ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 69 ตอนนี้....ไม่ได้!
ตอนที่ 69 ตอนนี้….ไม่ได้!
ไป๋เหยาไม่พูดอะไร แล้วก็ไม่สะดวกจะพูดอะไร ถึงแม้เขาจะเห็นด้วยกับการจัดการเรื่องนี้ให้จบสิ้น เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เฟิ่งรั่วหนานเอาแต่ก่อเรื่องจนพาลทำให้เสียเรื่อง แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนของทางเฟิ่งรั่วหนาน เขาออกหน้าปรามเฟิ่งรั่วหนานได้ ทว่าไม่เหมาะจะเข้าข้างฝั่งหนิวโหย่วเต้าต่อหน้าเหล่าทหารได้
แต่การที่เขานิ่งเงียบไม่ปริปากพูด ก็ถือเป็นการยอมรับโดยปริยายแล้ว
หนิวโหย่วเต้าย่อมรู้ความดี จึงเอ่ยต่อว่า “ทุกคนอาจจะแปลกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มีต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวมากมายที่ทุกคนอาจจะไม่รู้ พระชายาบอกว่าข้าติดเงินพระองค์ ถูกต้อง ข้าเงินขาดมือจึงไปขอยืมเงินจำนวนหนึ่งจากพระชายาจริงๆ เป็นจำนวนไม่น้อย หนึ่งหมื่นเหรียญทอง! การที่พระชายาทวงเงินก็นับเป็นเรื่องสมเหตุสมผล ข้าเองก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่คืน แต่มีเรื่องหนึ่งที่ต้องพูดกันให้ชัดเจน นั่นคือเงินก้อนนั้นถูกหยิบยืมมาให้ท่านอ๋อง ตัวข้าไม่ได้ใช้เลยสักแดงเดียว อีกทั้งเงินก้อนนี้ ทางท่านผู้ว่าการก็ออกปากแล้วว่าให้แล้วกันไป แต่ถึงแม้ท่านผู้ว่าการจะบอกให้แล้วกันไป ทว่าหากพระชายายังยืนกรานจะไล่ทวงถาม เช่นนั้นข้าก็ไม่มีอันใดจะกล่าวอีก ข้าอยากจะขอให้ผู้อาวุโสไป๋ช่วยเป็นคนตัดสินในเรื่องนี้ เวลานี้ข้าหาเงินจำนวนนี้มาคืนให้ไม่ได้จริงๆ ท่านอ๋องเองก็ไม่มีให้เช่นกัน สามารถผ่อนผันออกไปสักหน่อยได้หรือไม่? รอไว้ไปถึงเมืองข้างหน้า เมื่อท่านอ๋องของพวกเราขายม้าศึกได้แล้ว พระองค์จะต้องรวบรวมเงินมาคืนได้แน่นอน ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสไป๋คิดเห็นประการใดบ้าง?”
พวกซางเฉาจงหมดคำพูด โดยเฉพาะซางเฉาจงที่ค่อนข้างกระอักกระอ่วน บอกว่าเป็นเงินที่เขายืมอีกแล้ว แต่เขากลับไม่สามารถปฏิเสธได้ จะขายม้าศึกของเขาอีกแล้ว….
มุมปากไป๋เหยากระตุกขึ้นมาเล็กน้อย เฟิ่งรั่วหนานโมโหจนแทบจะกระอักเลือด ช่วงแรกๆ หนิวโหย่วเต้าพูดจาวางภูมิดูมีเหตุผล หลงนึกว่าเขาจะขอผ่อนผันสักหน่อยแล้วจะนำเงินมาคืนให้แน่นอน แต่พูดไปพูดมา ที่แท้ก็จะขายม้าศึกอีก ถ้าเฟิ่งหลิงปอทราบเรื่องนี้แล้วไม่โมโหน่ะสิถึงจะแปลก พูดจาเป็นคุ้งเป็นแคว สุดท้ายล้วนแต่ไร้สาระทั้งสิ้น ว่ากันตรงๆ แล้วก็คือไม่คิดจะคืนเงินอยู่ดี!
หนิวโหย่วเต้าไม่เคยคิดจะชดใช้เงินจำนวนนี้ อีกทั้งคนที่ติดค้างเงินก็ไม่ใช่เขา เขาไม่ได้ใช้เงินจำนวนนี้เลยแม้แต่แดงเดียว ทั้งหมดล้วนใช้จ่ายเพื่อซางเฉาจงทั้งสิ้น อีกอย่างตอนนี้ซางเฉาจงกับเฟิ่งรั่วหนานก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว มีสิทธิ์อะไรมาทวงถามเงินจำนวนจากเขา? ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!
ไป๋เหยาเหลือบมองหนิวโหย่วเต้าแวบหนึ่ง คนผู้นี้กระทำเรื่องไร้ยางอายโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย!
แต่คนอื่นๆ ไม่ทราบรายละเอียดเรื่องราว จึงมีคนแอบซุบซิบกันขึ้นมา ส่วนใหญ่ล้วนรู้สึกว่าเฟิ่งรั่วหนานกำลังพาลพาโลไร้เหตุผล ในเมื่อซางเฉาจงเป็นคนยืมเงินไป ซ้ำนางยังกลายเป็นสามีภรรยากับซางเฉาจงแล้ว การจะมาพูดเรื่องคืนเงินอันใดอีกมันก็ออกจะเกินไปหน่อยจริงๆ
โดยเฉพาะทหารองครักษ์ของทางซางเฉาจงยิ่งบ่นอุบอิบอยู่ในใจ หรือคิดจะขายม้าศึกแล้วให้พวกเราเดินเท้าไปยังอำเภอชางหลู?
นี่ก็คือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เฟิ่งรั่วหนานโมโหจนแทบกระอักเลือด คนไร้เหตุผลกลับกลายเป็นนางไปเสียแล้ว แต่ในเรื่องนี้นางกลับยกเหตุผลอะไรที่ฟังขึ้นมาโต้แย้งไม่ได้เลย นี่ยิ่งจะทำให้นางดูโวยวายไร้เหตุผลมากกว่าเดิม อึดอันจนหายใจไม่ออกแล้ว!
เหตุผลที่ทำให้นางทนไม่ไหวจนต้องก่อเรื่องขึ้นมานั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต้าด้วยเช่นกัน นับตั้งแต่ที่ได้พบหนิวโหย่วเต้าในค่ายทหารวันนั้น มันก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความโชคร้ายของนาง ไม่เพียงแต่จะระบายความโกรธแค้นออกมาไม่ได้ แต่เรื่องน่าคับข้องไม่เป็นธรรมก็ยังประเดประดังเข้ามาหานางเรื่องแล้วเรื่องเล่า หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็คงข่มกลั้นความโกรธแค้นนี้ไม่ไหวเช่นกัน โดยเฉพาะกับแม่ทัพหญิงผู้ตรงไปตรงมาอย่างนาง นางเคยต้องได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้เสียเมื่อไรกัน?
ไป๋เหยาเอ่ยปาก “ในเมื่อท่านผู้ว่าการเคยบอกว่าเรื่องเงินจำนวนนี้ให้แล้วกันไป เช่นนั้นก็แล้วกันไปเสีย” เขาพอจะมองออกแล้ว ถ้ายังยึดถือเรื่องเงินไม่ยอมเลิกรา ด้วยความไร้ยางอายของหนิวโหย่วเต้านี้ มีความเป็นไปได้ว่าจะเอาม้าศึกไปขายจริงๆ ทันทีที่ส่งข่าวกลับไป เฟิ่งหลิงปอไม่จะต้องโมโหอย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้นคนที่จะลำบากก็คือตัวเฟิ่งรั่วหนานเอง
“ตกลง! ในเมื่อผู้อาวุโสไป๋ว่ามาเช่นนี้ ผู้เยาว์ก็จะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก” หนิวโหย่วเต้าประสานมือแสดงความขอบคุณ
หลานรั่วถิงอดกุมขมับไม่ได้ สีหน้าจนปัญญา พบว่าหนิวโหย่วเต้าคิดจะปะทะกับพระชายา นี่มันใช่การสะสางปัญหาเสียที่ไหน นี่เขากำลังคิดจะยั่วโมโหพระชายาชัดๆ!
เฟิ่งรั่วหนานกัดฟันแน่น ความคิดที่อยากจะชักกระบี่ฟันคนปรากฏแวบขึ้นมาในหัว!
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยต่อไปว่า “แล้วก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งก็นับว่าเป็นสาเหตุของความขัดแย้งในวันนี้ด้วย บางทีทุกคนคงจะรู้สึกแปลกใจว่าเพราะเหตุใดน่ะหรือ? อันที่จริงก็ไม่มีอะไร ในคืนเข้าหอของท่านอ๋องและพระชายาคืนนั้น พระชายาไม่ยอมประกอบกิจฉันท์สามีภรรยากับท่านอ๋อง ดังนั้นจึงถูกบริวารที่พระชายาจับตัวไปเมื่อครู่นี้ใช้ลูกไม้เล็กน้อย ทำให้พระชายาไม่อาจขัดขืนได้ ทำให้ท่านอ๋องได้แสดงความองอาจตามหน้าที่สามี พระชายาล้ำกลืนโทสะนี้ไม่ลง จึงมาคิดบัญชีเอากับพวกข้า!” ส่วนเรื่อง ‘วางยา’ ก็ถูกบิดเบือดให้ดูเบาบางลง
ทหารของทั้งสองฝ่ายที่ยืนประจันหน้ากันอยู่ต่างมองหน้ากันเหลอหลา มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ? ต้องให้คนนอกช่วยเหลือถึงจะเข้าหอสำเร็จอย่างนั้นหรือ? ทหารบางคนกลั้นหัวเราะไม่อยู่
ซางเฉาจงสีหน้าบึ้งตึง กัดฟันด้วยความคับข้องอยู่บ้าง ไยต้องยกเรื่องนี้ออกมาพูดด้วย
“สารเลว!” เฟิ่งรั่วหนานอับอายจนพาลโกรธในทันใด ไม่คิดเลยว่าหนิวโหย่วเต้าจะนำเรื่องฉาวโฉ่นี้มาเปิดเผยต่อหน้าผู้คนมากมายแทนตัวนาง ไม่รู้ว่าต่อไปจะถูกคนหยิบยกไปวิจารณ์ลับหลังอีกมากน้อยเพียงใด นางชักกระบี่ออกมา พุ่งเข้าใส่หนิวโหย่งเต้า
ไป๋เหยาเอียงศีรษะเล็กน้อย เหมยหลานจู๋จวี๋ทั้งสี่พลันไหวกาย เข้าขัดขวางและกดตัวเฟิ่งรั่วหนานที่พยายามขัดขืนเอาไว้
หนิวโหย่วเต้ากล่าวไปว่า “ผู้อาวุโสไป๋ คืนเข้าหอท่านเองก็อยู่ คนอื่นไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ท่านทราบดี ข้าคงไม่ต้องพูดมากอีก สรุปคือเรื่องราวในวันนี้เกิดขึ้นเพราะเรื่องในคืนนั้น หากพระชายาอยากคิดบัญชีจริงๆ ก็ให้ไปหาท่านอ๋องเสีย เหตุใดต้องมาไล่เบี้ยกับผู้น้อยอย่างพวกเราด้วย หวังว่าผู้อาวุโสไป๋จะช่วยมอบความเป็นธรรมให้พวกเราด้วย” จากนั้นเขาก็หันไปเอ่ยกับซางเฉาจงว่า “ท่านอ๋อง เงินที่หยิบยืมมาก็เป็นพระองค์ที่ใช้ พระชายาก็เป็นพระองค์ที่แต่งงานด้วย ผู้เสพสุขในห้องหอก็คือพระองค์ จะปล่อยให้ลูกน้องอย่างพวกกระหม่อมแบกรับผลกระทบไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ วันนี้จำเป็นต้องสะสางเรื่องนี้ให้ได้ ยุ่งเหยิงพัวพันกันต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ พระองค์ไตร่ตรองดูเถอะพ่ะย่ะค่ะว่าจะจัดการอย่างไร” กล่าวจบเขาก็ไม่สนใจอีก โบกมือนำพวกหยวนกังและหยวนฟางถอยออกไป ทิ้งให้ซางเฉาจงรับหน้าต่อ
สำหรับเขาแล้ว หากมีความสามารถไม่พอ เมื่อถึงเวลาที่ควรถอยก็ต้องยอมถอย จะยืนปะทะอยู่ในแนวหน้าไปตลอดไม่ได้
ซางเฉาจงอยากกระโจนเข้าไปกัดหนิวโหย่วเต้าให้ตายใจแทบขาด มีบุรุษที่ไหนที่ประกอบกิจในห้องหอไม่ได้ จนต้องให้คนอื่นมาช่วย? นี่ทำให้ศักดิ์ศรีความเป็นชายของเขาป่นปี้หมดแล้ว!
ไป๋เหยาเองก็ทนรับหนิวโหย่วเต้าไม่ค่อยไหวเช่นเดียวกัน ไม่ละอายใจบ้างหรือที่นำเรื่องพรรค์นี้มาเอ่ยต่อหน้าคนมากมาย? แถมยังให้ข้าช่วยมอบความเป็นธรรมอีก
หนิวโหย่วเต้าไม่สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป สุนัขชายหญิงคู่นี้ เรื่องที่ควรทำก็กระทำกันไปแล้ว ซางเฉาจงมีสิทธิ์อะไรถึงเอาแต่นิ่งเงียบไม่ปริปาก เฟิ่งรั่วหนานมีสิทธิ์อะไรถึงมาระบายความแค้นกับคนอื่นเขา?
“ข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้!” เฟิ่งรั่วหนานตวาดกร้าว วันนี้นางไม่เพียงแต่อับอายขายหน้าเท่านั้น แต่ยังทำให้ทหารของนางได้เข้าใจความจริงข้อหนึ่งด้วย นางเป็นสตรี สตรีก็คือสตรีอยู่วันยังค่ำ เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่ออำนาจการปกครองในกองทัพของนางเป็นอย่างยิ่ง อันที่จริงภายในค่ายทหารในช่วงหลายปีมานี้นางพยายามกลบเกลื่อนความเป็นสตรีของตนมาโดยตลอด เมื่ออยู่ในกองทัพ แม้บุรุษจะไม่พูดอันใดเกี่ยวกับการที่มีสตรีนำทัพออกรบ แต่ภายในใจยังคงลอบหัวเราะ ‘เหอะๆ’ อยู่ หมายความว่าอย่างไรก็คงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมาก!
“พอได้แล้ว! เรื่องนี้ให้ยุติลงตรงนี้ ต่อไปห้ามก่อเรื่องอีก หากผู้ใดก่อเรื่องอีก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!” ไป๋เหยาตวาด มองซ้ายมองขวาด้วยแววตาเย็นชา เอ่ยเสียงขรึม “ทั้งหมดแยกย้ายไปได้แล้ว!”
หลานรั่วถิงรีบโบกมือไล่ทหารองครักษ์ของซางเฉาจง ไม่นานนัก ไพร่พลของทั้งสองฝ่ายที่ประจันหน้ากันอยู่ก็ลดอาวุธลง ส่วนใหญ่ล้วนแยกย้ายกันไปพร้อมกับแอบขบขันอยู่ในใจ ไร้ซึ่งจิตสังหาร ต่างเห็นเป็นเรื่องครื้นเครงสนุกสนนาน
รอบข้างสลายตัวไปหมดแล้ว เฟิ่งรั่วหนานโมโหจนใบหน้าแดงก่ำ กุมกระบี่หอบหายใจฟึดฟัด
“อย่าก่อเรื่องอีก” ไป๋เหยาเดินเข้ามาตักเตือน จากนั้นขยับเข้าไปใกล้ๆ นางแล้วกล่าวกระซิบว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าคับข้องใจเพราะต้องเจอกับความอัปยศเรื่องแล้วเรื่องเล่า แต่เจ้าควรรู้หนักรู้เบาเสียบ้าง หากเสียงานใหญ่ขึ้นมา ทั้งข้าและเจ้าต่างไม่มีผู้ใดแบกรับผลลัพธ์ที่จะตามมาได้! ข้าขอสัญญากับเจ้าเอาไว้ตรงนี้ ขอเพียงหาสิ่งนั้นพบ เจ้าอยากจะจัดการพวกเขาอย่างไรก็ตามสบายเลย แต่ตอนนี้…ไม่ได้!”
เฟิ่งรั่วหนานกัดริมฝีปาก นางถูกบีบคั้นให้แต่งงานเพราะความจำเป็น จวิ้นอ๋องแล้วอย่างไรเล่า ก็แค่สุนัขจรจัดตัวหนึ่ง นางยังคงดูแคลนซางเฉาจงนัก และทราบดีว่าซางเฉาจงไม่ได้อยากแต่งกับนางด้วยความจริงใจ แต่จำเป็นต้องแต่งกับนางเพื่อเอาชีวิตรอด แล้วนางจะทนรับความคับข้องยินดีแต่งกับซางเฉาจงด้วยความเต็มใจได้อย่างไร? เดิมทีนางแค่แสร้งเออออห่อหมกไปด้วยเพราะเห็นแก่ส่วนรวม แต่งกันแค่ในนามเท่านั้น ไม่คิดจะเป็นสามีภรรยากับซางเฉาจริงๆ รอให้เสร็จสิ้นภารกิจค่อยฆ่าซางเฉาจงทิ้ง ผู้ใดจะคิดว่านางจะพลาดท่าเสียตัวให้ซางเฉาจง ยิ่งไปกว่านั้นคือเรื่องที่นางถือสาก็มีเพียงตัวนางที่ให้ความสำคัญ คนอื่นดูคล้ายไม่ใส่ใจกันเลย ต่างรู้สึกว่าซางเฉาจงหลับนอนกับนางก็เป็นเรื่องปกติธรรมชาติ ทำให้นางหม่นหมองคับข้องไร้ที่ระบาย
เรื่องวุ่นวายคล้ายจะสิ้นสุดลงแล้ว
ทุกอย่างชัดเจนแล้ว มีไป๋เหยาเป็นผู้ตัดสินใจ เรื่องราวเองก็คล้ายจะสงบลงชั่วคราว
เนื่องจากพายุฝน ทั้งคณะจึงหยุดพักค้างคืน ก่อนจะออกเดินทางอีกครั้งในยามรุ่งสาง
เหวินซินที่นั่งอยู่บนหลังม้านับว่าเผชิญเคราะห์ทั้งที่ไร้ความผิด แขนที่ถูกหยวนกังถอดข้อต่อข้างนั้นถึงแม้จะได้รับการต่อกลับแล้ว แต่ก็ต้องดามไม้ห้อยพาดคอไว้ ไม่กล้าเคลื่อนไหวส่งเดช ใบหน้าบวมปูดฟกช้ำ
รอบนี้หยวนฟางตามติดอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า ไม่กล้าห่างไปไหน ไม่ว่าใครต่างก็มองออกทั้งนั้นว่าความโกรธแค้นของเฟิ่งรั่วหนานยังไม่สลายหายไป แค่ถูกสะกดระงับไว้ชั่วคราว
แต่ตอนนี้หยวนฟางกลับรู้สึกประทับใจในตัวหนิวโหย่วเต้าขึ้นมาบ้างแล้ว อีกฝ่ายช่วยออกหน้าให้เขาจริงๆ ออกหน้าช่วยสกัดภัยให้เขาจริงๆ มิใช่แค่พูดไปส่งๆ แล้วก็รู้สึกดีต่อหยวนกังขึ้นมาบ้างเช่นกัน เขาเป็นคนแรกที่พุ่งออกไปจับสาวใช้ประจำตัวของเฟิ่งรั่วหนานเป็นตัวประกัน ซ้ำยังลงมือตบตีสาวใช้ของเฟิ่งรั่วหนานต่อหน้าคนมากมายด้วย นี่คือการสกัดภัยให้เขาอย่างแน่นอน นี่ทำให้หยวนฟางค่อนข้างสับสนเล็กน้อย ตนคู่ควรให้ทั้งสองคนทำขนาดนี้เลยหรือ? เขาไม่เห็นรู้สึกเลยว่าตนจะมีค่ามากขนาดนั้น!
หลังจากผ่านเรื่องราวมา ถึงแม้ภายในใจของหยวนฟางจะยังคิดหาโอกาสหลบหนีอยู่ แต่กระทั่งตัวเขาก็ยังไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองได้เกิดความรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาอย่างน่าประหลาดยามที่ติดตามอยู่ข้างกายสองคนนี้
เหล่าสมณะแห่งวัดหนานซานก็รู้สึกเช่นเดียวกัน มุมมองที่มีต่อหนิวโหย่วเต้าและหยวนกังดีขึ้นอย่างมาก รู้สึกว่าสองคนนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร
ระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เหล่าสมณะแห่งวัดหนานซานที่ก่อนหน้านี้อยากหลีกลี้หนีห่างจากคนทั้งสองกลับค่อยๆ ใกล้ชิดพึ่งพิงคนทั้งสองมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าคนกลุ่มนี้ล้วนอันตราย แต่ยามนี้กลับรู้สึกว่าในหมู่คนเหล่านี้ มีเพียงติดตามอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้าและหยวนกังถึงจะรู้สึกปลอดภัยกว่า…
……
ณ มณฑลหนานโจว ขุนเขาเขียวขจี ธาราครามรินไหล เรือน้อยลำหนึ่งล่องลอยอยู่ในทะเลสาบ
สุราอาหารจัดวางบนโต๊ะตัวเล็กๆ ลู่เซิ่งจงและอันเสี่ยวหมานนั่งดื่มสุราอยู่ตรงข้ามกัน อันเสี่ยวหมานคือศิษย์น้องของเขา แม้ว่าทั้งสองจะมิได้กราบอาจารย์คนเดียวกัน แต่กลับเป็นศิษย์ร่วมรุ่นในสำนักเบญจคีรี
ลู่เซิ่งจงที่มาถึงเขตเมืองหนานโจวมิได้รีบเดินทางไปที่จังหวัดชิงซาน หากแต่มาสอบถามข่าวคราวจากศิษย์น้องที่นี่ก่อน ถึงแม้จะได้รับคำสั่งจากหวังเหิง แต่เขากลับยำเกรงสำนักหยกสวรรค์จึงไม่กล้าผลีผลามลงมือ อันเสี่ยวหมานคือหนึ่งในฝ่าซือติดตามของโจวโส่วเสียนที่เป็นผู้ว่าการมณฑลหนานโจว สาเหตุที่ทั้งคู่แยกย้ายกันไป คนหนึ่งติดตามหวังเหิง คนหนึ่งติดตามโจวโส่วเสียน ย่อมเป็นเพราะหวังเหิงและโจวโส่วเสียนล้วนเป็นขุนนางคนสนิทของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
ชายหนุ่มคนหนึ่งย่ำผ่านผิวน้ำเหินร่อนเข้ามา ยื่นสารลับม้วนเล็กๆ ให้ จากนั้นก็ย่ำผิวน้ำเหินจากไปอีกครั้ง
อันเสี่ยวหมานคลี่ม้วนสารออก หลังจากอ่านดูเนื้อหาด้านในแล้ว เขาก็ยื่นสารลับส่งให้ลู่เซิ่งจงที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน “ศิษย์พี่ลู่ ข้อมูลที่ท่านต้องการมาแล้ว เฟิ่งหลิงปอให้ความสำคัญกับซางเฉาจงเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเขาจะส่งผู้บำเพ็ญเพียรหลายสิบคนคอยติดตามคุ้มกัน มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองอยู่หลายคนด้วย ซ้ำยังมีไป๋เหยายอดฝีมือที่มีชื่อติดทำเนียบโอสถทองรับหน้าที่ผู้นำคณะคุ้มกันด้วย ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างฐานอย่างท่านไหนเลยจะต่อกรได้ เกรงว่าโอกาสที่ท่านเด็ดหัวของหนิวโหย่วเต้าคนนั้นคงมีไม่มากแล้ว!”
…………………………………