ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 91 เงาผีในทางใต้ดิน
ตอนที่ 91 เงาผีในทางใต้ดิน
ธารน้ำใต้ดินบางจุดก็กว้าง บางจุดก็หดแคบ เนื่องด้วยเหตุนี้เส้นทางใต้ดินจึงมีลักษณะแตกต่างกันไปต่างๆ นานา
ภูมิประเทศแตกต่างหลากหลายพิสดารน่าอัศจรรย์เป็นทิวทัศน์ที่หาชมได้ยาก หินงอกหินย้อนในบริเวณที่เดินผ่านงอกเรียงรายและห้อยย้อยลงมางดงามตระการตา ราวกับกำลังเดินอยู่ในปากสัตว์ประหลาดที่มีเขี้ยวแหลมคม บางจุดก็ค่อนข้างพิเศษ เมื่อคบเพลิงส่องกระทบ จะสะท้อนประกายระยับเลื่อมพราย
“ธารน้ำใต้ดินแห่งนี้เกิดจากการถูกน้ำใต้ดินกัดเซาะ การที่ธารน้ำประเดี๋ยวกว้างประเดี๋ยวแคบ เรื่องนั้นมีความเกี่ยวข้องกับระดับความสามารถในการละลายของสภาพพื้นผิวที่ถูกกระแสน้ำกัดเซาะ บริเวณที่ละลายได้ง่าย พอถูกกระแสน้ำไหลผ่านนานวันเข้าก็จะขยายกว้างขึ้นตามธรรมชาติ ส่วนบริเวณที่แคบย่อมเป็นเพราะสภาพพื้นผิวละลายได้ยาก…”
“ชัยภูมิสวรรค์อำนวยหรือ? คิดมากไปแล้ว หินย้อยคือหินปูนที่มีน้ำผสมคาร์บอนไดออกไซด์แทรกซึมเข้าไป ทำละลายกับแคลเซียมคาร์บอเนตที่อยู่ข้างใน พูดไปพระองค์ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เอาเป็นว่ามีน้ำแทรกซึมเข้าไปทำละลายกับสารบางอย่างที่อยู่ในหินปูน พอน้ำหยดลงมาแล้วแห้งตัวไป สิ่งที่ละลายปนมาด้วยจะเกาะตัวกันอีกครั้ง ไหลรินทีละหยดๆ สะสมกันนานเข้านับพันนับหมื่นปีจึงกลายเป็นเช่นนี้ หากไม่เชื่อพระองค์ก็ลองสังเกตดูดีๆ พ่ะย่ะค่ะ เห็นหรือไม่ว่ามีหยดน้ำอยู่ตรงปลายหินงอก…”
เมื่อเห็นซางซูชิงอุทานตื่นตาตื่นใจกับลักษณะภูมิประเทศใต้ดินบางจุด หนิวโหย่วเต้าจึงรับไม่ได้ที่สตรีเฉลียวฉลาดปานนี้กลับไร้ความรู้ในด้านนี้ อดไม่ได้ที่จะอธิบายให้ฟังคร่าวๆ
เขาเดินนำอยู่ด้านหน้าพลางชี้ไม้ชี้มือบอกเล่า อธิบายให้ฟังอย่างสบายๆ แต่ซางซูชิงกลับตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ติดตามอยู่ด้านหลังจ้องมองท้ายทอยเขา ดวงตาฉายแววซับซ้อนพลางเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ย ท่านรอบรู้มากจริงๆ แม้แต่การเปลี่ยนแปลงในชั้นใต้ดินก็ยังทราบ หากว่ามีโอกาส ขอเต้าเหยี่ยโปรดอย่าได้รังเกียจที่ชิงเอ๋อร์ไร้ปัญญา ช่วยสั่งสอนให้มากกว่านี้ด้วยเถิด!”
รอบรู้อย่างนั้นหรือ? หยวนกังที่ติดตามอยู่ด้านหลังมุมปากกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย บ่นอยู่ในใจ ไยเจ้าไม่ลองถามเรื่องการเปลี่ยนบนท้องฟ้าดูเล่า
“รอบรู้มากอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ ส่ายหน้าเล็กน้อย ความรู้ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น แต่ไม่จำเป็นต้องอธิบายกับทางนี้ให้มากความไป ยิ่งอธิบายเท่าไรก็ยิ่งน่าสงสัยมากขึ้นเท่านั้น เมื่อครู่นี้ก็ไม่สมควรพูดออกไปเลย
ตลอดการเดินทางครั้งนี้ไม่ทราบว่าเดินมานานแค่ไหนแล้ว ซางซูชิงเดินช้าลงเรื่อยๆ เหนื่อยล้าพอสมควรแล้ว
ที่สำคัญคือต้องเร่งฝีเท้าอยู่ตลอดถึงจะเดินตามความเร็วของบุรุษทั้งสามทัน ฝ่าเท้าพุพองเป็นตุ่มขึ้นมาแล้ว รู้สึกปวดแสบปวดร้อน
“ระวังคูน้ำด้วย!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเตือน ยามที่หันกลับไปตรวจสอบดู เขาพบว่าท่าทางเดินเหินของซางซูชิงดูแปลกไปเล็กน้อย จึงเอ่ยถาม “เท้าแพลงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงไม่ยอมบอกเรื่องเท้าพุพอง ฝืนทำเป็นเข้มแข็งตอบไปว่า “มิใช่ เพียงแค่ไม่คุ้นชินกับเส้นทางแบบนี้น่ะ”
แต่พอเดินทางต่อไปอีกสักพัก สุดท้ายเขาก็พบว่าสตรีนางนี้หายใจหอบถี่ เหงื่อเปียกซึม ท่าทางคล้ายจะเดินไม่ไหวแล้ว พอเดินไปถึงตำแหน่งที่เหมาะสมแห่งหนึ่ง เป็นจุดที่เก็บสะสมคบเพลิงจำนวนมากไว้ หนิวโหย่วเต้าจึงสั่งให้หยุดพัก
พวกหนิวโหย่วเต้าทั้งสามยังมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือสำหรับเดินทางต่อ สำหรับพวกเขาแล้วการเดินทางแค่นี้ไม่นับเป็นเรื่องยากลำบากอันใด
อันที่จริงหนิวโหย่วเต้าคิดว่าจะแบกซางซูชิงขึ้นหลังแล้วเดินทางกันต่อ แต่เป็นตายอย่างไรซางซูชิงก็ไม่ยินยอม ยกเรื่องชายหญิงมิพึงชิดใกล้ขึ้นมา หนิวโหย่วเต้าจึงได้แต่ต้องยอมรามือ ถึงอย่างไรก็ไม่รีบอยู่แล้ว ก็เดินช้าๆ ไปแล้วกัน
แต่เขาไม่ได้รู้เลยว่าสำหรับซางซูชิงแล้ว แค่โอบเพียงเล็กน้อยมันก็มากเกินไปแล้ว ตอนที่ลงบ่อน้ำก่อนหน้านี้หากมิใช่เพราะหนิวโหย่วเต้าลงมือกะทันหัน อย่างมากนางก็คงให้หนิวโหย่วเต้าจับมือพานางลงบ่อเท่านั้น ไหนเลยจะปล่อยให้บุรุษคนหนึ่งมาโอบกอดตามใจชอบได้ จะให้ขี่หลังอีกฝ่ายก็ยิ่งไปกันใหญ่ ต้องอ้าขาเกาะคร่อมหลังเขาอย่างนั้นหรือ? หน้าอกต้องแนบแผ่นหลังเขาอย่างนั้นหรือ? เพียงแค่คิดๆ ดูก็ยังรู้สึกรับไม่ได้เลย ถึงตายก็ไม่มีทางตกลงแน่นอน
แล้วจะว่าอย่างไรได้อีกเล่า? หนิวโหย่วเต้าเองก็พอจะเข้าใจแนวคิดเรื่องพรหมจรรย์ของสตรีในยุคนี้อยู่ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงเอ่ยเสริมในใจว่า ข้าไม่ได้สนใจในตัวเจ้าเลยสักนิด!
คาดว่าคงเป็นเพราะตั้งแต่เล็กจนโตนางเองก็ไม่เคยเดินในเส้นทางที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งเส้นทางนี้ก็เดินทางได้ยากเป็นพิเศษ เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เดี๋ยวโดดเดี๋ยวข้าม ทำให้ซางซูชิงเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก
หลังจากนั่งลงในมุมหนึ่งที่ค่อนข้างสะอาดสะอ้าน ซางซูชิงก็คอพับผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
ทางใต้ดินหนาวเย็น หนิวโหย่วเต้าหยิบเสื้อตัวหนึ่งออกมาจากห่อสัมภาระ ยามที่คลุมลงบนร่างซางซูชิง ซางซูชิงกลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด หลับลึกเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นสภาพเหนื่อยล้าของซางซูชิง คาดว่าคงจะไม่ตื่นขึ้นมาง่ายๆ อาจจะหลับไปอีกพักใหญ่ หนิวโหย่วเต้าจึงจัดเวรยาม คอยเฝ้าคบเพลิงไว้ไม่ให้ดับมอด ถึงแม้ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาจะไม่มีอันตรายใดๆ เลย แต่อย่างน้อยก็ต้องเฝ้าระวังความปลอยภัยกันไว้บ้าง
กะหนึ่งเป็นหนิวโหย่วเต้าคนเดียว อีกกะหนึ่งเป็นหยวนฟางกับหยวนกัง
เรื่องไว้ใจมันก็ส่วนไว้ใจ แต่เขายังไม่สามารถคลายความระแวงต่อหยวนฟางอย่างสมบูรณ์ได้ ที่ให้หยวนกังอยู่ด้วยก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ป้องกันไม่ให้ถูกหยวนฟางจัดการในช่วงสะลึมสะลือกันหมด
พวกหยวนกังเฝ้ากะแรกก่อน ส่วนหนิวโหย่วเต้าก็นั่งสมาธิหลับตาพักผ่อนอยู่ตรงนั้น
ไม่ทราบเช่นกันว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร จู่ๆ หนิวโหย่วเต้าที่เข้าฌานอยู่พลันรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาเล็กน้อย เป็นความหนาวเย็นที่ผิดปกติยิ่งนัก ความหนาวเย็นตามปกติจะเข้าปะทะทั้งร่าง แต่ความหนาวเย็นนี้กลับเลือนรางล่องลอยคล้ายมีคล้ายไม่มี เป็นความหนาวเย็นประเภทที่สามารถแทรกซึมผ่านรูขุมขนสะกดคุกคามชีวิต ความหนาวเย็นประเภทนี้ จะสัมผัสถึงได้ก็ต่อเมื่อไปพบพานกับสิ่งที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์ในสุสานโบราณเท่านั้น หนิวโหย่วเต้าลืมตาขึ้นมาทันที
หยวนฟางเองก็ขยับเข้ามาหาพอดี หยวนฟางเห็นเขาพลันลืมตาขึ้นมา เลยทราบแล้วว่าเขาเองก็สัมผัสได้เช่นกัน จึงกระซิบข้างหูเขาว่า “เต้าเหยี่ย ดูเหมือนที่นี่จะมีวิญญาณร้ายอยู่ขอรับ เมื่อครู่ข้ามองผ่านตาทิพย์เห็นว่ามีบางอย่างแวบผ่านบริเวณหัวมุมไป ทำตัวลับๆ ล่อๆ น่าจะมิมีเจตนาดี”
หนิวโหย่วเต้านึกถึงความรู้สึกเมื่อสักครู่นี้ ความรู้สึกนั้นรุนแรงยิ่งกว่าความรู้สึกที่เขาเคยพบพานมาในสุสานอื่น เห็นได้ชัดว่าก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว มิใช่เป็นดวงวิญญาณธรรมดา ถ้าพูดกันตามภาษาชาวบ้านคือกลายเป็นผีแล้ว!
“ไปตรวจสอบหน่อย!” หนิวโหย่วเต้าสั่ง หยวนฟางพยักหน้ารับ หันกลับไปจุดคบเพลิงรวดเดียวหลายอัน โยนออกไปตามทิศทางต่างๆ รวมถึงอีกฟากของธารน้ำด้วย จากนั้นตัวเขาก็ถือคบเพลิงอันหนึ่งเหินทะยานสำรวจไปทั่วทิศ
หนิวโหย่วเต้าเหลียวมองรอบข้าง ในที่มืดสลัวเช่นนี้ ปัญหาแรกที่ต้องนึกถึงคือเรื่องแสงสว่าง ถึงแม้ระยะการมองเห็นของตาทิพย์จะเหนือกว่าคนปกติ แต่นั่นก็ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแหล่งกำเนิดแสง หากอยู่ในสถานที่มืดสลัวก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน
เขาเอียงศีรษะไปทางคลังเก็บคบเพลิงเล็กน้อย หยวนกังหยิบเสื้อตัวหนึ่งออกมาจากห่อสัมภาระทันที เดินไปทางคลังเก็บคบเพลิง จากนั้นออกแรงหักคบเพลิงหลายต่อหลายอัน นำส่วนเชื้อเพลิงที่หักออกมายัดใส่เข้าไปในเสื้อ แต่เนื่องจากยาวเกินไปจึงห่อไม่ได้ จึงดัดแปลงเป็นห่อสัมภาระสะพายพาดไว้ด้านหลัง
หนิวโหย่วเต้าหยิบกระบี่ลุกขึ้นมา เดินไปหาซางซูชิง ไม่ทราบว่าสตรีนางนี้ฝันร้ายอันใดอยู่ ถึงได้หลั่งน้ำตาออกมาขณะหลับฝัน ใบหน้าอัปลักษณ์เจิ่งนองไปด้วยคราบน้ำตา สีหน้าดูเศร้าหมองอับจนหนทาง เหนื่อยล้าถึงขนาดนี้แล้วยังร้องไห้อยู่ในความฝัน ภายในใจนางน่าจะเก็บซ่อนเรื่องราวน่าเศร้าอันใดเอาไว้
“ท่านหญิง ท่านหญิง…” หนิวโหย่วเต้าเรียกนาง ปลุกไม่ตื่น จึงยื่นมือไปแตะใบหน้าเบาๆ สองสามที
ซางซูชิงลุกขึ้นมานั่งตัวตรงด้วยความตกใจ มองหนิวโหย่วเต้าที่อยู่ตรงหน้าด้วยความตะลึง จากนั้นคล้ายจะรู้ตัวว่าตนเองร้องไห้ออกมา นางยกแขนเสื้อขึ้นซับน้ำตาอย่างเก้อเขินเล็กน้อย
เมื่อลุกขึ้นยืนก็พบว่าบนร่างตนมีเสื้อตัวหนึ่งคลุมอยู่ จำได้ว่าเป็นเสื้อของหนิวโหย่วเต้า ในใจพลันรู้สึกอุ่นวาบ อีกทั้งเขินอายเล็กน้อย “เต้าเหยี่ย ข้านอนลืมตื่นแล้วใช่หรือไม่”
หนิวโหย่วเต้าสังเกตเห็นว่าหลังจากที่นางลุกขึ้นมา เท้าของนางเหยียบพื้นอย่างไม่ค่อยเป็นไม่ธรรมชาติ จึงเอ่ยไปว่า “พระองค์เดินไม่ไหวแล้ว กระหม่อมจะแบกพระองค์ไปเองพ่ะย่ะค่ะ”
ซางซูชิงไหนเลยจะยอมรับการกระทำอันสนิทชิดใกล้เช่นนั้นได้ รีบส่ายหน้าปฏิเสธ “เท้าข้าไม่เป็นไร ข้าเดินไหว”
หนิวโหย่วเต้ากล่าว “พระองค์คิดมากไปแล้ว พวกเราถูกคนจับตามองอยู่ หากพระองค์ค่อยๆ เดินจะเป็นตัวถ่วงทุกคนได้พ่ะย่ะค่ะ” ขณะที่พูดก็มองสำรวจรอบๆ ไปด้วย
“….” ซางซูชิงผงะไป จากนั้นถึงได้พบว่าหยวนฟางไม่อยู่แล้ว ซ้ำยังมีคบเพลิงที่ถูกโยนไว้ไกลออกไป
ไม่นานนัก นางก็มองเห็นหยวนฟางเหินละลิ่วเข้ามาจากอีกด้านหนึ่ง เอ่ยกับหนิวโหย่วเต้าว่า “เต้าเหยี่ย ไม่รู้ว่าไปหลบอยู่ที่ไหนแล้วขอรับ”
“อย่าเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกเลย ไป!” หนิวโหย่วเต้าเอียงหัวส่งสัญญาณ ยื่นกระบี่ในมือให้ซางซูชิง
ซางซูชิงตะลึงไปแวบหนึ่ง แต่ขณะที่รับกระบี่เอาไว้ นางกลับถูกหนิวโหย่วเต้าดึงตัวนางเข้าไปหา
หนิวโหย่วเต้าไม่สนใจเช่นกันว่านางจะเขินอายแค่ไหน หลังจากรั้งตัวคนเข้ามา ก็หันหลังกลับไปใช้สองมือโอบต้นขาทั้งสองข้างของนาง แบกคนขึ้นหลังทันที เขารับปากซางเฉาจงไว้แล้วว่าขอเพียงเขายังอยู่ก็จะปกป้องดูแลความปลอดภัยให้ซางซูชิง ในกลุ่มนี้เขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุด
ท่าทางนี้น่าอับอายเป็นอย่างมาก ใบหูนุ่มนิ่มของซางซูชิงแดงเถือกขึ้นมาทันที ไม่กล้าแนบลำตัวส่วนบนกับแผ่นหลังเขา ถือกระบี่ของเขายันหัวไหล่ของเขาเอาไว้ ค้ำร่างไว้ไม่ให้แนบชิดติดกัน ใครจะคิดว่าหยวนกังกลับยื่นคบเพลิงอันหนึ่งให้นางอีก จะไม่รับไว้ก็ไม่ได้
ทุกคนจากไปอย่างรวดเร็ว นอกจากซางซูชิงที่อยู่บนหลังหนิวโหย่วเต้าแล้ว คนที่เหลือต่างรักษารูปขบวนเดิมไว้ ยังคงเป็นหยวนฟางนำอยู่ด้านหน้า
หยวนฟางที่อยู่ด้านหน้าและหยวนกังที่อยู่ด้านหลังต่างถือคบเพลิงที่ลุกโชนไว้สองอัน
พอไม่มีซางซูชิงเป็นตัวถ่วงแล้ว ความเร็วในการเดินทางของคนทั้งสามก็เร็วขึ้นมากโข คบเพลิงไหววูบวาบอยู่กลางสายลม
เชื้อเพลิงที่ติดไฟหลอมละลายหยดลงมา ซางซูชิงเกรงว่าจะหยดใส่ร่างหนิวโหย่วเต้า หลังจากกระเด้งกระดอนขึ้นๆ ลงๆ อยู่พักหนึ่ง ซางซูชิงก็จำเป็นต้องโน้มตัวซบไหล่หนิวโหย่วเต้า
สำหรับนางแล้ว มิใช่แค่เดินทางได้เร็วขึ้นเท่านั้น การเดินทางเช่นนี้ทำให้นางสะดวกสบายขึ้นมากด้วย
ไม่นานนักก็มาถึงคลังเก็บคบเพลิงอีกแห่งหนึ่ง ทว่าภายในคลังกลับว่างเปล่า
หยวนกังเดินเข้าไปยังผนัง ยื่นมือไปแตะคราบน้ำมันที่อยู่บนผนังมาจ่อดมหน้าจมูก จากนั้นเอ่ยรายงาน “เคยมีอยู่”
ซางซูชิงที่ซบไหล่หนิวโหย่วเต้าอยู่เอ่ยขึ้นมาทันที “เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีคบเพลิงอยู่ ที่นี่เป็นคลังสำรอง โดยทั่วไปจะไม่มีการนำไปใช้โดยพลการ ต่อให้เคยมีคนนำไปใช้ ก็ต้องมีการรายงาน เว้นแต่มีคนนอกมาเอาไป”
“ไปต่อ!” หนิวโหย่วเต้าเอียงศีรษะส่งสัญญาณ ทั้งสามเดินทางต่ออย่างรวดเร็ว
พวกเขาเดินทางผ่านคลังคบเพลิงอีกสองแห่ง พบว่ายังคงว่างเปล่าเช่นกัน ส่วนคบเพลิงในมือพวกเขาก็ลุกไหม้ไปพอสมควรแล้ว
หนิวโหย่วเต้ามองไปรอบๆ จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมา “เจ้าหมี ลองดูในแม่น้ำหน่อย”
หยวนฟางเหินทะยานออกไปทันที ปลายเท้าเหยียบแตะไปบนผิวน้ำ เป็นอย่างที่หนิวโหย่วเต้าคิดเอาไว้ ไม่นานหยวนฟางก็พบคบเพลิงที่ลอยมาจากต้นน้ำ
เหตุผลนั้นง่ายมาก จากที่ซางซูชิงบอกมา ถ้าในคลังคบเพลิงที่ตั้งอยู่ตามรายทางมีคบเพลิงเก็บอยู่ล่ะก็ จากจำนวนคบเพลิงที่วางกองอยู่ในคลังคบเพลิงที่เห็นมาก่อนหน้านี้ อย่างน้อยๆ มันก็ควรจะมีคบเพลิงอยู่เป็นพันอัน ต่อให้มีคนหยิบไปก็ไม่มีทางขนไปได้หมดในคราวเดียว และจากความผิดปกติที่พบมาก่อนหน้านี้ ถ้าหากตอนนี้มีใครกำลังเล่นเล่ห์อันใดอยู่ วิธีการจัดการกับคบเพลิงที่สะดวกที่สุดก็คือโยนทิ้งลงไปในน้ำ
หยวนฟางเก็บคบเพลิงขึ้นมาสองอันแล้วเหินกลับมา ลองใช้คบเพลิงที่ลุกโชนอยู่ต่อไฟดู เกิดเสียงไหม้ฉ่าๆ คบเพลิงแช่น้ำจนชุ่มแล้ว ยากจะจุดติดได้
“มีคนคิดเล่นงานพวกเรา อย่าให้อาตมาจับได้เชียว…” หยวนฟางโยนคบเพลิงทิ้งพลางเหลียวมองรอบข้าง ปากก็บ่นพึมพำ เผยสีหน้าโหดเหี้ยม
ไม่ว่าใครต่างก็มองออกทั้งนั้นว่ามีคนจงใจเล่นงานพวกเขา มิเช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำลายคบเพลิงเหล่านี้เลย นี่แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายต้องการจัดการพวกเขาถึงได้ทำแบบนี้
……………………………………………….