ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 75 ซุ่มโจมตี
ตอนที่ 75 ซุ่มโจมตี
จังหวัดชิงซาน เทือกเขาเขี้ยวหมาป่า เขาสูงป่าทึบ ภูเขาเล็กใหญ่ตั้งตระหง่านเรียงรายคล้ายเหล็กหมาด[1] ทิวทัศน์นับว่าค่อนข้างแปลกพิสดาร
ภายในป่าลึก เซี่ยงอู่เหรินแม่ทัพประจำกองทหารม้าซุ่มโจมตีขั้นสี่แห่งมณฑลหนานโจวที่พากองกำลังมาถึงอย่างลับๆ กำลังเข้าสำรวจสภาพแวดล้อมภายในหุบเขาพร้อมกับพวกเหยียนตั๋ว
เขายืนอยู่บนเนินเขาที่มีพฤกษาหนาทึบบดบัง มองดูไพร่พลที่บ้างนั่งบ้างนอนอยู่ใต้ร่มไม้บริเวณรอบๆ ทุกคนล้วนผลัดเปลี่ยนจากชุดเครื่องแบบของทางราชสำนักมาสวมใส่เสื้อผ้าที่มีรูปแบบสีสันแตกต่างกันไป หากมิใช่เพราะมีอาวุธวางอยู่ข้างกาย ก็ไม่มีทางมองออกเลยว่าเป็นกองกำลังกลุ่มเดียวกัน แต่ละคนถือขนมเปี๊ยะแป้งหมี่ค่อยๆ กัดกิน ไม่กล้าก่อไฟให้เกิดควัน
“เดิมทีในเทือกเขาเขี้ยวหมาป่ามีกองโจรภูเขาอยู่กลุ่มหนึ่ง ผู้คนเรียกขานว่ากองโจรเขี้ยวหมาป่า เมื่อวานข้านำกำลังเข้าปราบปรามจนสิ้นซากแล้ว เดี๋ยวพอเป้าหมายมาถึง พวกเราจะเชิดธงของกองโจรเขี้ยวหมาป่าขึ้น สวมรอยเป็นโจรภูเขาเข้าโจมตี” เซี่ยงอู่เหรินชี้ให้ดูเหล่าทหารที่แต่งกายคละรูปแบบพลางอธิบายให้ฟัง
เหยียนตั๋วเอ่ยเยาะหยัน “พวกเขามีไพร่พลนับหมื่น ทหารม้าอีกนับพัน แต่เห็นแบบนั้นแล้วก็ยังกล้าลอบโจมตี ต่อให้เป็นข้าที่ไม่เข้าใจเรื่องการทหารก็ยังรู้เลยว่ามีคนสวมรอยมา”
เซี่ยงอู่เหรินส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ข้อนี้ไม่สำคัญ ทันทีที่ลงมือ อีกฝ่ายก็คงคาดเดาออกแล้ว เพียงใช้เป็นข้ออ้างเท่านั้น หากทำไม่สำเร็จจริงๆ ฝ่ายข้าจะยอมรับผิดว่าตนสมคบกับกองโจรภูเขาไว้ก่อนแล้ว พวกลูกน้องแค่ปฏิบัติตามคำสั่ง ไม่ทราบถึงสถานการณ์ที่แท้จริง” กล่าวจบก็ผายมือเชิญเขาไปอีกทาง
เมื่อข้ามเนินเขาลูกหนึ่งไป ด้านล่างจะเป็นถนนหลวงที่ตัดผ่านภูเขาสูง เซี่ยงอู่เหรินชี้ออกไปพร้อมเอ่ยว่า “นี่คือเส้นทางที่จำเป็นต้องผ่านเพื่อเข้าสู่อำเภอชางหลู เมื่อกลุ่มเป้าหมายมาถึง พวกข้าจะตีโอบเข้ามาจากซ้ายขวาทันที พัวพันพวกเขาไว้ ส่วนเรื่องเด็ดหัวเป้าหมายในช่วงชุลมุนวุ่นวายคงต้องฝากไว้กับฝ่าซืออย่างพวกท่านแล้ว”
เหยียนตั๋วสำรวจดูภูมิประเทศเล็กน้อย พยักหน้านิดๆ
ทั้งสองลงมาจากเนินเขา เดินข้ามถนนหลวง ขึ้นไปบนเนินเขาอีกฝั่ง มุ่งหน้าเข้าไปในป่าครู่หนึ่งก็มาถึงสถานที่อีกแห่งที่มีไพร่พลซ่อนตัวอยู่
เหยียนตั๋วโบกมือสื่อให้เซี่ยงอู่เหรินไปจัดการเรื่องทางฝั่งตัวเองได้แล้ว ส่วนตัวเขาเดินไปที่เชิงเขา มีผู้บำเพ็ญเพียรหลายสิบคนอยู่ที่นี่ บ้างก็นั่งบ้างก็ยืน สีหน้าแต่ละคนไม่สู้ดี บางคนยังคงถือของใช้ต่างหน้าตัวประกันที่นำมาขู่เข็ญพวกเขาไว้ในมือ เหยียนตั๋วถอนหายใจเบาๆ
ซ่อนตัวอยู่ในภูเขามาครึ่งค่อนวัน ในช่วงใกล้พลบค่ำ ไพร่พลที่ดักซุ่มอยู่พลันขยับกาย ทยอยลุกขึ้นมา
พวกเหยียนตั๋วที่นั่งสมาธิอยู่ตรงเชิงเขาก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน เหยียนตั๋วไหวกายคราหนึ่ง ทะยานไปหยุดข้างกายเซี่ยงอู่เหริน ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยถาม เซี่ยงอู่เหรินก็พยักหน้าพลางกล่าวขึ้นมาว่า “สายสืบในแนวหน้าส่งข่าวมา เป้าหมายน่าจะมากันแล้ว ฝ่าซือโปรดเตรียมตัวให้พร้อมด้วย”
เหยียนตั๋วหันหลังกลับไปเรียกรวมตัวผู้บำเพ็ญเพียรให้เตรียมตัวพร้อม…
…….
เขตพื้นที่ทุรกันดาร ไร่นารกร้าง ซากกระดูกกองอยู่ข้างทาง ขบวนคนหลายพันคนเดินทางกันอย่างไม่เร่งร้อน ทหารราบสี่พันนายที่เฟิ่งรั่วเจี๋ยจัดสรรให้น้องสาวก็อยู่ในขบวนแล้ว
หนิวโหย่วเต้าที่นั่งอยู่บนหลังม้ามองสำรวจรอบข้างเป็นระยะๆ หลังจากเข้าเขตจังหวัดชิงซาน สภาพแวดล้อมที่ประสบพบเจอเลวร้ายกว่าทางจังหวัดกว่างอี้อย่างเห็นได้ชัด ภาพที่เห็นล้วนแต่เป็นสภาพแวดล้อมที่ประชาชนไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ ระหว่างทางมองเห็นซากศพโชยกลิ่นเหม็นเน่ากองอยู่บนถนนเป็นครั้งคราว ไร้ซึ่งคนสนใจไยดี โครงกระดูกขาวโพลนเกลี้ยงเกลาเนื่องจากถูกสัตว์บางชนิดกัดแทะมีอยู่เกลื่อนกลาดทั่วไป
จากจุดนี้ทำให้เห็นแล้วว่าความสามารถของผู้ว่าการจังหวัดนี้ย่ำแย่กว่าเฟิ่งหลิงปอมากนัก มิน่าเล่าทางฝั่งเฟิ่งหลิงปอถึงได้มีกำลังคนพรั่งพร้อม กล้าต่อกรกับราชสำนัก หากประชาชนของทางนี้อยากมีชีวิตรอด ก็จำเป็นต้องขวนขวายหาทางไปเข้าร่วมกับทางจังหวัดกว่างอี้
หลานรั่วถิงที่อยู่บนหลังม้าก็หยิบแผนที่ขึ้นมาตรวจดูเป็นระยะๆ เช่นกัน จู่ๆ เขาก็หันไปพูดบางอย่างกับซางเฉาจงซางเฉาจงมองยอดเขาที่ตั้งตระหง่านเรียงรายอยู่สุดปลายเขตรกร้างกันดารเบื้องหน้า ยกมือขึ้นพลางตะโกนว่า “หยุด!” พร้อมส่งสัญญาณบอกเฟิ่งรัวหนานให้หยุดทัพชั่วคราวเช่นกัน
เฟิ่งรั่วหนานโบกมือสั่งหยุดทัพ รอคอยให้ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงเข้ามา จากนั้นเอ่ยถามอย่างเฉยชาว่า “มีอะไรอีก?”
หลานรั่วถิงชี้ไปทางทิวเขาที่อยู่สุดปลายด้านหน้า “พระชายา พื้นที่ภูเขาเบื้องหน้ามีชื่อว่าเทือกเขาเขี้ยวหมาป่า สภาพภูมิประเทศอันตราย เป็นเส้นทางที่จำเป็นต้องผ่านเพื่อเข้าสู่อำเภอชางหลู หากมีคนไม่ประสงค์ดีต่อพวกเรา บริเวณนี้จะเป็นตำแหน่งที่เหมาะสำหรับลงมือที่สุดพ่ะย่ะค่ะ!”
เฟิ่งรั่วหนานกวาดตามองสำรวจแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างเฉยเมย “สามารถนำทัพหลายพันคนมาซุ่มโจมตีอยู่ที่นี่ได้ นอกจากราชสำนักแล้วคงไม่มีผู้ใดอีก เจ้าคิดว่าราชสำนักจะกล้าหรือ? สายสืบที่ล่วงหน้ามาก็ไม่พบพิรุธใดๆ เช่นกัน เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”
หลานรั่วถิงยิ้มพลางเอ่ยว่า “พระชายา ระวังไว้หน่อยจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” เขามองไป๋เหยาที่อยู่ข้างๆ “หากสามารถส่งฝ่าซือสักสองสามท่านมุ่งหน้าไปตรวจสอบยืนยันจากมุมสูงก่อนได้ นั่นจะเป็นการดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ!”
“เฮอะ!” เฟิ่งรั่วหนานแค่นเสียงหยันคราหนึ่ง อันที่จริงนางก็รู้สึกเช่นกันว่าระวังไว้หน่อยก็ไม่เสียหายอะไร นางเพียงแค่ไม่ชอบที่พวกซางเฉาจงมาชี้ไม้ชี้มือกะเกณฑ์อะไรนางเท่านั้น นางชี้ไปทางหนิวโหย่วเต้า “ฝั่งพวกเจ้าก็มีฝ่าซืออยู่มิใช่หรือ? ให้ฝ่าซือของพวกเจ้าไปสำรวจสิ”
หนิวโหย่วเต้าเหลียวมองแวบหนึ่ง ใช้กำปั้นข้างหนึ่งทุบบั้นเอวทันที บ่นอุบอิบว่า “ขี่ม้ามาตั้งนาน เมื่อไรจะหยุดพักสักที เอวจะหักอยู่แล้ว!”
เฟิ่งรั่วหนานมองด้วยสายตาดูแคลน “คนขี้ขลาด ต่ำช้าไร้ยางอาย!”
ในเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยขอมาเช่นนี้ ไป๋เหยาเองก็คิดว่าระวังไว้หน่อยไม่เสียหายอะไร จึงหันกลับไปกล่าวกับศิษย์สำนักหยกสวรรค์ที่อยู่ด้านหลัง “พวกเจ้าไปสำรวจดูหน่อย”
ศิษย์สำนักหยกสวรรค์สี่คนเหินขึ้นสู่อากาศทันที ทะยานคราหนึ่งก็พุ่งไปไกลนับร้อยจั้ง
กระโจนหนึ่งครั้งพุ่งไปไกลสองสามร้อยเมตรเช่นนี้ ในมุมมองของหยวนกังแล้ว ดูไม่น่าจะเป็นไปได้เลย ภายในดวงตาเผยให้เห็นความอิจฉาเล็กน้อย ก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกเช่นนั้น
ระหว่างทางหนิวโหย่วเต้าเคยอธิบายหลักการเหาะเหินเช่นนี้ให้เขาฟังแล้ว มันเป็นแค่การหยิบยืมความเร็วหลังดีดตัวออกไปมาควบคุมลมปราณในการพุ่งทะยานออกไปเท่านั้น หรือก็คือพลังที่ปลดปล่อยออกมาด้านนอกก่อตัวเป็นสิ่งที่มีลักษณะเหมือนปีก อาศัยแรงลอยตัวในอากาศโบยบินออกไป เจ้าสิ่งที่เรียกว่าปีกลมปราณนี้หยวนกังมองไม่เห็น แต่ถ้าหากผู้ที่อยู่ในวิถีบำเพ็ญเพียรอย่างหนิวโหย่วเต้าทำการโคจรลมปราณขึ้นมาที่ดวงตาก็จะสามารถมองเห็นปีกที่กำลังสยายกางอยู่ของผู้บำเพ็ญเพียรที่กำลังเหาะเหินอยู่ได้ ปีกลมปราณที่กางสยายออกมาด้านนอกนั้นจะมีสีสันจางๆ โดยสีสันที่ว่านี้คงอยู่ในรูปแบบของพลังงานชนิดหนึ่ง เปรียบง่ายๆ ก็เหมือนกับการที่ต้องใส่ฟิลเตอร์เข้าไปก่อนถึงจะสามารถมองเห็นได้ หลักเหตุผลในส่วนนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่าสสารมืดที่หนิวโหย่วเต้าเคยอธิบายให้เขาฟังก่อนหน้านี้ เป็นสิ่งที่คนธรรมดามองไม่เห็น ก็เหมือนภูตผีวิญญาณที่คนทั่วไปมองไม่เห็น แต่ถ้าหนิวโหย่วเต้าโคจรพลังไปที่ดวงตาล่ะก็ เขาก็จะสามารถมองเห็นได้ ซึ่งนี่ก็คือสิ่งที่เรียกกันว่าตาทิพย์
และคนที่กระโจนเพียงครั้งเดียวก็ทะยานออกไปได้ไกลขนาดนี้ คาดว่าคงบรรลุสภาวะระดับสร้างฐานแล้ว ส่วนผู้มีสภาวะระดับโอสถทองสามารถเหินร่อนไปได้ไกลกว่าเล็กน้อย นั่นก็เป็นเพราะเมื่อสภาวะยิ่งสูง แรงดีดตัวก็จะยิ่งรุนแรง ทว่าพอถึงเวลาที่สมควรต้องร่วงลงสู่พื้นก็ยังคงต้องลงสู่พื้นอยู่ดี ไม่มีทางเลือกอีก ต่อให้เจ้ากระโดดได้สูงแค่ไหน หากไม่มีแรงขับเคลื่อนคอยผลักดันต่อ เจ้าก็ไม่มีทางที่จะร่อนไปได้ตลอดโดยไม่ร่วงหล่นลงมา เมื่อร่วงลงสู่พื้นก็ต้องหาทางสร้างแรงดีดตัวเพื่อขับเคลื่อนต่อไปอีกครั้ง
แต่หากยืนอยู่บนเขาสูงแล้วกระโดดลงมา นั่นก็จะสามารถร่อนไปได้ไกลอย่างมาก แต่สภาวะระดับสร้างฐานและระดับโอสถทองมีความห่างชั้นกันอย่างมาก แรงต้านในอากาศเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ ปีกลมปราณไม่ใช่สิ่งที่สามารถสัมผัสจับต้องได้ มันจึงไม่มีมวลและความหนาแน่นมากพอ เวลาที่ร่อนอยู่กลางอากาศ แรงต้านในอากาศจะเกิดการเสียดสีกับปีกลมปราณด้วยความเร็วสูง จึงทำให้ลมปราณที่ปลดปล่อยออกมาด้านนอกสูญสลายหายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรสูญเสียพลังไปอย่างรวดเร็วในขณะที่เคลื่อนที่อยู่ในอากาศ เมื่อผ่านไปนานเข้า ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างฐานก็จะทนไม่ไหว
หากนำมาเทียบกันแล้ว สภาวะของระดับโอสถทองมีความลึกล้ำมากกว่า แล้วก็มีความแข็งแกร่งมากกว่าสภาวะระดับสร้างฐาน จึงมีพลังให้ใช้ได้นานกว่า ขณะเดียวกันระดับความหนาแน่นและความแข็งแกร่งของลมปราณก็มิใช่สิ่งที่สภาวะระดับสร้างฐานจะเทียบได้ พลังที่สูญเสียไปในการเสียดสีที่เกิดขึ้นขณะที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงก็ย่อมต้องน้อยกว่า ระยะทางและระยะเวลาในการถลาตัวไปในอากาศจึงไม่ใช่สิ่งที่สภาวะระดับสร้างฐานจะเทียบได้
แม้นจะเป็นเช่นนี้ แต่ในมุมมองของคนธรรมดาที่ไม่เข้าใจวิถีบำเพ็ญเพียร ไม่ว่าจะเป็นสภาวะระดับสร้างฐานหรือสภาวะระดับโอสถทอง การถลาตัวไปในอากาศเช่นนั้นก็มิได้แตกต่างอะไรกับการเหาะเหินเดินอากาศเลย เพียงพอจะทำให้มนุษย์ปุถุชนตกตะลึง มองพวกเขาเป็นดั่งเทพเซียนที่เหินฟ้าดำดินได้
และถ้าหากบำเพ็ญเพียรไปถึงระดับจิตทารกที่อยู่สูงขึ้นไปอีก นั่นจะกลายเป็นคนละเรื่องกัน เดิมทีสิ่งที่เรียกว่าระดับจิตทารกนั้นมีความหมายคล้ายการถอดกระดูกผลัดเส้นเอ็นหรือถือกำเนิดใหม่เลยทีเดียว หากสามารถบำเพ็ญเพียรจนบรรลุไปถึงสภาวะที่สามารถละทิ้งกายเนื้อได้ นั่นก็จะทำให้สามารถขับเคลื่อนลมปราณไปในฟ้าดินได้อย่างอิสระ ปัญหาที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างฐานและระดับโอสถทองต้องพบเจอกลับไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับจิตทารก อาทิปัญหาปีกลมปราณสลายตัวไปจากแรงเสียดสี ปัญหาแรงขับเคลื่อนในอากาศ สิ่งเหล่านี้ล้วนจะมิใช่ปัญหาอีกต่อไป ในสภาวะระดับนั้นเรียกได้ว่าเป็นการโบยบินอย่างแท้จริง เหอะเหินล่องลอยไปทั่วหล้าได้อย่างอิสระเสรี สำหรับมนุษย์ปุถุชนแล้วนับเป็นการคงอยู่ที่เปรียบเสมือนเทพเจ้าก็มิปาน!
สภาวะของหนิวโหย่วเต้าในยามนี้ยังไม่อาจเทียบกลุ่มคนเบื้องหน้าได้ จึงย่อมเหินทะยานไปได้ไม่ไกลขนาดนั้น แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังกระโดดไปได้ไกลหลายสิบเมตรได้โดยไม่มีปัญหา หรือจะให้อาศัยแรงตึงผิวของผิวน้ำเดินย่ำคลื่นจนสร้างความตกตะลึงให้แก่คนธรรมดาก็สามารถทำได้โดยไม่มีปัญหาเช่นกัน พอจะเอามาใช้โอ้อวดได้
ไม่นานนัก ผู้บำเพ็ญเพียรของสำนักหยกสวรรค์ที่เหินทะยานขึ้นลงก็หายลับไปในหุบเขาด้านหน้า
คนที่อยู่ทางนี้มองดูพวกเขาหายไป กลุ่มคนที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาก็มองเห็นเช่นเดียวกัน
“แย่แล้ว!” เซี่ยงอู่เหรินอุทานออกมา
เหยียนตั๋วที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มหนามมองดูกองทหารม้าซุ่มโจมตีที่อยู่ข้างกาย “อีกฝ่ายตรวจสอบอย่างละเอียดถึงเพียงนี้ ทางเรามีคนมากมายขนาดนี้ เกรงว่าคงซ่อนไม่พ้น!”
เซี่ยงอู่เหรินกำหมัดแน่น เกรงว่าแผนซุ่มโจมตีคงแตกแล้ว กัดฟันสบถด่าอย่างเหลืออด “ส่งหน่วยสอดแนมมาตรวจสอบเส้นทางตั้งหลายรอบแล้วไม่ใช่เหรอ เหตุใดถึงยังต้องส่งฝ่าซือมาตรวจสอบอีกรอบด้วย? ระวังตัวกันถึงเพียงนี้เลยเหรอ!” ก่อนหน้านี้เพื่อป้องกันไม่ให้หน่วยสอดแนมพบตัว เขาได้นำไพร่พลไปซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของหุบเขา แม้กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้ริมถนนมากเกินไป นี่เขาจะต้องระมัดระวังถึงขนาดไหนกัน?
แม้นจะเห็นผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสี่มุ่งหน้ามาทางนี้ จากนั้นกระจายตัวออกเป็นสี่ทิศคล้ายจะสำรวจลึกเข้าไปในหุบเขา เซี่ยงอู่เหรินยังคงโอบกอดความหวังอันน้อยนิดไว้ หันกลับไปสั่งการ “บอกให้ทุกคนซ่อนตัวให้ดี!”
คนที่อยู่ข้างกายรีบส่งสัญญาณมือแจ้งให้แนวหลังหลบซ่อนตัว แนวหลังพลันอลหม่านขึ้นมา พากันแยกย้ายหาที่ซ่อนตัว
ผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรที่เข้ามาตรวจสอบได้เหินทะยานขึ้นไปด้านบนป่าไม้ กวาดสายตามองไปรอบทิศ เมื่อครู่เขาสังเกตเห็นว่าทางนี้มีนกบินขึ้นมา เมื่อสังเกตดูอย่างละเอียด เขามองเห็นอย่างชัดเจนว่าตามพุ่มหนามพงหญ้ามีร่องรอยเคยถูกคนเหยียบย่ำมาก่อน คนมากมายขนาดนั้นเพิ่งเดินลุยผ่านไปย่อมต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้อยู่แล้ว เมื่อสำรวจตามร่องรอยบางส่วนไป เขาก็พบคนจำนวนหนึ่งที่แอบซ่อนตัวอยู่ทันที
เสียงชิ้งดังขึ้น ผู้บำเพ็ญเพียรที่มาตรวจสอบเส้นทางชักกระบี่ออกมา ประกาศเตือนภัยทันที “ระวัง มีการซุ่มโจมตี ถอย!”
เพื่อนร่วมกลุ่มอีกสามคนก็สังเกตเห็นความผิดปกติเช่นกัน พอได้ยินเสียงก็เหินทะยานล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว
ฝ่าซือทั้งสี่ที่มาสำรวจเส้นทางถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว พวกเหยียนตั๋วค่อยๆ ก้าวออกมาจากที่ซ่อนตัว เหยียนตั๋วหันกลับไปมองแม่ทัพคนนั้น “ถูกพบตัวแล้ว เป้าหมายไหวตัวทัน ไม่มีทางซุ่มโจมตีได้แล้ว หากถ่วงรั้งพัวพันอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ได้ โอกาสที่จะไล่ตามเป้าหมายให้ทันอีกครั้งก็จะลดน้อยลง ถอยดีกว่า! อีกฝ่ายระวังตัวเป็นอย่างมาก เจ้ากลับไปอธิบายเหตุผลที่ลงมือไม่สำเร็จต่อท่านผู้ว่าการมณฑลเถอะ” เขากำลังกังวลอยู่พอดีว่าจะไม่มีข้ออ้างให้ล้มเลิกแผนการ
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายจะรอดไปได้แน่นอน? คนอย่างเฟิ่งรั่วหนานคงไม่ยอมหนีหัวซุกหัวซุนแน่ อาจจะยังมีโอกาสอยู่!” เซี่ยงอู่เหรินกัดฟันหันไปตะโกนสั่งการ “ถ่ายทอดคำสั่ง เรียกรวมพล บุกโจมตี!”
…………………………………………………..
[1] เหล็กหมาด เครื่องมือช่างที่มีลักษณะเป็นเหล็กปลายแหลม