ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 94 บนเขา ล่างเขา
ตอนที่ 94 บนเขา ล่างเขา
ถึงแม้หนิวโหย่วเต้าจะไม่ได้พูด แต่หยวนกังทราบดีว่าเขาหมายความว่าอย่างไร แม้นระหว่างเดินทางจะเจอปัญหา แต่หลังจากนั้นการเดินทางกลับราบรื่นดี ไม่เห็นผีตัวนั้นโผล่มาอีก นี่ทำให้พวกเขาแปลกใจอยู่เล็กน้อย
เมื่อดูจากที่มันไล่ทำลายคลังคบเพลิง แต่ก็หยุดลงกลางคันแล้ว ตอนนั้นพวกเขาคาดการณ์กันว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายอาจจะเห็นว่าฝั่งนี้หาวิธีแก้ไขปัญหาได้แล้ว ต่อให้ทำลายคบเพลิงต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ หรืออาจเป็นเพราะว่าไม่คุ้นเคยกับเส้นทางในช่วงท้ายๆ เมื่อหาคลังคบเพลิงไม่พบก็ทำลายต่อไม่ได้ หรืออาจเป็นไปได้ทั้งสองกรณี
ตอนนี้หนิ่วโหย่วเต้าจึงลองสอบถามสถานการณ์ในหมู่บ้านดู ผีตัวนั้นกล้าเล่นงานแม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียร แต่ภายในหมู่บ้านนี้กลับไม่เคยถูกรบกวนเลยทั้งๆ ที่ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียร เช่นนั้นก็แปลว่าผีตัวนั้นยังไม่เคยมาที่นี่
ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร แต่มีจุดหนึ่งที่สามารถมั่นใจได้ นั่นคือผีตัวนั้นทำลายคลังคบเพลิงระหว่างทางไปมากมายขนาดนั้น ระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ เลย มันกระตือรือร้นอยากจะเล่นงานพวกเขาแค่ไหน เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว อีกฝ่ายลงทุนลงแรงไปมากขนาดนั้น อีกทั้งทั้งสองฝ่ายก็ไม่เคยต่อสู้กัน ต่างไม่ทราบว่าอีกฝ่ายมีพลังแค่ไหน การที่มันปล่อยพวกเขาออกมาง่ายๆ เช่นนี้ มันจะสมเหตุสมผลได้อย่างไร?
เช่นนั้นก็มีคำอธิบายเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือผีตัวนั้นไม่ได้ยอมเลิกราง่ายๆ หากแต่มีความระมัดระวังเป็นอย่างมาก หากไม่มีความมั่นใจเต็มที่ก็ไม่กล้าผลีผลามลงมือ อีกทั้งยังเป็นการยืนยันคำพูดของหนิวโหย่วเต้าในอีกแง่หนึ่งด้วย นั่นคือผีตัวนั้นมีพลังจำกัด
ผ่านไปไม่นานก็มีหญิงวัยกลางคนสองคนเดินขึ้นมาจากด้านล่างเขา มาพร้อมกับเกี้ยวหามที่ดูเรียบง่าย เป็นเก้าอี้ตัวหนึ่งที่มีคานหามสองข้าง
ซางซูชิงเพิ่งถูกประคองขึ้นเกี้ยว จู่ๆ หนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าลิง เจ้าลงเขาไปพร้อมท่านหญิงก่อน” จากนั้นก็ส่งสายตาให้หยวนกังอีกครั้ง
หยวนกังทราบดีว่าเขาต้องการให้ตนไปตรวจสอบสถานการณ์ในหมู่บ้านก่อน
เมื่อพวกซางซูชิงได้ยินก็หันกลับมามอง หลัวอันเอ่ยถามว่า “ฝ่าซือไม่ลงไปด้วยกันหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบอย่างรวบรัด “มีปัญหาเล็กน้อยน่ะ แม่ทัพหลัว ขอยืมตัวคนเฝ้ายามของที่นี่หน่อยได้หรือไม่?” เขาพยักเพยิดหน้าไปทางศาลามุงจาก
หลัวอันถามด้วยความแปลกใจ “ไม่ทราบว่าฝ่าซือมีปัญหาใดหรือ?”
ซางซูชิงรู้จักนิสัยของหนิวโหย่วเต้าดี ชอบอมพะนำ เรื่องที่ไม่อยากพูดต่อให้ถามไปก็ไม่ได้ความ จึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาหลัว จัดการตามที่ฝ่าซือบอกเถอะ”
เมื่อนางเป็นคนออกปาก หลัวอันจึงทำได้เพียงเอ่ยกำชับคนผู้หนึ่ง “ซานหู่ ได้ยินหรือเปล่า?”
ชายหนุ่มที่เป็นคนเคาะระฆังพยักหน้ารับ “ได้ยินแล้ว”
จากนั้นคนทั้งกลุ่มตีวงเข้ามา แบกซางซูชิงลงเขาไป หยวนกังรวบรวมสัมภาระหลายห่อแบกขึ้นหลัง ตามลงเขาไปด้วย
หนิวโหย่วเต้ายิ้มเล็กน้อยพลางมองตาม พบว่าคนที่ชาติกำเนิดแตกต่างกัน ยังไงก็แตกต่างกันอยู่วันยังค่ำ แม้นจะอยู่ในป่าเขาที่ห่างไกลเช่นนี้ก็ยังได้รับการปฏิบัติดูแลอย่างเป็นพิเศษ ต่อให้วงศ์ตระกูลตกต่ำก็ยังดีกว่าคนทั่วไปนับร้อยเท่า มีความคับข้องอันใดก็ยังเอ่ยปากออกไปได้ นี่สินะพื้นฐานชาติตระกูล!
“เต้าเหยี่ย ท่านอยากจัดการเจ้าผีลึกลับตัวนั้นหรือขอรับ?” หยวนฟางขยับเข้ามาใกล้พลางกระซิบถาม เห็นได้ชัดว่าเขาก็มองพิรุธออกเช่นกัน
หนิวโหย่วเต้ากระซิบตอบ “ครั้งนี้ข้ามาเพื่อเก็บตัวบำเพ็ญเพียร ไม่อาจถูกรบกวนได้ หากไม่กำจัดผีตัวนี้ ข้าก็ยากจะวางใจได้!”
“โอ้!” หยวนฟางเข้าใจแล้ว พยักหน้ารับ
หนิวโหย่วเต้ากระซิบอีกว่า “ข้าเดาว่าผีตัวนั้นคงไม่ยอมรามือง่ายๆ แน่ บางทีอาจจะตามหลังเรามาตลอดทั้งทาง คิดจะหาจังหวะลงมือก็เป็นได้ ตอนนี้ตะวันส่องจ้า หยินหยางแบ่งแยก คงไม่กล้าโผล่มา ทันทีที่ฟ้ามืด เป็นไปได้ว่ามันจะออกมาสำรวจดู เดี๋ยวเจ้ากลับเข้าไปข้างใน หาตำแหน่งซ่อนตัว ทันทีที่มันโผล่ออกมา ให้รีบปิดกั้นทางหนีของมันซะ ข้าจะเฝ้าอยู่ด้านนอก คอยประสานงานกับเจ้า”
หยวนฟางขานรับ “เข้าใจแล้วขอรับ” ว่าแล้วก็หันหลังเตรียมเดินเข้าไป แต่จู่ๆ ก็หยุดชะงัก หันกลับมาถามอีกครั้ง “เต้าเหยี่ย เจ้าผีตัวนั้นอาจจะซ่อนตัวอยู่ที่ปากทางเข้าก็ได้ ทันทีที่ข้าเข้าไปย่อมถูกมันพบเห็น แต่ข้ามีวิธีหลบเลี่ยงปัญหานี้ขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าร้องโอ้ จากนั้นเอ่ยขึ้นมาว่า “ลองว่ามาสิ”
หยวนฟางกระซิบข้างหูเขา หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ จากนั้นหันหลังเดินกลับไปที่ปากถ้ำพร้อมเขา
มีคบเพลิงกองอยู่หน้าปากถ้ำ หยวนฟางแบกขึ้นมาด้วยตัวคนเดียว หนิวโหย่วเต้าจุดคบเพลิงให้สว่างเดินนำหน้าไป ทั้งสองตั้งใจพูดคุยส่งเสียง มุดเข้าไปในถ้ำทีละคน เดินกลับไปริมธารน้ำใต้ดินอย่างเปิดเผย นำคบเพลิงกลับไปวางไว้ที่คลังเก็บคบเพลิง จากนั้นเดินกลับมาด้วยกัน ระหว่างที่เดินกลับขึ้นไป หยวนฟางพลันเคลื่อนกายเข้าไปหลบอยู่ในซอกหลืบด้านข้าง ส่วนหนิวโหย่วเต้าก็เดินออกจากถ้ำไป ดับคบเพลิงแล้วโยนทิ้งไว้ข้างทาง มุ่งหน้าไปที่ศาลามุงจาก
“ฝ่าซือ!” ชายหนุ่มนามซานหู่ทำความเคารพพลางเอ่ยถาม “มีเรื่องใดจะสั่งการหรือขอรับ?” สายตายังคงมองไปทางปากถ้ำ คล้ายกำลังแปลกใจว่าเหตุใดหยวนฟางไม่ออกมา
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม “มีเจ้าเฝ้ายามคนเดียวหรือ? เวลาจะกินข้าวมีคนเอาข้าวมาส่งให้?”
ซานหู่เอ่ยตอบ “ที่นี่ไม่มีอะไรต้องทำขอรับ ช่วงกลางวันจะเฝ้ายามคนเดียว พอถึงเวลากินข้าวจะมีคนมาเปลี่ยนเวร ช่วงกลางคืนจะเข้าเวรทีละสองคน เปลี่ยนเวรกันทุกๆ สองชั่วยามขอรับ”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มพลางเอ่ยว่า “เข้าใจแล้ว เอาอย่างนี้แล้วกัน วันนี้ข้าจะช่วยเฝ้ายามแทนเจ้าเอง เจ้ากลับไปเถอะ”
“ห๊า! จะทำแบบนี้ได้อย่างไรขอรับ?” ซานหู่รีบโบกมือปฏิเสธ
หนิวโหย่วเต้ายันกระบี่ไว้ด้านหน้า สองมือกุมด้ามกระบี่ไว้ เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “เช่นนั้นให้ข้าไปหารือกับแม่ทัพหลัวอีกทีดีหรือไม่?”
“เอ่อ…ก็ได้ขอรับ!” ซานหู่เกาศีรษะ ท่าทางคล้ายจะค่อนข้างเกรงกลัวหลัวอัน เขาเดินออกจากศาลาไป จากนั้นหันมากล่าวอีกว่า “เดี๋ยวถึงเวลาอาหารแล้วข้าจะนำอาหารมาส่งให้ท่านนะขอรับ”
หนิวโหย่วเต้ารับรู้ได้ถึงความซื่อตรงของผู้คนที่นี่ เขายิ้มเล็กน้อย เอ่ยไปว่า “ไม่จำเป็น หากผู้ใดไม่เห็นด้วย ก็ให้ไปคุยกับท่านหญิง!” ความจริงด้วยระดับสภาวะของเขาแล้ว ต่อให้อดอาหารสักสองสามวันก็ไม่เป็นไร อย่างมากก็แค่อ่อนแรงเล็กน้อยเท่านั้น
หลังมองซานหู่ที่ดูค่อนข้างงุนงงสงสัยลงเขาไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็ชื่นชมทิวทัศน์ขุนเขาที่โอบล้อมอยู่รอบด้านครู่หนึ่ง ถือโอกาสสังเกตดูภูมิประเทศไปด้วย สุดท้ายก็นั่งขัดสมาธิอยู่ในศาลา หลับตาปรับลมหายใจ เดินอยู่ในเส้นทางลับมาทั้งวัน เขาเองก็ค่อนข้างเหนื่อยล้าเช่นกัน
…….
“ท่านลุงเหมิง!”
ที่เชิงเขามีกลุ่มคนมารอต้อนรับ ผู้นำคือบุรุษผมสีดอกเลาคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นตัวหนึ่งที่สร้างด้วยไม้ ใบหน้าซูบตอบสุขุม แววตาอ่อนโยนทว่าทรงพลัง แต่งกายหมดจดเรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้า เห็นได้ชัดว่าเป็นคนเจ้าระเบียบและพิถีพิถันอย่างยิ่งคนหนึ่ง
ซางซูชิงที่ลงจากเกี้ยวไม่แยแสความเจ็บปวดที่เท้า วิ่งตรงออกไป ย่อตัวนั่งยองๆ ข้างกายเขา ขอบตาแดงเรื่อขึ้นมา มองออกว่าค่อนข้างผูกพันกับคนผู้นี้ทีเดียว
คนผู้นี้มีนามว่าเหมิงซานหมิง เดิมเป็นแม่ทัพเอกใต้สังกัดหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋ว เป็นยอดขุนศึกที่เชี่ยวชาญทั้งบุ๋นและบู๊ ภายหลังได้รับบาดเจ็บสาหัสในสงครามใหญ่ที่กององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญเรือนหมื่นเข้าปะทะกับทัพข้าศึกนับแสน ขาทั้งสองข้างเสียหายอย่างหนัก แทบจะใช้การไม่ได้ แล้วก็ยืนขึ้นมาไม่ได้อีก และนี่ก็เป็นสาเหตุที่เขานั่งรถเข็น เดิมทีหนิงอ๋องต้องการให้เขาใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสุขสบาย แต่เขากังวลในความสัมพันธ์ระหว่างหนิงอ๋องและราชสำนัก จึงเป็นฝ่ายขอสละลาภยศทรัพย์สิน พาครอบครัวมาใช้ชีวิตสันโดษอยู่ที่นี่ และสุดท้ายก็เกิดเรื่องร้ายตามที่เขาคาดการณ์ไว้ แต่หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว เป็นเพราะเขาแยกตัวมาใช้ชีวิตสันโดษอยู่ที่นี่ เขาถึงได้รอดพ้นการกวาดล้างของราชสำนักในครั้งนั้นมาได้
ปัจจุบันนี้ เขตลับแห่งนี้อยู่ในความดูแลของเขา
“ท่านหญิงเติบโตขึ้นมาก ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ปลอดภัยก็ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เหมิงซานหมิงลูบศีรษะนางพลางทอดถอนใจ ขอบตาค่อนข้างเปียกชื้นเช่นกัน “ก่อนหน้านี้ได้รับข้อความจากท่านอ๋องน้อย ทราบว่าท่านหญิงจะมา คำนวณดูแล้วคาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองสามวันกว่าจะมาถึง ไม่คิดเลยว่าพระองค์จะมาถึงเร็วขนาดนี้ จึงมาต้อนรับไม่ทันการพ่ะย่ะค่ะ!”
“ท่านลุงเหมิงเกรงใจเกินไปแล้ว” ซางซูชิงส่ายหน้า ก่อนหน้านี้นางเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะมาถึงเร็วขนาดนี้ นี่ต้องยกความดีความชอบให้หนิวโหย่วเต้าที่แบกนางไว้พลางเร่งเดินทางมาตลอดทั้งทาง เส้นทางวิบากที่ต้องใช้เวลาเดินทางหลายวันกลับมาถึงได้ภายในระยะเวลาประมาณสองวัน
เพียงแต่เรื่องที่ขี่หลังหนิวโหย่วเต้ามาตลอดทางนั้น กระทั่งตัวนางก็ยังยากจะเอ่ยปากออกมาได้
“เดินทางมาลำบาก คงเหนื่อยแล้วกระมัง อย่านั่งตรงนี้เลย กลับถึงบ้านแล้วค่อยๆ คุยกันเถอะพ่ะย่ะค่ะ” เห็นนางนั่งยองๆ ดูไม่เป็นธรรมชาติ เขาก็ทราบแล้วว่าเท้านางมีปัญหา เหมิงซานหมิงจึงโบกมือเล็กน้อย
ทั้งขบวนเดินทางต่อ มาถึงเรือนหลังหนึ่งที่ดูคล้ายอารามวัด แล้วก็เรียกได้ว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ดูดีที่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้
ภายในโถงหลักที่ใหญ่โตกว้างขวาง กลิ่นควันธูปอบอวล บนแท่นด้านหลังกระถางธูปเต็มไปด้วยป้ายวิญญาณที่เรียงไว้เป็นขั้นๆ ลดหลั่นกันไป แต่ละนามที่จารึกเอาไว้บนป้ายล้วนเป็นชื่อของแม่ทัพนายกองที่ล่วงลับไปแล้วทั้งสิ้น ป้ายวิญญาณของหนิงอ๋องและบุตรชายอีกสองคนจัดวางไว้ในตำแหน่งกึ่งกลาง
ซางซูชิงเดินเข้าไปจุดธูปสักการะ จากนั้นยังคงอยู่ภายในห้องโถง นั่งลงบนเก้าอี้ข้างกายเหมิงซานหมิง บอกเล่าประสบการณ์ชีวิตของพวกนางสองพี่น้องหลังจากหนิงอ๋องสิ้นชีพไป เล่าให้เหมิงซานหมิงฟังโดยไม่ปิดบังเรื่องใด คนอื่นๆถูกเหมิงซานหมิงสั่งให้ถอยออกไปหมดแล้ว เรื่องบางเรื่องไม่สะดวกจะให้คนรับรู้มากเกินไป
อันที่จริงเหมิงซานหมิงพอจะทราบสถานการณ์โดยคร่าวๆ บ้างแล้ว เพราะเขามีการติดต่อกับหลานรั่วถิงผ่านจดหมายลับอยู่ตลอด ทว่าเรื่องราวบางส่วนที่แจ้งผ่านจดหมายลับไม่สะดวกจะลงรายละเอียดอะไรมากนัก ซ้ำยังบอกเล่าอย่างค่อนข้างคลุมเครือ ด้วยกลัวว่าถ้าปีกทองพลาดท่าตกไปอยู่ในกำมือผู้อื่นแล้วจะเกิดเรื่องขึ้น ยามนี้เมื่อได้เจอหน้า เขาย่อมต้องซักถามพูดคุยให้ละเอียดเสียหน่อย
หลังจากทั้งสองคุยกันไปได้สักพัก หลัวอันก็รีบเดินเข้ามา คิดอยากจะกระซิบรายงานข้างหูเหมิงซานหมิง
เหมิงซานหมิงยกมือขึ้น กระชากเคราที่ห้อยลงมาจากข้างแก้มหลัวอัน ดูคล้ายจะลงมืออย่างนุ่มนวล แต่อันที่จริงกลับรุนแรงเป็นอย่างมาก หลัวอันร้อง “โอ๊ย” ออกมา
เหมิงซานหมิงปล่อยมือ จากนั้นสะบัดหลังมือฟาดแก้มหลัวอันคราหนึ่งดัง เพียะ! “ท่านหญิงมิใช่คนนอก เจ้าจะทำตัวมีลับลมคมในไปไย? ต่อหน้าท่านหญิงยังจะมีเรื่องใดที่พูดไม่ได้อีก?”
หลัวอันลูบแก้ม มีสีหน้ากระอักกระอ่วน เอ่ยอ้อมแอ้มว่า “ไม่ทันระวัง ลืมไปขอรับ” เห็นอยู่ชัดเจนว่าเป็นชายฉกรรจ์หยาบกระด้างคนหนึ่ง แต่พออยู่ต่อหน้าเหมิงซานหมิงกลับว่าง่ายยิ่งนัก
ซางซูชิงเม้มปากอมยิ้มเล็กน้อย “ดูเหมือนท่านลุงเหมิงจะไม่ทอดทิ้งทักษะยุทธ์เลย”
“กระหม่อมพิการแล้ว ไม่ได้เรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เหมิงซานหมิงยิ้มพลางโบกมือให้ ก่อนจะหันกลับไปถามหลัวอัน “มีเรื่องใดก็ว่ามา”
หลัวอันรายงานว่า “คนที่มากับท่านหญิงผู้นั้นเดินซอกแซกไปทั่วหมู่บ้าน แล้วก็สถานที่บางแห่ง ไม่ทราบว่าควรขัดขวางหรือไม่ขอรับ?”
พอซางซูชิงได้ฟังก็ทราบว่าหมายถึงหยวนกัง
เหมิงซานหมิงเอ่ยอย่างเรียบเฉย “ในเมื่อเป็นคนที่ท่านอ๋องอนุญาตให้มาที่นี่ได้ เช่นนั้นย่อมเป็นคนที่ไว้ใจได้ จะขวางไปทำไม ไปแจ้งให้ชัดเจน อย่าก่อเรื่องจนเกิดความเข้าใจผิดขึ้น”
ซางซูชิงเอ่ยเสริมไปอีกประโยคหนึ่ง “ถูกต้อง ไม่มีอะไรต้องปิดบังเขาเลย ในเมื่อมาแล้ว เรื่องบางเรื่องย่อมไม่มีทางปิดไว้ได้เช่นกัน”
หลัวอันตอบรับแล้วรีบออกไปทันที
ความสนใจของเหมิงซานหมิงเองก็เปลี่ยนมาอยู่ที่ประเด็นนี้เช่นกัน “ได้พบท่านหญิงจึงตื่นเต้นเกินไป เกือบลืมไปเลย ได้ยินว่าศิษย์คนสุดท้ายของท่านตงกัวก็มาด้วย เหตุใดจึงไม่เห็นหน้าล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
สีหน้าของซางซูชิงเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย “คาดว่าคงมีธุระต้องไปจัดการ บังเอิญเจอปัญหานิดหน่อยในเส้นทางลับ…” นางเล่าเหตุการณ์ที่พบเจอในเส้นทางลับ
สีหน้าเหมิงซานหมิงก็ตึงเครียดขึ้นมาเช่นกัน “คิดไม่ถึงว่าจะมีผีสิงอยู่ในเส้นทางลับ หากไม่กำจัดทิ้งเกรงว่าจะเป็นปัญหาได้”
ซางซูชิงกล่าวไปว่า “หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ สาเหตุที่เขายังไม่ลงมาก็น่าจะเพราะไปจัดการเรื่องนี้อยู่”
เหมิงซานหมิงกล่าว “ไหวไหมพ่ะย่ะค่ะ ต้องการให้ส่งคนไปเสริมกำลังไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงกล่าว “ในเมื่อเขาลงมือ แปลว่าเขาน่าจะจัดการได้”
เหมิงซานหมิงถามด้วยความฉงน “ตอนอยู่ในเส้นทางลับก็ไม่เคยสู้กัน ไม่ทราบตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่าย เหตุใดท่านหญิงถึงมั่นใจขนาดนี้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงกล่าว “ท่านลุงเหมิง ท่านอาจจะยังไม่ทราบ ศิษย์คนสุดท้ายของท่านตงกัวผู้นี้อาจจะมิได้มีสภาวะบำเพ็ญเพียรสูงส่งที่สุดในบรรดาศิษย์ของท่านตงกัว แต่ในเรื่องความสามารถ เขาคือคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่างแน่นอน ว่ากันตามจริงแล้ว เขาสมควรได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์…” นางเล่าเรื่องที่หนิวโหย่วเต้าถูกกักบริเวณอยู่ในสวนดอกท้อ เล่าว่าไปเชิญหนิวโหย่วเต้าลงเขามาอย่างไร เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่วัดหนานซาน หนิวโหย่วเต้าช่วยเป็นพ่อสื่อให้ซางเฉาจงอย่างไร หยิบยืมไพร่พลของเฟิ่งหลิงปอมาตั้งตัวที่อำเภอชางหลูด้วยวิธีไหน จากนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างเดินทางมาที่นี่ เล่าตั้งต้นจนจบ
…………………………………………..