ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 96 เก็บตัวบำเพ็ญเพียร
ตอนที่ 96 เก็บตัวบำเพ็ญเพียร
“อาวุธสงคราม?” หนิวโหย่วเต้าเงยหน้าขึ้นมาอย่างแปลกใจเล็กน้อย
หยวนกังหันหลังเดินไปที่หน้าต่าง หยิบหินสองสามก้อนที่วางอยู่บนขอบหน้าต่างแล้วเดินกลับมา ทยอยวางลงบนโต๊ะตรงหน้าหนิวโหย่วเต้า
มีหินที่มีลักษณะแตกต่างกันทั้งหมดสามก้อน มีหินสีดำ สีแดงคล้ำและสีเหลือง
หนิวโหย่วเต้าหยิบหินสีดำมาตรวจสอบดู ลูบไปลูบมาพบว่านิ้วเปื้อนสีดำ จึงขมวดคิ้วพลางเอ่ยขึ้นว่า “ถ่านหิน?”
จากนั้นวางลงแล้วหยิบหินสีแดงคล้ำขึ้นมา หลังจากตรวจดูอย่างละเอียด เขาก็พึมพำว่า “แร่เหล็ก?”
หยวนกังพยักหน้าพร้อมเอ่ยว่า “ใช่ครับ เป็นถ่านหินกับแร่เหล็ก ตอนที่ผมตรวจสอบภายในหมู่บ้านเห็นพวกเด็กๆ ถือเล่นอยู่ ทั้งสองสิ่งนี้ไม่น่าจะปรากฏขึ้นในหมู่บ้านนี้พร้อมกันโดยบังเอิญ อีกอย่าง มือของชาวบ้านบางส่วนมีลักษณะคล้ายมือของช่างตีเหล็กที่เจอความร้อนสูงเป็นประจำ น่าจะมีช่างตีเหล็กอยู่ไม่น้อย”
หนิวโหย่วเต้าเข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อ การที่สองสิ่งนี้ปรากฏขึ้นในสถานที่เดียวกันนั้นไม่ใช่เรื่องปกติ ทั้งสองสิ่งนี้เป็นองค์ประกอบพื้นฐานในการผลิตอาวุธ หมู่บ้านสันโดษแห่งหนึ่งจะต้องการช่างตีเหล็กมากมายขนาดนั้นเพื่อผลิตอาวุธเหล็กจำนวนมากไปทำไม? เมื่อนำมาเชื่อมโยงกับภูมิหลังของกองทัพหนิงอ๋อง คำตอบก็ชัดเจนแล้ว ที่นี่คือแหล่งผลิตอาวุธ!
หนิวโหย่วเต้าวางแร่เหล็กในมือลง ก่อนจะหยิบหินสีเหลืองก้อนนั้นขึ้นมาตรวจสอบต่อ หลังจากตรวจดูอย่างละเอียดก็จ่อดมตรงปลายจมูกเล็กน้อย “กำมะถัน?”
หยวนกังพยักหน้า เอ่ยเสริมว่า “เป็นของที่เด็กๆ ถือเล่นเช่นกัน สิ่งนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับภูเขาไฟลูกนั้น”
หนิวโหย่วเต้าวางของในมือลง นิ้วมือเคาะไปบนโต๊ะเบาๆ เผยสีหน้าครุ่นคิดใคร่ครวญ ผลิตอาวุธกลางหุบเขาลึกเช่นนี้จะขนส่งได้สะดวกหรือ? จากนั้นก็นึกถึงธารน้ำใต้ดินเส้นนั้นขึ้นมา ในเมื่อเชื่อมไปถึงคฤหาสน์บนเขาที่อำเภอชางหลูได้ บางทีก็อาจจะเชื่อมไปถึงปากทะเลได้ จึงอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นเอ่ยว่า “เลือกก่อตั้งหมู่บ้านที่นี่ ดูเหมือนจะพยายามกันอย่างมากจริงๆ!”
วันต่อมา พอหนิวโหย่วเต้าเปิดประตูเรือน ก็มองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยอีกครั้ง เขาสบตาซางซูชิงที่อยู่นอกประตูพร้อมยิ้มเล็กน้อย
หนิวโหย่วเต้าเดินลงบันไดมา ซางซูชิงตะลึงไปเล็กน้อย พบว่าหนิวโหย่วเต้ารวบผมไว้ด้านหลังอย่างขอไปทีอีกครั้ง กลับไปทำทรงผมตามสบายแบบเดิม
ในใจนางคิดไปมากมายนัก เงียบไปครู่หนึ่ง
เป็นหนิวโหย่วเต้าที่เป็นฝ่ายอธิบายออกมา “กระหม่อมต้องการเวลาสงบใจสามวัน ผ่อนคลายอารมณ์ขจัดความคิดฟุ้งซ่าน ไม่อยากมีบ่วงผูกมัดในระหว่างที่เก็บตัวบำเพ็ญเพียร” เขาเตรียมจะใช้โอกาสช่วงเก็บตัวบำเพ็ญเพียรกีดกันไม่ให้สตรีนางนี้มาช่วยเกล้าผมให้ตนอีก เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ยากจะปฏิเสธน้ำใจได้ ให้ท่านหญิงอย่างนางมาช่วยเกล้าผมให้เจ้าอยู่บ่อยๆ มันหมายความว่าอย่างไร หากปล่อยให้ความสัมพันธ์ที่อธิบายได้ไม่ชัดเจนระหว่างชายโสดหญิงสาวเกิดขึ้นนานวันเข้า ต่อไปอาจจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้
อีกอย่างคือตอนนี้เขารู้แล้วว่าต้องเกล้าผมอย่างไร เห็นจนทำเป็นแล้ว
อย่างนี้นี่เอง! ซางซูชิงยิ้มเล็กน้อย เอ่ยตอบรับ “ตกลง!”
หนิวโหย่วเต้ามองเท้านางเล็กน้อย เอ่ยเตือนว่า “ช่วงนี้ท่านหญิงก็พักผ่อนให้มากหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ซางซูชิงพยักหน้ารับ
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ หยวนกังและหยวนฟางเดินตามหลังหนิวโหย่วเต้า เดินเล่นไปทั่วหมู่บ้าน
หนิวโหย่วเต้าเองก็มีท่าทางปล่อยตัวผ่อนคลายจริงๆ บนอาภรณ์ไม่คาดสายรัดเอว ปล่อยให้เสื้อผ้าแผ่พลิ้วหลวมคลาย ผมยาวรวบไว้ด้านหลัง แม้แต่กระบี่ก็ไม่ถือแล้ว ให้หยวนกังถือแทน
ภายในทุ่งนา สวนหม่อน ซ้ำยังมีดอกกะหล่ำที่โยกไหวเล็กน้อยไปตามแรงลมภายใต้แสงตะวัน มีเงาร่างของหญิงชาวบ้านที่กำลังง่วนอยู่กับงาน
“ทิวทัศน์ท้องทุ่งงดงามนัก” หนิวโหย่วเต้าสูดหายใจเข้าลึกๆ พลางเอ่ยชม จากนั้นเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “เจ้าหมี ข้าไปคุยกับพวกเขาให้เอาไหม? ให้พวกเขาช่วยสร้างวัดหนานซานของเจ้าไว้ที่นี่ดีหรือไม่?”
หยวนฟางปฏิเสธอย่างไม่ลังเล “ไม่เอาขอรับ!”
หนิวโหย่วเต้าหยุดเดินพลางหันกลับมา กางสองแขนออกพลางถามด้วยความแปลกใจ “เขาเขียวลำธารใส สภาพแวดล้อมงดงามเช่นนี้ อีกทั้งไม่ขาดแคลนเสื้อผ้าอาหาร ไม่ต้องถูกผู้ใดรบกวน เหตุใดถึงไม่เอาเล่า?”
หยวนฟางก้มหน้าหลุบตา เอ่ยตอบว่า “ที่นี่คนน้อยเกินไป ไม่รุ่งเรืองเฟื่องฟู วัดหนานซานจะมาซ่อนอยู่ในสถานที่เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ได้อย่างไรขอรับ”
“เอาแต่ห่วงเรื่องปัจจัยบริจาค น่าเบื่อ” หนิวโหย่วเต้ามองหยามเล็กน้อย หันกลับไปเดินหน้าต่อ เขาแค่ล้อเล่นเท่านั้น
หยวนกังที่ไม่ค่อยพูดมากกลับเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าอยากให้วัดหนานซานมีชื่อเสียง วัดไม่จำเป็นต้องใหญ่โต แล้วก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานที่เจริญรุ่งเรือง สูงต่ำมิอาจวัดบรรพต เซียนปรากฏย่อมเรืองนาม ลึกตื้นมิอาจประเมินชลธาร มังกรล่องผ่านย่อมเลื่องลือ ขอเพียงเจ้าอาวาสอย่างเจ้ามีชื่อเสียงมากพอ ไม่ว่าวัดหนานซานจะอยู่ห่างไกลเพียงใด ย่อมมีผู้สูงศักดิ์หาทางดั้นด้นไปบริจาคทำทาน เมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าเจ้าคงอยากซ่อนตัวอยู่เงียบๆ ใจแทบขาด”
หนิวโหย่วเต้าชูมือชี้ข้ามไหล่ไปด้านหลังพลางเอ่ยว่า “เจ้าหมี ฟังไว้ซะ คำพูดเจ้าลิงมีเหตุผล มิสู้ยกตำแหน่งเจ้าอาวาสของเจ้าให้เจ้าลิงเสียดีกว่า”
หยวนฟางเสมือนถูกทุบหัวเข้าอย่างจัง ตะลึงงันอยู่ที่เดิม มองหยวนกังอย่างตื่นตะลึงใจลอย ปากพึมพำกับตัวเอง “สูงต่ำมิอาจวัดบรรพต เซียนปรากฏย่อมเรืองนาม ลึกตื้นมิอาจประเมินชลธาร มังกรล่องผ่านย่อมเลื่องลือ…”
หนิวโหย่วเต้าและหยวนกังพากันหยุดเดิน ต่างหันกลับไปมองเขา
หยวนฟางรีบวิ่งเข้ามาหา พนมมือให้หยวนกัง เอ่ยด้วยสีหน้าตื้นตัน “อามิตตาพุทธ หากมิใช่เพราะวาจาอันรู้แจ้งเห็นจริงของหยวนเหยี่ย อาตมาก็ไม่รู้ว่าจะยึดติดงมงายไปถึงเมื่อไร!” กล่าวจบก็ค้อมคำนับอย่างนอบน้อม
หนิวโหย่วเต้าและหยวนกังสบตากันเงียบๆ ในใจต่างคิดแบบเดียวกัน ปีศาจตัวนี้เอาจริง!
เมื่อหยวนฟางยืดตัวขึ้นมาก็เอ่ยเสริมอีกประโยค “แต่ข้าก็ยังคิดว่าไม่เหมาะจะสร้างวัดหนานซานขึ้นที่นี่อยู่ดี ห่างไกลเกินไป ถึงเหล่าผู้สูงศักดิ์จะดั้นด้นหาทางมาอย่างไรก็เกรงว่าคงหาไม่พบ”
ทั้งสองคนหันหลังเดินต่อไป เมินคำพูดเขาไปเสีย คนบ้าเท่านั้นที่คิดจะช่วยเจ้าสร้างวัดขึ้นที่นี่
ทั้งสองรู้มานานแล้ว ขอเพียงเอ่ยเรื่องวัดหนานซาน ปีศาจตัวนี้จะจริงจังเป็นอย่างยิ่ง เป็นปีศาจดีๆ ไม่ชอบ ดันมุ่งมั่นอยากเป็นเจ้าอาวาส!
เส้นทางอ้อมวนไปถึงหลังเขา มีแม่น้ำสายเล็กไหลเชี่ยว ภาพการใช้ชีวิตอันครึกครื้นในแม่น้ำดึงดูดความสนใจของคนทั้งสาม
ริมฝั่งมีคนแบกขอนไม้เดินย้อนขึ้นไปทางต้นน้ำ ในแม่น้ำมีคนนั่งควบขอนไม้พุ่งไถลตามกระแสน้ำมาอย่างรวดเร็วประหนึ่งควบม้า มิใช่แค่คนเดียว หากแต่พากันพุ่งไถลลงมาระลอกแล้วระลอกเล่า คนที่นั่งควบขอนไม้ถือท่อนไม้ไว้ใช้ต่างอาวุธ บนท่อนไม้พันผ้ากระสอบหนาๆ ที่เปียกชุ่มน้ำจนไม่รู้เลยว่าหนักเท่าไรเอาไว้ แต่ละคนกวัดแกว่งท่อนไม้แทงซ้ายแทงขวา ท่วงท่าของแต่ละคนดุดัน ต่างมุ่งโจมตีคนใกล้ตัวให้พลัดตกน้ำไป
แม้ว่าหนิวโหย่วเต้าจะไม่ทราบวิธีต่อสู้ในสนามรบแต่ก็มองออกแล้วเช่นกัน นี่คือวิธีฝึกการต่อสู้ของทหารม้าชัดๆ เพียงแต่วิธีฝึกนี้ค่อนข้างอันตราย หากถูกขอนไม้ที่ล่องไปตามกระแสน้ำพุ่งกระแทกเข้าใส่เล็กน้อย เพียงแค่นึกดูก็รู้สภาพแล้ว ผู้ฝึกฝนจำเป็นต้องมีสติคอยระวังตัวอย่างเต็มที่อยู่ตลอดเวลา
การขี่ขอนไม้ล่องอยู่ในกระแสน้ำทำให้ควบคุมการทรงตัวได้ยากยิ่ง ยากกว่าทรงตัวบนหลังม้ามากนัก อีกทั้งต้องสู้กันไปด้วย ไม่ทราบเช่นกันว่าคนเหล่านี้ฝึกฝนกันมานานแค่ไหนถึงสามารถทรงตัวเช่นนี้ได้ มีคนถูกโจมตีพลัดตกน้ำอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ ลอยตามกระแสน้ำไปจนถึงบริเวณที่น้ำไหลเอื่อย จากนั้นก็ลากขอนไม้ปีนขึ้นฝั่ง แบกกลับไปทางต้นน้ำด้วยกัน
มีเสียงล้อรถแว่วมาจากด้านหลัง ทั้งสามหันกลับไปมอง เห็นเหมิงซานหมิงที่นั่งอยู่บนรถเข็นถูกคนเข็นเข้ามา หยุดอยู่ข้างๆ คนทั้งสาม
“แรกเริ่มเดิมที รุ่นบิดาของพวกเขาที่บ้างก็บาดเจ็บ บ้างก็พิการ บ้างก็สิ้นชีพ ต่างต้องการให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตสันโดษอยู่ที่นี่ ตัดขาดจากโลกภายนอกอันวุ่นวาย ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข…หลังจากได้รับข่าวการล่วงลับของหนิงอ๋อง ที่นี่คงจะสงบต่อไปได้อีกไม่นานแล้ว ไม่มีสถานที่ใดที่เป็นความลับไปได้ตลอดกาล ไม่ช้าก็เร็วมรสุมการกวาดล้างจะพัดพามาถึงที่นี่ จำเป็นต้องเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าเพื่อปกป้องตัวเองและเพื่อท่านอ๋องน้อย!” เหมิงซานหมิงมองเหล่าคนหนุ่มที่กำลังฝึกฝนการต่อสู้ จากนั้นก็ถอนหายใจ
ที่นี่ค่อนข้างเอะอะวุ่นวาย มิใช่สถานที่สำหรับพูดคุย เขาจึงผายมือส่งสัญญาณเชื้อเชิญ
กลุ่มคนพร้อมด้วยรถเข็นคันหนึ่งค่อยๆ เดินไปตามทางเดินเล็กๆ
หนิวโหย่วเต้ามองสำรวจรอบข้าง จากนั้นเอ่ยถามว่า “ที่นี่ตั้งอยู่ที่ไหนกันแน่?”
เหมิงซานหมิงอธิบายว่า “พ้นจากเขตจังหวัดชิงซานแล้ว หากว่ากันตามจริง ตำแหน่งที่ตั้งน่าจะอยู่ในเขตแคว้นจ้าวแล้ว แต่ที่นี่อยู่ลึกเข้าไปในเทือกเขากว้างใหญ่ ภูมิประเทศลาดชันอันตราย ไม่เหมาะสำหรับอยู่อาศัย ประกอบกับสภาพแวดล้อมอันเป็นเอกลักษณ์ตามธรรมชาติ พื้นที่ส่วนใหญ่ภายในหุบเขามีควันพิษปกคลุม คนที่อยู่ด้านนอกยากจะหาที่นี่พบได้ หากไม่มีเส้นทางลับสายนั้น คนที่นี่ก็ยากจะออกไปได้เช่นกัน ต่อให้ไม่มีควันพิษคอยรบกวน แต่ด้วยสภาพภูมิประเทศ คนทั่วไปก็ยากจะปีนป่ายข้ามเทือกเขาสูงชันอันตรายที่โอบล้อมอยู่ได้ ท่านตงกัวอาจารย์ของท่านก็เคยมาที่นี่เช่นกัน เขาเคยสำรวจทางเข้าออกของที่นี่เป็นการเฉพาะแล้ว คาดการณ์ไว้คนธรรมดาทั่วไปจำเป็นต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะเดินทางเข้าออกที่นี่ได้ พวกเราครอบครองเพียงพื้นที่ส่วนเล็กๆ ในภูเขาอันกว้างใหญ่แห่งนี้เท่านั้น ดั่งน้ำหยดเดียวจากมหาสมุทร ต่อให้คนนอกอยากจะตามหาที่นี่ก็ยากที่จะหาพบได้ ดังนั้นท่านสามารถเก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่อย่างสบายใจได้เลย!”
ตงกัวเฮ่าหรานก็เคยมาที่นี่หรือ? แม้แต่ที่นี่ก็เคยมาแล้ว ดูเหมือนมิตรภาพระหว่างเขากับหนิงอ๋องจะแน่นแฟ้นอย่างมากจริงๆ! หนิวโหย่วเต้าคิดในใจ จากนั้นเอ่ยถามว่า “ในเมื่ออาจารย์ของข้าเคยมาที่นี่ ก็แปลว่าพวกท่านมีวิธีขจัดควันพิษในหุบเขาแห่งนี้ใช่หรือไม่?”
“อื้ม!” เหมิงซานหมิงพยักหน้า “พวกเรากบดานอยู่ในภูเขานี้มานานแล้ว พอจะสังเกตเห็นเบาะแสบางอย่างที่นำมาใช้กำจัดได้…”
……
สามวันต่อมา หนิวโหย่วเต้ายืนอยู่หน้าถ้ำแห่งหนึ่ง สองมือแนบลู่อยู่ข้างตัวอย่างเป็นธรรมชาติ หลับตาสงบนิ่ง
ถ้ำแห่งนี้ก็ตั้งอยู่บนไหล่เขาเช่นกัน ดูเก่าพอสมควร เป็นถ้ำที่ผู้มาถึงกลุ่มแรกขุดเจาะขึ้นมา หลังทราบถึงสภาพแวดล้อมในการเก็บตัวแบบที่หนิวโหย่วเต้าต้องการแล้ว เหมิงซานหมิงก็พาเขามาดูว่าที่นี่ใช้ได้หรือไม่ เมื่อหนิวโหย่วเต้าตอบว่าใช้ได้ ทางนี้ก็จัดแจงส่งคนมาทำความสะอาดจนสะอาดสะอ้าน ซ้ำยังโรยผงกำมะถันไว้บนพื้นด้วย
มีการจัดเวรยามเฝ้าระวังรอบด้านทั้งกลางวันกลางคืน ไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนเข้ามาใกล้
เหตุผลที่เลือกใช้ถ้ำ เป็นเพราะมีความหนาทนทานมากพอ ขอเพียงมีคนเฝ้าปากถ้ำไว้ ก็ไม่มีทางถูกคนลอบโจมตีง่ายๆ แต่ถ้าหากอยู่ในเรือนที่หมู่บ้าน นั่นกลับจะมีเรื่องให้ต้องกังวลมากมาย หนิวโหย่วเต้าไม่มีประสบการณ์ในการบรรลุสู่สภาวะระดับสร้างฐานมาก่อน ประสบการณ์บางอย่างก็เรียนรู้มาจากตำรา ผนวกกับเขาไม่มีโอสถที่จำเป็นสำหรับการบรรลุสภาวะ จึงจำเป็นต้องใช้วิธีที่คิดค้นขึ้นเองเพื่อบรรลุสภาวะ อีกทั้งเขาเองก็ไม่เหมือนกับศิษย์ของสำนักบำเพ็ญเพียรเหล่านั้นที่สามารถเก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ในสำนักที่สามารถมอบความปลอดภัยให้ได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกคนรบกวน ดังนั้นด้วยสถานการณ์ของเขาในเวลานี้จึงจำเป็นต้องระวังตัวไว้สักหน่อย
หยวนกังและหยวนฟางเดินออกมาจากในถ้ำ หยวนกังเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ย ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร” ทั้งสองตรวจสอบด้านในอยู่หลายรอบ ตรวจดูทุกซอกทุกมุมไม่ปล่อยผ่าน
หนิวโหย่วเต้าลืมตาขึ้น เอ่ยด้วยสีหน้าสงบราบเรียบ “ระหว่างนี้คงต้องรบกวนพวกเจ้าทั้งสองแล้ว”
หยวนกังไม่พูดอะไร แต่หยวนฟางหัวเราะแหะๆ พลางตอบว่า “เป็นเรื่องที่สมควรทำอยู่แล้วขอรับ”
พวกเขาไม่ได้พูดมากอีก หนิวโหย่วเต้าปลดปลงอารมณ์ สีหน้าราบเรียบ เดินเข้าไปในถ้ำอย่างไม่เร่งร้อน หายลับไปในถ้ำมืดเพียงลำพัง
หยวนกังและหยวนฟางปล่อยผ้าม่านผืนหนาที่เพิ่งจะทำการติดตั้งขึ้นมาตรงหน้าถ้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้มีลมฝนเล็ดลอดเข้าไปได้ จากนั้นหมุนตัวเฝ้าอยู่หน้าถ้ำ
การบรรลุสภาวะจำเป็นต้องใช้เวลา ตัวหนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่ทราบด้วยว่าตนเองต้องใช้เวลานานแค่ไหน ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงเริ่มเฝ้าคุ้มกันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผละจากที่นี่ไปไม่ได้แม้เพียงชั่วครู่ อย่างมากก็ทำได้เพียงผลัดกันเข้าไปพักผ่อนหลังม่านเท่านั้น
พื้นที่ภายในถ้ำไม่ใหญ่นัก ปากถ้ำแคบแต่ด้านในกว้างพอสมควร ทรงคล้ายน้ำเต้า พื้นแบ่งระดับออกเป็นชั้นสองสามชั้น ด้านในสุดมีตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่งที่ถูกจุดเอาไว้ตั้งอยู่บนพื้น
หนิวโหย่วเต้าเดินเข้าไปด้านในสุด หมุนตัวนั่งขัดสมาธิลงไป หลังจากปรับสมดุลลมหายใจแล้ว เขาก็ค่อยๆ หลับตาลงพร้อมกับโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง ใช้กำลังภายในดับตะเกียง ภายในถ้ำตกอยู่ในความมืดมิดอย่างสมบูรณ์…
………………………………………………………………………..