ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 92 เทพพิทักษ์
ตอนที่ 92 เทพพิทักษ์
“อีกฝ่ายคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่นี่ น่าจะอยู่ที่นี่มานานพอดู” หยวนกังเอ่ยเตือน
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้านิดๆ สื่อว่าเห็นด้วย พื้นที่บางจุดของที่นี่ถูกธารน้ำกัดเซาะจนมีสภาพคล้ายเขาวงกต หากทางนี้ไม่มีซางซูชิงคอยนำทางก็ยากจะแยกแยะได้ ถ้าอีกฝ่ายไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่นี่ย่อมยากจะตามหาตำแหน่งคลังคบเพลิงแล้วลงมือทำลายได้ เขาหันไปถามซางซูชิงที่อยู่ด้านหลัง “ท่านหญิง คนที่เคยลงมาก่อนหน้าไม่พบสิ่งผิดปกติอันใดบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงตอบตามที่ทราบ “ไม่เคยได้ยินเลย น่าจะไม่มี”
หนิวโหย่วเต้าถามต่อ “ที่นี่ไม่ได้ถูกใช้งานมานานแค่ไหนแล้วพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงยังคงตอบตามจริง “ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน แต่อย่างน้อยๆ หลังจากเกิดเรื่องขึ้นกับเสด็จพ่อและราชสำนักทำการกวาดล้าง สถานที่บางแห่งก็ถูกทิ้งร้างเอาไว้ ไม่เคยเปิดใช้งานอีก”
ทั้งสามคนเข้าใจแล้ว พูดอีกอย่างก็คืออีกฝ่ายอาจจะอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว เป็นไปได้ว่าจะคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของที่นี่เป็นอย่างดี ส่วนอีกฝ่ายเข้ามาจากทางไหนนั้น ดูแล้วไม่แน่ว่าจะเป็นทางเข้าที่ฝ่ายหนิงอ๋องจัดทำขึ้นมา เส้นทางใต้ดินที่ยาวขนาดนี้ ผู้ใดจะกล้ารับประกันว่าจะไม่มีช่องทางอื่นอยู่อีก
หนิวโหย่วเต้าเงียบไปสักพัก จากนั้นเอ่ยว่า “อันที่จริงไม่มีอะไรน่ากังวลเลย ความสามารถของอีกฝ่ายน่าจะมีจำกัด มิเช่นนั้นคงบุกเข้ามาหาพวกเราตรงๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ พวกเราอย่าให้อีกฝ่ายจูงจมูกได้ก็พอ มิเช่นนั้นหากพวกเราวิ่งหนีจนเป็นฝ่ายอ่อนล้าหมดแรงไปเอง แบบนั้นกลับจะถูกอีกฝ่ายจัดการได้ง่ายๆ พวกเราต้องสุขุมเข้าไว้ อย่าปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นฝ่ายอ่อนแอ” พูดจบก็ปล่อยซางซูชิงลงจากหลัง พยักเพยิดหน้าส่งสัญญาณ “เจ้าหมี ไปงมคบเพลิงในแม่น้ำมา”
หยวนฟางเอ่ยด้วยความฉงน “จุดไม่ติดแล้ว จะเอามาใช้อันใดได้ขอรับ?”
หยวนกังตวาดใส่ทันที “พล่ามอันใดกัน เต้าเหยี่ยสั่งให้เจ้าทำ เจ้าแค่ทำตามก็พอ!”
หยวนฟางหัวเราะแห้งๆ อย่างไรก็ตามกลับเห็นว่าแสงไฟจากคบเพลิงในมืออ่อนลงแล้ว ส่วนหยวนกังก็ปลดสัมภาระห่อหนึ่งที่อยู่บนตัวลงมา วางลงบนพื้นแล้วแกะออก จากนั้นโยนหัวคบเพลิงที่หักมาให้เขาอันหนึ่ง ถึงแม้ด้ามจะสั้นไปหน่อย แต่ก็ยาวพอให้ถือไว้ในมือได้
หยวนฟางตะลึงไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าหยวนกังไปเตรียมหัวคบเพลิงมากมายขนาดนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไร จากนั้นมองไปทางหนิวโหย่วเต้าที่ไม่มีท่าทีแปลกใจเลยแม้แต่เลย คล้ายว่านี่เป็นเรื่องปกติธรรมดา จึงนึกเลื่อมใสในตัวสองคนนี้ อุทานอยู่ในใจ สองท่านนี้ช่างร้ายกาจนัก แม้แต่เรื่องนี้ก็เตรียมการไว้พร้อมแล้ว หรือจะคาดเดาได้ล่วงหน้าว่าอีกฝ่ายคิดจะเล่นลูกไม้กับคบเพลิง?
แต่เรื่องนี้เขาคิดมากไปเอง ก่อนหน้านี้หนิวโหย่วเต้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าอีกฝ่ายจะทำลายคบเพลิง เพราะเขายังไม่ทราบถึงสถานการณ์ของฝ่ายศัตรู ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาร้ายหรือไม่ เพียงแต่หลังจากที่พบถึงความผิดปกติ ผนวกกับสภาพแวดล้อมที่ตนเองอยู่ในเวลานี้ ในฐานะที่เป็นผู้ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน สิ่งแรกที่เขานึกขึ้นมาได้คือการตัดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เมื่ออยู่ในที่มืด ปัญหาสำคัญอันดับแรกคือแสงสว่าง เขาจึงตัดสินใจทำการควบคุมปัญหาข้อนี้เอาไว้เป็นอันดับแรก กันไว้ดีกว่าแก้ก็เท่านั้น!
ก่อนหน้านี้ซางซูชิงหลับลึก ไม่ทราบเช่นกันว่าหยวนกังไปจัดเตรียมคบเพลิงมากมายขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน ค่อนข้างแปลกใจเช่นกัน
หลังจากหยวนฟางจุดคบเพลิงอีกอัน เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องแสงสว่างแล้ว ทะยานไปทางแม่น้ำเริ่มปฏิบัติหน้าที่ เมื่อพบคบเพลิงที่ลอยมาตามน้ำก็จะคว้าขึ้นมาโยนขึ้นฝั่งทันที
และจากจุดนี้ก็ทำให้มองออกว่าอีกฝ่ายคอยทำลายคลังเก็บคบเพลิงตามรายทางอย่างต่อเนื่อง คิดจะทำให้ฝ่ายนี้ตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบอย่างสิ้นเชิง
หนิวโหย่วเต้าหยิบกระบี่มาจากซางซูชิง นำมายันไว้ตรงหน้า จากนั้นก็ยิ้มให้ซางซูชิงพลางเอ่ยว่า “พระองค์เองก็เหนื่อยแล้ว ก่อนหน้านี้นอนได้ไม่นานก็ปลุกพระองค์ขึ้นมาเสียแล้ว พักผ่อนต่อเถอะพ่ะย่ะค่ะ ไม่เกิดเรื่องขึ้นแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ซางซูชิงส่ายหน้า เกิดสถานการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเช่นนี้ นางจะหลับลงได้อย่างไร จึงนั่งพิงผนังหินด้านข้าง มองสำรวจรอบข้างเป็นระยะๆ
หยวนกังเก็บหัวคบเพลิงที่สะพายมาไว้สำรองใช้สองอัน ส่วนที่เหลือทั้งหมดถูกกองสุมกันแล้วจุดไฟ หลังจากเปลวเพลิงลุกโชติช่วงขึ้นมา ก็นำคบเพลิงที่ใกล้จะดับมอดแล้วโยนเข้าไปใช้ต่างฟืน จากนั้นก็รวบรวมคบเพลิงเปียกที่ถูกโยนขึ้นฝั่งมากองรวมกัน โยนเข้ากองไฟทั้งที่ยังเปียกๆ อยู่ เผาใช้ต่างฟืน
หลังจากนั้นก็รวบรวมคบเพลิงเปียกมาอีกกองหนึ่ง จัดวางไว้ข้างกองเพลิงผิงไฟเอาไว้ ยุ่งง่วนอยู่คนเดียว
หลังจากหยวนฟางที่วิ่งกลับไปกลับมาอยู่บนผิวน้ำเห็นภาพนี้ เขาพลันกระจ่างขึ้นมาทันที ในที่สุดก็เข้าใจจุดประสงค์ของหนิวโหย่วเต้าที่ให้เขางมคบเพลิงเปียกขึ้นมา ใจที่กระสับกระส่ายพลันสงบลง งมคบเพลิงขึ้นมาจากแม่น้ำอย่างขะมักเขม้น โยนกลับขึ้นฝั่งไปทีละอันๆ
หนิวโหย่วเต้ายืนตัวตรง ยืนค้ำกระบี่อยู่ข้างกองไฟ กวาดตามองไปรอบๆ ด้วยสายตาเยือกเย็น
ซางซูชิงที่นั่งกอดเข่าอยู่ด้านข้างเห็นสถานการณ์ในยามนี้ย่อมเข้าใจแล้วว่าเขากำลังทำอะไรกัน เมื่อเห็นทางนี้เตรียมการกันอย่างเป็นระบบระเบียบ นางก็สบายใจขึ้นไม่น้อย จากนั้นก็มองเงาร่างที่ค้ำกระบี่ยืนคุมเชิงอยู่ข้างกองไฟตามลำพัง รู้สึกเหมือนเขาเป็นเทพพิทักษ์ของนาง และเป็นเทพพิทักษ์ของทุกคน เมื่อมีเทพพิทักษ์องค์นี้คุมเชิงอยู่ ราวกับไม่มีอุปสรรคใดจะมากล้ำกรายพวกเขาได้ ทำให้นางรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
หลังจากเข้าใจแล้วว่าพวกเขากำลังทำอะไร ซางซูชิงก็ลุกขึ้นมา นั่งลงข้างกองไฟเช่นเดียวกับหยวนกัง ช่วยตากคบเพลิงที่เปียกชื้นเหล่านั้น ถือว่าช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้
หนิวโหย่วเต้าที่ยืนค้ำกระบี่เพียงเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร สมาธิจดจ่ออยู่กับการสังเกตการณ์รอบข้างอีกครั้ง
จนกระทั่งคบเพลิงเปียกที่อยู่บนฝั่งกองสุมเป็นเนินขนาดย่อมแล้ว ในตอนที่หยวนฟางกลับมาเปลี่ยนคบเพลิงอีกครั้ง หนิวโหย่วเต้าจึงสั่งว่า “เจ้าหมี พอแล้ว เจ้าไปกินอะไรสักหน่อย แล้วไปพักผ่อนก่อน”
หยวนฟางเองก็เหนื่อยล้าอย่างมากแล้วจริงๆ เขาหอบหายใจเล็กน้อย ใช้พลังเทียวไปเทียวมาบนผิวน้ำอยู่ตลอด พอผ่านไปนานเข้า ลมปราณร่อยหรอลงไปเป็นจำนวนมาก แต่กลับแย้มยิ้มเอ่ยไปว่า “ไม่เป็นไรขอรับ ข้ายัง…” ผลคือเขามองเห็นหยวนกังปรายตามองมา จึงหุบปากในทันที เข้าใจแล้ว กฎยังคงเดิม เต้าเหยี่ยสั่งอะไรก็ให้ทำตามนั้น
หยวนฟางเดินไปหยุดอยู่ที่ด้านข้างแล้วเปิดห่อสัมภาระ หยิบอาหารแห้งออกมากินอย่างเชื่อฟัง นั่งเคี้ยวอยู่ข้างกองไฟ ผิงกองไฟพลางกินอาหาร คอยมองคนอื่นทำงานไปด้วย ตั้งใจมองหยวนกังทำงานเป็นพิเศษ รู้สึกว่าสถานการณ์เช่นนี้สร้างความเพลิดเพลินให้อย่างน่าประหลาด เขาเผยรอยยิ้มสดใสออกมาเป็นครั้งคราว ค่อยๆ เคยชินกับการอยู่ร่วมกับหนิวโหย่วเต้าและหยวนกังแล้ว
หนิวโหย่วเต้าหันไปกล่าวกับซางซูชิง “ท่านหญิง พระองค์เองก็กินอะไรสักหน่อยแล้วไปพักผ่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
ซางซูชิงส่ายหน้าพลางตอบว่า “ข้าไม่หิว!”
หยวนกังเอ่ยเสียงเรียบ “ในเวลานี้ ถ้าไม่เข้าใจสถานการณ์ ก็ควรเชื่อฟัง ละวางฐานะท่านหญิงลง ให้พระองค์ทำอะไรก็ทำไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีผู้ใดทำร้ายพระองค์แน่”
หยวนฟางที่กินอาหารอยู่อดยิ้มไม่ได้ หยวนเหยี่ยนี่ไม่เหมือนใครเลยจริงๆ
หนิวโหย่วเต้ามองสำรวจรอบข้าง พร้อมเอ่ยชี้แจงด้วยรอยยิ้ม “เขาไม่ได้มีเจตนาอื่นใดพ่ะย่ะค่ะ ในสถานการณ์เช่นนี้ จำเป็นต้องเร่งฟื้นฟูสภาพร่างกายให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมที่สุด เตรียมพร้อมสำหรับเหตุไม่คาดฝัน!” น้ำเสียงและท่าทางดูอ่อนโยน ไม่ได้เรื่อยเปื่อยเฉื่อยชาเหมือนปกติ ทำให้คนรู้สึกอุ่นใจ
มิใช่เพราะเขาเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่มีต่อซางซูชิงอย่างกะทันหัน หากแต่เป็นเพราะเขาเป็นคนเยือกเย็นและมีสติอยู่เสมอ แต่บางครั้งในยามที่เขาเยือกเย็นมีสติมากเกินไป เขาจะดูค่อนข้างเย็นชา หรือเรียกได้ว่าเลือดเย็น ดังนั้นมีน้อยคนและน้อยเรื่องนักที่ทำให้เขาหุนหันวู่วามขึ้นมาได้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเปลี่ยนนิสัยไปอย่างกะทันหันเพราะซางซูชิงเช่นกัน
สาเหตุที่ต้องปลอบประโลมซางซูชิง เป็นเพราะเขาทราบดีว่าตอนนี้สตรีนางนี้กำลังกระสับกระส่ายกังวลอยู่แน่นอน ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่ควรเพิ่มแรงกดให้สตรีคนนี้จนทำให้นางหวาดกลัว เพราะหากนางว้าวุ่นลนลานขึ้นมาอาจจะเพิ่มภาระให้มากกว่าเดิม ไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งนั้น อีกอย่างแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แต่สตรีนางนี้ก็ยังแสดงให้เห็นว่านางไม่หวาดกลัว ไม่สร้างปัญหาเพิ่มให้ทุกคน นับว่าเป็นยอดหญิงแกร่งที่พบได้น้อยในหมู่สตรี สมควรปลอบโยนและสร้างความเชื่อมั่นให้นาง ไม่จำเป็นต้องทำลายเปลือกนอกที่เข้มแข็งของนางออกเพื่อดูความอ่อนแอของนาง
หนิวโหย่วเต้ามีชีวิตมาสองชาติ เคยพบเห็นสตรีมาไม่น้อย สตรีที่ทำให้เขาชื่นชมได้มีไม่มากนัก หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว ซางซูชิงก็นับเป็นหนึ่งนั้น เสียแค่อัปลักษณ์ไปหน่อย ทำให้คนไม่กล้ามองตรงๆ!
ซางซูชิงก็ทราบดีว่าหยวนกังไม่มีเจตนาร้าย นางขบริมฝีปากฝืนใจล้วงอาหารแห้งออกมาจากห่อสัมภาระด้านข้าง ก้มหน้ากัดคำเล็กๆ ทำตามที่บอก
เมื่อหยวนฟางกินอิ่ม ก็นั่งขัดสมาธิปรับลมหายใจอยู่ข้างกองไฟ ฟื้นฟูกำลัง!
หลังจากซางซูชิงกินอิ่ม หนิวโหย่วเต้ายิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “นอนพักข้างกองไฟสักหน่อยเถอะ จะได้ไม่หนาว ทำให้อบอุ่นพักผ่อนได้เต็มที่พ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงสงบนิ่งอ่อนโยน
ซางซูชิงพยักหน้ารับ ทำตามอย่างว่าง่าย ใช้ห่อสัมภาระต่างหมอน หยิบเสื้อตัวหนึ่งมาคลุมร่างอ้อนแอ้นอรชรเอาไว้ นอนตะแคงลงไป
จู่ๆ หยวนกังที่ตากคบเพลิงและคอยเติมฟืนให้กองไฟอยู่เป็นระยะก็เอ่ยถามเสียงเบาๆ “เต้าเหยี่ย อีกฝ่ายมองเห็นในที่มืดได้ใช่ไหม?”
ความหมายในวาจาคือ หากอีกฝ่ายมิได้มีข้อได้เปรียบยามอยู่ในที่มืด เช่นนั้นจะทำลายคบเพลิงไปทำไม?
หนิวโหย่วเต้าเฝ้าระวังรอบข้างพลางอธิบายให้ฟัง “เป็นความแตกต่างระหว่างหยินหยาง แค่พยายามจะปรับให้เป็นสภาพแวดล้อมที่ตัวเองอยู่อาศัยได้เท่านั้น ในขณะเดียวกันก็มีผลกระทบเชื่อมต่อวนกัน สิ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ใต้แสงตะวันส่วนใหญ่ไม่เคยชินกับการใช้ชีวิตในความมืด สิ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในความมืดก็เหมือนกัน ไม่เหมาะจะใช้ชีวิตใต้แสงตะวัน แต่เมื่อต่างฝ่ายต่างต้องอยู่ร่วมกัน ก็จำเป็นต้องมีเงื่อนไขบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคนต้องอาศัยอยู่ในความมืดก็จำเป็นต้องพึ่งพาแสงไฟส่องสว่าง”
หยวนกังถามต่อ “ถ้าอย่างนั้นหากสิ่งที่เรียกว่า ‘ผี’ ต้องการอาศัยอยู่ใต้แสงตะวันจำเป็นต้องพึ่งพาอะไร?”
หนิวโหย่วเต้าตอบสั้น “ปราณหยาง!”
“ปราณหยาง?” หยวนกังฉงน
หนิวโหย่วเต้าอธิบายว่า “ตามความเข้าใจของฉัน สสารมืดนั้นมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนรูปและถูกปรับเปลี่ยนรูปต่อบางสิ่งบางอย่างเมื่ออยู่ภายใต้เงื่อนไขพิเศษบางอย่าง กายเนื้อนี่น่าจะมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนรูปสสารมืด ยกตัวอย่างเช่นความแตกต่างกันของวิชามีผลต่อการปรับตัวของร่างกาย ก่อให้เกิดความร้อนเย็นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หรือกระทั่งทำให้เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไปสารพัด ในทางกลับกัน กายเนื้อเองก็ถูกสสารมืดปรับเปลี่ยนรูปได้เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นมนุษย์หมาป่าของทางตะวันตก น่าจะเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากถูกปรับเปลี่ยนรูป เจ้าหมีก็คือตัวอย่าง อันที่จริงการสลับไปมาระหว่างคนกับหมีในตอนที่มันเปลี่ยนร่างก็ไม่ต่างอะไรจากมนุษย์หมาป่าในตำนานของทางตะวันตกเลย ในอีกแง่หนึ่งแล้ว มนุษย์หมาป่าในตำนานตะวันตกก็คือปีศาจในตำนานของทางตะวันออกนั่นแหละ วิชาดูดซับปรับลมหายใจของผู้บำเพ็ญเพียรสามารถดูดซับสสารมืดมาปรับเปลี่ยนรูปแล้ว ระหว่างที่คนธรรมดาหายใจก็มีการดูดซับและปรับเปลี่ยนรูปสสารมืดเช่นเดียวกัน ผลที่เกิดขึ้นหลังจากที่ทำการปรับเปลี่ยนแล้วน่าจะกลายเป็นสิ่งที่เรียกกันว่าปราณหยางในร่างกาย มีผลลัพธ์แบบเดียวกับการฝึกบำเพ็ญของผู้บำเพ็ญเพียร ปราณหยางเองก็เป็นพลังงานอย่างหนึ่งเหมือนกัน เป็นหนึ่งในพลังงานที่ช่วยสนับสนุนค้ำจุนร่างกายให้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกคนเป็นได้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนที่ขาดปราณหยางถึงไม่ต่างอะไรกับคนตาย เพราะว่าสูญเสียพลังงานขับเคลื่อนบางอย่างไปแล้ว ภูตผีก็เป็นสิ่งที่คงอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยกายเนื้อ ดังนั้นจึงสร้างปราณหยางเหมือนมนุษย์ไม่ได้ พอขาดปราณหยางไปก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวในโลกคนเป็นอย่างอิสระเสรีได้ ดังนั้นจึงต้องหาวิธีทำให้ได้รับปราณหยางมาโดยไม่ต้องลงทุนลงแรง อย่างเช่นดูดซับปราณหยางจากร่างมนุษย์ คิดว่าเจ้าตัวที่พวกเรากำลังเผชิญหน้าอยู่ก็คงมีความคิดแบบนี้”
หยวนกังถามต่อ “เพราะอะไร? ในเมื่อกลายเป็นผีแล้ว ทำไมถึงยังยึดติดกับโลกคนเป็นอีก”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวไปว่า “ก็เหมือนอย่างที่พูดกันว่า ‘ผีเร่ร่อน’ นั่นแหละ การกลายเป็นผีคือเรื่องที่อ้างว้างเดียวดาย แต่ความคิดและเจตจำนงของผีดันยังไม่เลือนหายไป ยังคงมีตัวตนอยู่ได้ด้วยการอาศัยร่างพลังงานบางอย่าง ได้แต่เฝ้ามองความรุ่งโรจน์ของโลกทว่าไม่สามารถมีส่วนร่วมได้ คิดคะนึงถึงชีวิตในอดีต จะมีผีสักกี่ตัวที่สามารถต้านทานความเย้ายวนของโลกคนเป็นได้”
หยวนกังยังมีข้อสงสัยอยู่ “แล้วพวกผีใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเองไม่ได้หรือ?”
หนิวโหย่วเต้าอธิบาย “ได้สิ แต่ผีนั้นเป็นของหายาก ไม่ใช่ทุกคนที่พอตายไปแล้วจะมีเงื่อนไขครบถ้วนจนสามารถดำรงอยู่ในสถานะแบบนี้ได้ ต่อให้มาอยู่รวมกัน แต่ผลที่เกิดจากการรวมตัวของปราณหยินจำนวนมากจะดึงดูดให้คนพบเห็นได้ง่าย ผู้บำเพ็ญเพียรหรือฝ่าซือเหล่านั้นไม่มีทางปล่อยไปแน่ อย่างเช่นผู้บำเพ็ญเพียรที่กระจายตัวออกรวบรวมสมุนไพรวิญญาณยังที่ต่างๆ นั้นก็เป็นเหมือนตาข่ายปากหนึ่ง ทันทีที่พวกเขาพบเข้า ก็ไม่มีทางนั่งมองเฉยๆ แน่ สิ่งมีชีวิตทุกสายพันธุ์ล้วนมีสัญชาตญาณในการปกป้องเผ่าพันธุ์ของตนอยู่”
…………………………………………………………