดย่อมไม่หวาน ในเมื่อเจ้าไม่อยากอยู่ เช่นนั้นก็ไปเถอะ แซ่หนิวขออวยพรให้พวกเจ้าเดินทางราบรื่น ระวังตัวด้วย!” กล่าวจบก็เหลียวหน้ากวักมือไปทางหยวนกัง
หยวนกังเดินเข้ามา หนิวโหย่วเต้าทอดถอนใจ กล่าวไปว่า “เจ้าลิง เลิกแล้วกันไปเถิด อย่าสร้างความลำบากให้พวกเขาเลย ปล่อยพวกเขาไปเถอะ ช่วยคนต้องช่วยให้ถึงที่สุด ยกม้าให้พวกเขาไปคนละตัวเพื่อช่วยทุ่นแรงแล้วกัน” พอพูดจบ เขาก็ยกกระบี่ขึ้นมา หันหลังเดินจากไป ไร้ซึ่งความลังเลใดๆ
หยวนกังตะลึง ปล่อยเขาไป แถมยังให้ม้าอีก นี่จริงหรือหลอกกันแน่? ไม่อยากจะเชื่อในการตัดสินใจครั้งนี้ของเต้าเหยี่ย อย่างไรก็ตามเขาทราบดีว่าเต้าเหยี่ยทำเช่นนี้ย่อมต้องมีเหตุของตัวเองอยู่เป็นแน่ จึงตอบอืมคำหนึ่ง หันไปกล่าวกับหยวนฟางว่า “ไปซะ!”
หยวนฟางพนมมือกล่าวอย่างตื้นตันว่า “อามิตตาภพุทธ สาธุๆ! อาตมาจะตั้งป้ายอายุมั่นขวัญยืนต่อหน้าพระพุทธรูปเพื่อระลึกถึงหยวนเหยี่ยด้วยแน่นอน”
ป้ายอายุมั่นขวัญยืนหรือ? หยวนกังไม่มีทางเชื่อคำพูดปลิ้นปล้อนของเขา ปีศาจเฒ่าตัวนี้ไม่สาปแช่งให้เขาตายก็ดีมากแล้ว เขาเมินเฉยต่อวาจาตามมารยาทอันจอมปลอม หันหลังสาวเท้าก้าวตามหนิวโหย่วเต้าไป
เมื่อเข้ามาในจุดพักม้า สอบถามองครักษ์ของซางเฉาจงเรื่องห้องที่จัดเตรียมไว้ให้พวกเขาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
หนิวโหย่วเต้าไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ปักกระบี่ไว้บนพื้น หลับตาเดินลมปราณ มีไอหมอกค่อยๆ ผุดออกมาจากร่างเขา หนาทึบขึ้นเรื่อยๆ
หยวนกังเปลี่ยนเสื้อผ้าพลางเอ่ยถามไปด้วย “เต้าเหยี่ย จะปล่อยปีศาจหมีตัวนั้นไปจริงๆ เหรอครับ?” อันที่จริงเขาค่อนข้างไม่เห็นด้วย รู้สึกว่าปีศาจเฒ่าเหมาะสมจะร่วมทางไปกับพวกเขาอย่างยิ่ง ไม่ว่าไปอยู่ที่ไหน หากมีตัวช่วยอยู่ข้างกายมากหน่อยย่อมเป็นเรื่องดี ยิ่งไปกว่านั้นถ้าได้ตัวปีศาจหมีมาก็เท่ากับได้เหล่าสมณะแห่งวัดหนานซานมาด้วย ข้างกายก็จะมีคนคอยช่วยจัดการธุระให้มากขึ้น
หนิวโหย่วเต้าที่หลับตาอยู่เอ่ยอย่างเฉยชา “ปล่อยไปแล้วไง? เขาจะไปไหนได้ล่ะ? ลงเรือลำเดียวกับฉันแล้วคิดว่าจะจากไปได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ? นายเชื่อไหมว่าอีกสักพักเขาต้องมาร้องไห้อ้อนวอนขออยู่ต่อแน่”
หยวนกังที่กำลังสวมกางเกงชะงักค้าง จะเป็นไปได้ยังไง? แต่พอคิดดูดีๆ ก็กระจ่างขึ้นมาทันที เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเต้าเหยี่ยถึงจงใจเปิดโปงหยวนฟาง มุมปากพลันยกขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มออกมา
เป็นไปตามคาดจริงๆ เสื้อผ้าบนร่างหนิวโหย่วเต้าเพิ่งแห้งสนิทดีก็มีเสียงเคาะดัง ‘ก๊อกๆ’ แว่วมาจากนอกประตู เสียงอ้อมแอ้มไร้ความมั่นใจของหยวนฟางก็แว่วมาจากด้านนอกว่า “เต้าเหยี่ย หยวนเหยี่ย ข้าเข้าไปได้หรือไม่?”
หยวนกังเดินไปเปิดประตู มองเห็นหยวนฟางยืนค้อมกายส่งยิ้มประจบเอาใจอยู่นอกประตู เขาจึงเอ่ยไปอย่างไม่เกรงใจว่า “จะไปก็ไป อย่ามาพิรี้พิไร ไสหัวไป!” จากนั้นปิดประตูดังปัง เกือบกระแทกโดนหน้าหยวนฟาง
หนิวโหย่วเต้าที่อยู่ในห้องยิ้มเล็กน้อย พลางเอื้อมมือไปเปิดหน้าต่าง มองนภาครามเมฆาขาวด้านนอก ร้องจุ๊ๆ พลางกล่าวว่า “พิรุณนี้หนา มาไวไปไว ไม่แน่ไม่นอนจริงๆ!”
เขาเพิ่งเอ่ยประโยคนี้จบ เสียงเคาะประตูด้านนอกก็แว่วขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเสียงอ้อมแอ้มของหยวนฟาง “เต้าเหยี่ย หยวนเหยี่ย”
หยวนกังที่เก็บเสื้อผ้าเปียกๆ อยู่หันกลับไปตะคอกอีกครั้งว่า “ไสหัวไป!”
มีเสียงเปิดประตูดังแอ๊ด หยวนฟางไม่เพียงแต่จะไม่ไสหัวไปเท่านั้น แต่ยังเปิดประตูแล้วแทรกตัวเข้ามาอย่างใจกล้าหน้าด้าน
หยวนกังโยนชุดเปียกๆ ในมือทิ้ง กำหมัดเดินเข้าไป ท่าทางคล้ายอยากจะทุบตีเขา
หยวนฟางถอยไปติดกำแพง รีบโบกไม้โบกมือพลางกล่าวว่า “หยวนเหยี่ยยั้งมือด้วย ฟังข้าก่อนเถิด หยวนเหยี่ย หยวนเหยี่ย…”
“เจ้าลิง นิสัยใจร้อนวู่วามของเจ้าเมื่อไรถึงจะแก้ได้? ถึงแม้จะตัดขาดไม่ข้องเกี่ยว ต่างคนต่างเดินกันคนละทางแล้ว แต่ฟังเขาพูดสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไรนี่ รอฟังเขาพูดให้จบก่อนก็ยังไม่สาย” หนิวโหย่วเต้าที่หันหน้ามองออกไปด้านนอกหน้าต่างเอ่ยขึ้นมาเบาๆ
หยวนกังที่กำลังจะง้างหมัดชะงักลงทันที ลดมือลงแล้วเอ่ยว่า “มีอะไรก็รีบว่ามา”
หยวนฟางที่สองมือกุมศีรษะกำลังจะไปนั่งคุดคู้อยู่ตรงมุมกำแพงคล้ายได้รับการอภัยโทษ เขาลุกขึ้นยืนพลางรีบเอ่ยขอบคุณ “เต้าเหยี่ยสมเป็นผู้ใหญ่ใจกว้างโดยแท้”
หนิวโหย่วเต้ามองออกไปนอกหน้าต่าง เอ่ยถามเขาว่า “เจ้ามิใช่ว่าอยากจะรีบจากไปหรอกหรือ วิ่งกลับมาทำไมอีกล่ะ?”
สีหน้าหยวนฟางกระอักกระอ่วน เขานั้นต้องการจากไปจริงๆ แต่ขณะที่เขาเรียกรวมเหล่าสมณะและเตรียมตัวจะออกไปจากรั้วที่ล้อมรอบจุดพักม้า ด้านนอกกลับมีทหารมากมายคอยจ้องมองเขาอยู่ ทันใดนั้นเขาพลันสังเกตเห็นความผิดปกติ เขาถูกพระชายาคนนั้นหมายหัวแล้ว ถ้าออกไปตอนนี้ จะหนีไปไหนได้เล่า? พระชายาคนนั้นมียอดฝีมืออยู่ในมือมากมาย น่ากลัวกว่าหนิวโหย่วเต้ามากนัก หากถูกนางหมายหัวแล้วยังคิดว่าจะหนีออกไปจากอาณาเขตจังหวัดกว่างอี้ได้อีกหรือ?
พอใคร่ครวญดูเล็กน้อยก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเฟิ่งรั่วหนานถึงไม่ลงมือในตอนนี้ เพราะเขาอยู่ฝ่ายเดียวกันกับหนิวโหย่วเต้า เป็นคนในสังกัดของซางเฉาจง ถ้าลงมือกับเขาตรงๆ ทั้งสองฝ่ายจะต้องเกิดความบาดหมางแน่ หากไม่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของทางนี้แล้ว พอออกไปด้านนอกไร้ซึ่งผู้คน แค่คิดดูก็รู้แล้วว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ออกไปตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!
จูงม้าไปคนละตัวอย่างนั้นหรือ? ก่อความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ ถ้าคนเขาไม่สังเกตเห็นก็แปลกแล้ว! ให้เดินเท้าหรือ? เกรงว่ายังไปไม่ถึงไหนก็คงถูกจับตัวได้แล้ว!
เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาถึงได้พบว่าหนิวโหย่วเต้าจะยกม้าให้พวกเขาหรือไม่ก็ไม่มีอะไรต่างกันเลย คำว่าใจกว้างที่เอ่ยออกมานี้ เขารู้สึกฝืนใจอยู่ไม่น้อยกว่าจะเอ่ยออกมาได้
พอพบว่าตกหลุมพรางแล้ว เขานึกคลางแคลงเล็กว่าหนิวโหย่วเต้าจงใจปล่อยพวกเขาออกไป คิดจะสลัดพวกเขาทิ้งเพื่อตัดความรับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องในคืนนั้นใช่หรือไม่ เพราะเขามองว่าพวกตนไม่ได้มีประโยชน์อันใดสำหรับหนิวโหย่วเต้าเลย
“เรื่องนั้น…เต้าเหยี่ย พวกเรายังไม่คิดจะไปตอนนี้ขอรับ” หยวนฟางยิ้มแห้งๆ
“เมื่อครู่นี้เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็จะไปให้ได้ ยามนี้มาบอกว่าไม่คิดจะไปตอนนี้ แสดงว่าในอนาคตคิดจะไปอยู่สินะ! เจ้าหมีเอ๋ย เจ้าทำแบบนี้น่าระอานัก จะล้อข้าเล่นหรือ?” หนิวโหย่วเต้ายังคงหันหลังให้
“มิกล้าๆ!” หยวนฟางรีบโบกมือปฏิเสธ รีบเดินอ้อมหยวนกังเข้าไปหาหนิวโหย่วเต้า “เต้าเหยี่ย ข้ามิได้คิดเช่นนั้นเลย คือแบบนี้ขอรับ…”
หนิวโหย่วเต้าไม่ฟังคำอธิบายของเขาเลย เอ่ยโพล่งออกไป “ส่งแขก! ไล่ตะเพิดออกไปจากจุดพักม้าซะ แจ้งกับทหารด้านนอกด้วยว่าคนผู้นี้ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรา หากกล้ามาก่อความวุ่นวายอีก จัดการได้เลย!”
หยวนฟางเบิกตากว้างด้วยความหวาดผวา “เต้าเหยี่ย อั่ก…”
หยวนกังพุ่งเข้ามา ซัดหมัดชกเข้าที่ท้องของเขาเสียงดังปึก ทำให้เขาหุบปาก จากนั้นก็หิ้วคอเสื้อเขาลากออกไปด้านนอก
“เต้าเหยี่ย ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ ท่านจะรื้อสะพานทิ้งหลังข้ามแม่น้ำเสร็จไม่ได้นะ!” หยวนฟางสะบัดแขนหยวนกังออก ยื้อยุดกับหยวนกัง ไม่ยอมจากไป ร้องโวยวายอยู่ตรงนั้น เรี่ยวแรงของเขาในตอนนี้ไม่แพ้หยวนกังเลย แต่ที่ผ่านมาเนื่องจากเป็นห่วงความปลอดภัยของเหล่าสมณะวัดหนานซานจึงไม่กล้าลงมือ ยามนี้เขาร้อนใจจริงๆ หนิวโหย่วเต้าทำเช่นนี้ เป็นการคร่าชีวิตพวกเขาชัดๆ!
หนิวโหย่วเต้าหันกลับมาในทันใด “รื้อสะพานหลังข้ามแม่น้ำหรือ? เยี่ยมมาก! ตัวข้ามิใช่คนไร้เหตุผล ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ให้เจ้าได้เลือกใหม่อีกครั้ง จะไปหรือจะอยู่!”
หยวนฟางที่ถูกหยวนกังหิ้วคอเสื้ออยู่ตะลึงไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็ตอบเสียงอ่อนว่า “ตอนนี้ไม่ไปแล้วขอรับ!”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยทวน “ตอนนี้หรือ? กินเปล่าอยู่เปล่าไปอีกสักระยะ จากนั้นค่อยสะบัดก้นจากไปสินะ? บนโลกนี้ไหนเลยจะมีเรื่องดีเช่นนี้อยู่? ไปหรืออยู่ มีตัวเลือกแค่นี้ เจ้าเลือกเองเถอะ ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด!” เมื่อเห็นเขาลังเล จึงเอียงคอส่งสัญญาณให้หยวนกังทันที “ส่งแขก!”
หยวนฟางตะโกนออกมาทันที “อยู่! พวกเราอยู่!”
หนิวโหย่วเต้ากดมือลงเล็กน้อย หยวนกังคลายมือปล่อยตัวเขา หนิวโหย่วเต้าเดินเข้าไปใกล้พลางเอ่ยว่า “เจ้าหมี เจ้าเลือกแบบนี้เองนะ เจ้าตัดสินใจอยู่เอง ในเมื่อเลือกเส้นทางด้วยตัวเองแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบด้วย แน่ใจนะว่าจะอยู่?”
หยวนฟางอยากร้องไห้แล้ว ก้มหน้าลงแล้วตอบว่า “อยู่!” ทว่าโอดครวญอยู่ในใจ ชายชาตรีต้องรู้จักถอยเลี่ยงภัย ขอเพียงมีโอกาส ค่อยหนีทีหลังก็ยังไม่สาย
ในเวลานี้เอง มีเสียงคนเคาะประตูจากด้านนอก จากนั้นประตูถูกเปิดออกทันที เหวินลี่ปรากฏตัวขึ้นหน้าประตู เดินเข้ามา สายตาจ้องมองหยวนฟาง ชี้ไปที่เขาแล้วกล่าวว่า “เจ้า ตามข้ามาหน่อย พระชายาต้องการพบเจ้า!”
หยวนฟางพลันเผยสีหน้าหวาดผวา สตรีนางนี้เป็นคนของสตรีที่กล้าทุบตีสามีในห้องหอนางนั้น เขารีบขอความช่วยเหลือจากหนิวโหย่วเต้า “เต้าเหยี่ย!”
หนิวโหย่วเต้ายันกระบี่ค้ำพื้นขวางอยู่ตรงหน้าเขา ตอบเหวินลี่ว่า “ไม่ไป!”
เหวินลี่ตะลึงงัน คนผู้นี้เป็นใครกัน โอหังขนาดนี้ นางเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งตึง “เจ้าก็ได้ยินชัดแล้ว พระชายาต้องการพบเขา!”
หนิวโหย่วเต้าตอบอย่างเฉยชา “ท่านอ๋องกล่าวว่าเรื่องราวทุกอย่างต้องได้รับความเห็นชอบจากพระองค์ก่อน โดยเฉพาะเรื่องของพระชายา” เขาไม่สนใจ ผลักภาระไปให้ซางเฉาจงอย่างไม่ไยดี เพราะขอเพียงเขาไม่ยินยอม ซางเฉาจงก็ชี้นิ้วบงการเขาไม่ได้ จึงนำมาใช้เป็นโล่ป้องกันได้พอดี ถึงอย่างไรเฟิ่งรั่วหนานก็ไม่กล้าฆ่าซางเฉาจงอยู่แล้ว อย่างมากก็แค่ทุบตีซางเฉาจงสักยก
“….” เหวินลี่ถูกขัดจนพูดไม่ออก สะบัดตัวเดินจากไป ทิ้งวาจาข่มขู่ไว้ประโยคหนึ่ง “พวกเจ้ารอก่อนเถอะ!”
หนิวโหย่วเต้าหันกลับมา เอ่ยกับหยวนฟางที่กำลังโล่งอกว่า “ไม่เป็นไร มีข้าอยู่ ข้าไม่มีทางปล่อยให้นางแตะต้องเจ้าแน่ ข้าจะให้คำมั่นเอาไว้ตรงนี้ นับจากนี้มีเนื้อร่วมกิน มีสุราร่วมดื่ม มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน!”
“ขอบคุณเต้าเหยี่ย ขอบคุณเต้าเหยี่ย!” หยวนฟางรีบเอ่ยขอบคุณ แต่ไม่ได้เก็บคำพูดหนิวโหย่วเต้ามาคิดเป็นจริงเป็นจัง
ทว่าผ่านไปไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าที่เร่งร้อนแว่วใกล้เข้ามา
ปัง! ประตูห้องถูกคนถีบเปิดออก เป็นเฟิ่งรั่วหนาน สีหน้าถมึงทึง มีคนตามหลังมาด้วยจำนวนหนึ่ง
พอเห็นรูปการณ์เช่นนี้ หนิวโหย่วเต้าอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ รู้สึกว่าสตรีห้าวหาญนางนี้ประหลาดนัก แค่เรื่องเล็กๆ ในห้องหอของบ่าวสาวเรื่องนั้น โวยวายไม่จบไม่สิ้นสักที ไม่เบื่อหรือไง?
………………………………………………….