ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 68 ตัวประกัน
ตอนที่ 68 ตัวประกัน
ไอสังหารคุกรุ่น หยวนฟางหวาดผวา หลบอยู่ด้านหลังหนิวโหย่วเต้า ไม่กล้าโผล่หัวออกมา
“พระชายาคิดจะทำอันใดพ่ะย่ะค่ะ?” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
เฟิ่งรั่วหนานยกเท้าก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา “เจ้าว่าข้าจะทำอันใดล่ะ?”
หนิวโหย่วเต้าถามหยั่งเชิง “คิดจะสังหารพ่อสื่ออย่างกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ยังกล้าเรียกตัวเองว่าพ่อสื่ออีกหรือ? เฟิ่งรั่วหนานนึกถึงเรื่องยืมเงินขึ้นมา น่าอัปยศอดสูเหลือทน โทสะพลันลุกท่วมอยู่ในใจ นางเอ่ยอย่างเยียบเย็นว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าลงมือสินะ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยตอบ “เกรงว่าคงไม่มีเรื่องใดที่พระชายาไม่กล้าทำหรอกพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่พระชายาก็ต้องคำนึงถึงทางท่านอ๋องด้วย ดีร้ายอย่างไรท่านอ๋องก็เป็นสามีของพระองค์มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เฟิ่งรั่วหนานยกมือแตะด้ามกระบี่ตรงเอว แววตาเฉียบคมเย็นชา “สังหารพ่อสื่อก่อน ค่อยสังหารสามีต่อ เจ้าว่าเป็นอย่างไร?”
หนิวโหย่วเต้าตะลึงเป็นอย่างมาก กล้าพูดขนาดนี้เชียวหรือ? หยวนฟางที่อยู่ข้างหลังเขายิ่งอกสั่นขวัญแขวน หยวนกังสืบเท้าอย่างช้าๆ เปลี่ยนไปยืนอยู่ในตำแหน่งที่พร้อมสำหรับโจมตี
เฟิ่งรั่วหนานชี้นิ้วออกมา “ถ้าไม่อยากตายก็ส่งตัวเขามา!”
หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองเหมยหลานจู๋จวี๋สี่สาวที่ยืนขนาบอยู่ข้างกายนาง เขาถือกระบี่ค้ำไว้ด้านหน้า “เรื่องนั้นเป็นคำสั่งจากท่านอ๋อง คนลงมือก็คือท่านอ๋อง ไยพระชายาต้องมาไล่เบี้ยเอากับผู้น้อยเล่า มีเรื่องอันใดก็ไปหาท่านอ๋องสิพ่ะย่ะค่ะ มิเช่นนั้น กระหม่อมก็ไม่ยอมเช่นกัน!”
ทันทีที่กล่าวจบ ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้ารีบเร่งดังแว่วเข้ามาใกล้ เฟิ่งรั่วหนานก่อความวุ่นวายถึงขนาดนี้ ซ้ำยังอยู่ในจุดพักม้าเดียวกัน เป็นไปไม่ได้ที่พวกซางเฉาจงจะไม่ได้ยินเสียง
“เกิดอะไรขึ้น?” ซางเฉาจงตะโกนถาม เดินนำพวกหลานรั่วถิงและซางซูชิงที่ตื่นตระหนกงุนงงเข้ามา
หนิวโหย่วเต้าชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยชี้แจงด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “พระชายาทำตัวไร้เหตุผล ต้องการนำตัวลูกน้องของกระหม่อมไปพ่ะย่ะค่ะ!” พลางเอียงคอไปทางด้านหลังเล็กน้อย
ซางเฉาจงหันขวับทันที เอ่ยกับเฟิ่งรั่วหนานด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้าคิดจะทำอันใด?”
เฟิ่งรั่วหนานชักกระบี่เสียงดังชิ้ง ชี้ออกไป “ให้เขาส่งตัวคนมา!”
ซางเฉาจงโมโหแล้ว “ถ้าไม่ให้แล้วจะเป็นอย่างไร?”
พอได้ยินเช่นนี้ หนิวโหย่วเต้ากลับนึกชื่นชมซางเฉาจงขึ้นมาเล็กน้อย ในสถานการณ์เช่นนี้กลับไม่ถามอะไรทั้งสิ้น ออกหน้าช่วยคนของตนก่อนแล้วค่อยว่ากัน
มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่าคนเราล้วนต้องค่อยๆ เรียนรู้ปรับตัวเข้าหากัน เวลานี้หนิวโหย่วเต้าไม่ได้รู้สึกอคติตั้งแง่กับท่านอ๋องน้อยผู้นี้แล้ว
“เจ้าก็ลองไม่ให้ดูสิ!” เฟิ่งรั่วหนานจ่อกระบี่ไปทางเขา โมโหเช่นเดียวกัน แค่เห็นคนผู้นี้ ฉากอันน่าบัดสีในคืนเข้าหอก็ผุดขึ้นมา ไอ้คนไร้ยางอาย ยังกล้ามากำแหงกับตนอีก
“พระชายา หยุดก่อเรื่อง!” น้ำเสียงเฉยชาของไป๋เหยาแว่วมาจากด้านนอก “มาซ่องสุมทำอันใดอยู่ในนี้ จะเข่นฆ่ากันเองหรือไร? ”
ทันทีที่เขาเอ่ยปากขึ้นมา แม้นจะยังไม่เห็นตัวเขา ทว่าพวกเหมยหลานจู๋จวี๋พลันลนลานขึ้นมาทันที ก่อนจะพากันล่าถอยออกไป เห็นได้ชัดว่าได้ผลยิ่งกว่าคำสั่งของเฟิ่งรั่วหนานเสียอีก เหลือเพียงเหวินซินและเหวินลี่ที่ยังอยู่ข้างกายเฟิ่งรั่วหนาน
เวลานี้ไป๋เหยาที่กอดกระบี่ไว้ในอ้อมแขนปรากฏตัวขึ้นหน้าประตู ตะโกนเรียกอีกครั้ง “พระชายา!”
“ฝากไว้ก่อนเถอะ!” เฟิ่งรั่วหนานชี้กระบี่ไปที่ซางเฉาจง จากนั้นสะบัดหน้าจากไป
หลานรั่วถิงรีบหันไปประสานมือคำนับไป๋เหยาที่อยู่ด้านนอก แสดงความขอบคุณ
ไป๋เหยามองทุกคนในห้องอย่างเฉยชาแวบหนึ่ง ค่อยๆ หันหลังจากไป
หนิวโหย่วเต้าหันกลับมา เอ่ยกับหยวนฟางว่า “ช่วงนี้คอยตามอยู่ข้างกายข้า อย่าเที่ยวเพ่นพ่านไปไหน หากผู้ใดคิดจะแตะต้องเจ้า ต้องผ่านด่านข้าไปก่อน!”
หยวนฟางพยักหน้ารัวๆ ไหนเลยจะกล้าหนีอีก ตอนนี้ต่อให้ไล่ตะเพิดเขาไปเขาก็ไม่กล้าไปอยู่ดี
หลานรั่วถิงก้าวเข้ามาประสานมือกล่าวกับหนิวโหย่วเต้า “เต้าเหยี่ย เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หนิวโหย่วเต้าชี้ไปที่หยวนฟาง “พฤติกรรมชั่วช้าตอนอยู่ที่วัดหนานซานของคนผู้นี้ยากจะแก้ไขได้ คืนเข้าหอของท่านอ๋อง เขาเผลอตัวใส่อะไรบางอย่างลงไปในอาหารของพระชายาเพื่อช่วยท่านอ๋อง!” เขารู้ว่าเรื่องนี้ปิดไว้ไม่ได้แล้ว หากเฟิ่งรั่วหนานก่อเรื่องเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วความต้องแตกแน่ ปิดบังคนพวกนี้ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร
หยวนฟางก้มหน้าต่ำ ในใจพร่ำบ่นออกมา ใช่ข้าเผลอตัวที่ไหนกันล่ะ…แต่ว่าเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว ดูเหมือนจะมีแค่หนิวโหย่วเต้าเท่านั้นที่ออกหน้าช่วยเหลือเขาได้ เขาจึงทำได้เพียงยอมรับไปโดยปริยาย
สีหน้าของซางเฉาจงพลันประดักประเดิดขึ้นมา “เหลวไหล!” เขาเอ่ยทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป เอ่ยถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว น่าละอายนัก
หลานรั่วถิงและซางซูชิงมองหน้ากัน ในที่สุดก็เข้าใจเรื่องราวบางอย่างแล้ว แม้ว่าหนิวโหย่วเต้าจะโยนความผิดให้หยวนฟางแล้ว แต่ทั้งสองมิใช่คนโง่ รู้ดีว่าผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังคือหนิวโหย่วเต้าแน่นอน
หลานรั่วถิงยิ้มเจื่อนพลางเอ่ยว่า “ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ คงต้องขอร้องเต้าเหยี่ยช่วยอดทนกับบางเรื่องให้มากหน่อย มิอาจปล่อยให้ขัดแย้งบานปลายไปใหญ่ได้”
หนิวโหย่วเต้าแย้มยิ้มพยักหน้ารับ “ท่านหลานวางใจเถิด สิ่งใดที่สมควรทนข้าจะทน แต่สิ่งใดไม่สมควรทนก็ไม่จำเป็นต้องทน”
หลานรั่วถิงจนปัญญา พูดกับไม่พูดไม่ได้มีอะไรต่างกันเลย แต่ทางนี้ก็ควบคุมอะไรคนผู้นี้ไม่ได้เช่นกัน ได้แต่ถอนหายใจ ส่ายหน้าเดินจากไป
เรื่องราวคล้ายจะสงบลงชั่วขณะ หยวนฟางเองก็สงบเสงี่ยมลงชั่วคราว ไม่คิดหนีอีก ไม่กล้าย่างเท้าออกนอกประตูส่งเดชด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจแล้ว จะตามติดอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า หลบหลีกอันตรายให้พ้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ทว่าสงบลงได้ไม่นาน ก็มีสมณะจากวัดหนานซานรูปหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยความร้อนรน เอ่ยอย่างตระหนกเสียขวัญ “เจ้าอาวาส แย่แล้วขอรับ คนของพระชายาจับตัวพวกเราไปสองคน…” เขาอธิบายเพียงเล็กน้อย หยวนฟางก็พอจะเข้าใจแล้ว สมณะสองรูปที่ถูกจับตัวไปต้องเป็นสองคนที่ติดตามเขาไป ‘ทำงาน’ ในคืนวิวาห์ของซางเฉาจงแน่นอน คาดว่าคงถูกจดจำได้
หยวนฟางเอ่ยอ้อนวอนหนิวโหย่วเต้าทันที “เต้าเหยี่ย ได้โปรดช่วยพวกเขาด้วยเถิด ทั้งสองติดตามข้าไปวางยาในคืนนั้น หากถูกพระชายาลงทัณฑ์ทรมาน เกรงว่าพวกเขาคงปากสว่างเล่าเรื่องข้าแน่ขอรับ!” อันที่จริงเขาทราบดี ทุกคนที่ติดตามร่วมหัวจมท้ายกับเขาไม่มีทางยอมเปิดปากง่ายๆ แน่ แต่เขาทนมองดูคนของตนทนทุกข์ทรมานอยู่เฉยๆ ไม่ได้
หนิวโหย่วเต้าก็ตระหนักได้เช่นกันว่าเรื่องนี้วุ่นวายแล้ว หากมีคนซัดทอดมาถึงหยวนฟางจริงๆ อีกฝ่ายมีพยานอยู่ในมือแล้ว เช่นนั้นก็ต้องมาจัดการหยวนฟางแน่ และตัวเขาก็จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เมื่อดูจากท่าทีที่เฟิ่งรั่วหนานมีต่อเรื่องนั้นแล้ว เห็นได้ชัดว่านางไม่มีวันรามือง่ายๆ ดังนั้นจะปล่อยให้พยานของเรื่องนี้ตกอยู่ในมือของสตรีนางนั้นไม่ได้
หยวนกังที่คอยสังเกตการด้านนอกอยู่ตรงริมหน้าต่างพลันพลิกตัว กระโดดลงไปจากชั้นสอง
หนิวโหย่วเต้าขยับไปที่หน้าต่างมองออกไปทันที เห็นหยวนกังที่เพิ่งกระโดดลงไปพุ่งเข้าใส่ใครคนหนึ่ง
เหวินซินที่ออกไปถ่ายทอดคำสั่งสองสามประโยคกับทหารที่อยู่ด้านนอกเพิ่งเดินกลับเข้ามาในเรือนรับรองของจุดพักม้า จู่ๆ ก็ถูกหยวนกังพุ่งเข้าประชิดตัว นางสะดุ้งโหยง ขณะที่ยังไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น มือหยวนกังพลันคว้าหมับเข้าที่ลำคอ ทันใดนั้นมีดสั้นเย็นเฉียบเล่มหนึ่งก็ทาบลงบนลำคอของนาง
เหวินซินเอ่ยด้วยความหวาดกลัว “เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไร?”
หนิวโหย่วเต้าและหยวนฟางก็กระโดดลงมาเช่นกัน มุ่งหน้ามาทางนี้
การเข้าจู่โจมจับตัวประกันอย่างกะทันหันของหยวนกังดึงดูดความสนใจของคนกลุ่มใหญ่เอาไว้ แม้แต่ไป๋เหยาก็ยื่นศีรษะออกมาจากบนหลังคาอย่างรวดเร็ว
หนิวโหย่วเต้าเดินเข้าหยุดข้างๆ หยวนกัง หันไปถามสมณะที่มาส่งข่าว “คนที่ถูกจับอยู่ที่ไหน?”
สมณะรูปนั้นรีบชี้ไปทางกระโจมหลังหนึ่งที่มีกระโจมหลายหลังโอบล้อมและมีทหารเฝ้าอยู่รอบๆ “อยู่ในกระโจมหลังนั้นขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าถือกระบี่สาวเท้าออกเดิน หยวนกังควบคุมตัวประกันเดินตามไป ตั้งท่าป้องกันจากรอบทิศทาง คมมีดในมือคล้ายจะปาดเข้าที่ลำคอของเหวินซินได้ทุกเมื่อ
เวลานี้ พวกซางเฉาจงทราบข่าวจึงตามออกมา พอเห็นเหตุการณ์ก็รีบวิ่งเข้ามา เอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
หนิวโหย่วเต้าไม่สนใจชายที่ไม่มีปัญญาควบคุมสตรีของตนผู้นี้ สีหน้าเยียบเย็น สาวเท้าก้าวไปด้านหน้า เข้าใกล้กระโจมที่คุมขังคนไว้
หลานรั่วถิงถอนหายใจเล็กน้อย เหตุใดถึงเกิดเรื่องขึ้นอีกแล้ว สงบเสงี่ยมกันหน่อยไม่ได้หรือ
หยวนฟางโบกมือคราหนึ่ง เหล่าสมณะวัดหนานซานทั้งหมดวิ่งเข้ามาหา ติดตามไปด้วยกัน
ม่านกระโจมที่มีทหารห้อมล้อมอยู่พลันแหวกเปิดออก เฟิ่งรั่วหนานมุดออกมา เมื่อเห็นเหตุการณ์ด้านนอกก็ตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “บังอาจจับคนของข้า ช่างใจกล้านัก ปล่อยคนซะ!”
หนิวโหย่วเต้าหยุดฝีเท้า ยันกระบี่ไว้ตรงหน้า “ให้ปล่อยคนน่ะได้ แต่พระชายาก็ควรปล่อยคนของกระหม่อมก่อนมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
พอได้ยินเช่นนี้ พวกซางเฉาจงก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ความโกรธเกรี้ยวค่อยๆ ฉายชัดขึ้นบนใบหน้าของซางเฉาจง สตรีนางนี้ยังไม่ยอมจบเรื่องอีกหรือ
เฟิ่งรั่วหนานเอ่ยด้วยความโกรธ “อยู่ที่นี่เจ้าไม่มีสิทธิ์ต่อรอง ข้าขอสั่งให้เจ้าปล่อยคนเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นก็รอรับผลจากกระทำของตนซะ”
หนิวโหย่วเต้าไม่ปริปากอีก เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างหยิ่งทะนง
เพียะ! เพียะ! เพียะ…
เสียงตบหน้าดังต่อเนื่องชัดเจนขึ้นมา หยวนกังบีบคอเหวินซินไว้ ง้างมือขึ้นตบหน้าเหวินซินอย่างเต็มแรงซ้ำไปซ้ำมาต่อหน้าคนมากมาย ตบจนเหวินซินเลือดกบปากอย่างรวดเร็ว ตาลายจนมองเห็นดาว
เฟิ่งรั่วหนานเบิกตากว้าง นี่ใช่การตบเหวินซินเสียที่ไหน เป็นการตบหน้านางต่อหน้าคนมากมายชัดๆ นางโบกมือคราหนึ่ง สมณะสองรูปที่ถูกทุบตีจนใบหน้าฟกช้ำบวมเป่งถูกลากตัวออกมาจากกระโจมทันที นางตะโกนกร้าว “ปล่อยคนเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นพวกเขาตาย!”
มีทหารยกดาบพาดคอสมณะทั้งสองรูปในทันใด เหล่าสมณะแห่งวัดหนานซานต่างโกรธเกรี้ยว ทว่าไม่กล้าเปิดปากพูดอะไร
หนิวโหย่วเต้ายังคงปิดปากเงียบอย่างเย่อหยิ่ง หยวนกังคว้าแขนเหวินซินแล้วบิดหมุนทันที เกิดเสียงกระดูกลั่นดังกึก
“อ๊า!” เหวินซินร้องโหยหวนต่อหน้าคนมากมาย แขนข้างที่ถูกหยวนกังบิดห้อยร่องแร่ง แกว่งไกวไปมาอยู่ด้านหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง
เหวินลี่ที่ติดตามอยู่ข้างกายเฟิ่งรั่วหนานตกใจจนหน้าซีด พวกซางเฉาจงต่างมองไปที่หยวนกัง ต่างตระหนักรู้แล้วว่าคนผู้นี้เป็นคนโหดเหี้ยมลงมือไร้ปราณี!
เฟิ่งรั่วหนานชี้หน้าตวาดใส่ด้วยความโกรธ “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าลงมือหรือ?”
หยวนกังสลับมือทันที คว้าแขนอีกข้างของเหวินซินเอาไว้
“หยุดมือ!” ไป๋เหยาที่ยืนอยู่บนหลังคาตะโกนออกมา
หนิวโหย่วเต้ายกมือขึ้นเล็กน้อย หยวนกังหยุดมือทันที มีดสั้นทาบลงบนลำคอที่ขาวผ่องของเหวินซินอีกครั้ง ยังคงตั้งท่าระมัดระวังรอบข้างในระดับสูงสุด
เวลานี้ ทหารของทางเฟิ่งรั่วหนาน รวมถึงทหารของทางซางเฉาจงล้วนระดมพลกันอย่างรวดเร็ว ทหารของทั้งสองฝ่ายต่างประจันหน้าคุมเชิงกัน
ไป๋เหยาพลันไหวกาย เหินลงมาจากบนหลังคา ร่อนลงตรงกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย กล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “จงปล่อยตัวประกันทั้งคู่!”
เฟิ่งรั่วหนานขบกรามแน่น ไป๋เหยาออกปากแล้ว นางไม่กล้าขัดขืน แต่นางทำใจปล่อยคนไปแบบนี้ไม่ได้ จึงชี้หน้าหนิวโหย่วเต้าพลางตวาดใส่ “ไอ้คนชั้นต่ำ คืนเงินที่ติดข้ามาก่อน!”
“ในเมื่อผู้อาวุโสไป๋เอ่ยปาก ทางข้าย่อมไม่พูดมากอีก เชื่อมั่นในการตัดสินของผู้อาวุโสไป๋!” หนิวโหย่วเต้าโบกมือพลางร้องสั่ง “ปล่อยคน!”
ท่าทางดูใจถึงไม่คิดเล็กคิดน้อย ทำให้คนมากมายอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมอง ไป๋เหยาเองก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองดูเขาอีกครั้ง
หยวนกังเก็บมีดสั้นทันที ผลักเหวินซินที่แทบจะเป็นลมอยู่ร่อมร่อแล้วออกไป
เหวินซินที่วิงเวียนตาลายเซถอยหลัง มีทหารฝั่งตรงข้ามเข้ามาประคองออกไปอย่างรวดเร็ว
ไป๋เหยาหันไปจ้องอีกทางหนึ่ง เหมยหลานจู๋จวี๋ก้าวเข้ามาทันที ไม่สนใจท่าทีของเฟิ่งรั่วหนาน ปลดปล่อยสมณะทั้งสองรูปทันที ผลักตัวส่งคืนไปเช่นกัน
เหล่าสมณะแห่งวัดหนานซานก็ก้าวเข้ามารับตัวไว้เช่นกัน
หนิวโหย่วเต้าสำรวจสมณะทั้งสองรูปที่ถูกส่งตัวกลับมาแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าน่าจะไม่มีปัญหาอันใด เขาก็เปิดปากเอ่ยอีกครั้ง “ในเมื่อพระชายาเอ่ยเรื่องเงินออกมา กระหม่อมก็จะถือโอกาสที่มีผู้อาวุโสไป๋อยู่เป็นประจักษ์พยานนี้ สลายประเด็นขัดแย้งให้กระจ่างกันไป เลี่ยงไม่ให้ใครบางคนเอาแต่ก่อเรื่องขึ้นไม่รู้จบจนส่งผลต่อความปรองดองของทั้งสองฝ่าย ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสไป๋คิดเห็นอย่างไร?”
……………………………………………………….