ราชันย์หน่วยรบมังกร - ตอนที่ 26.1
ตอนที่ 26: ประสบการณ์เหลือล้น
“นายกำลังทำบ้าอะไรอยู่กัน?” หลินจื้อซือพลันถามเสี่ยวเฉิงทันทีที่เห็นว่าเขาหลับตาลง
ประสาทรับฟังของเสี่ยวเฉิงนั้นสามารถได้ยินเสียงทุกอย่างและการเคลื่อนไหวทั้งหมดรอบตัวได้ เขาได้ยินแม้กระทั้งเสียง “ครื้ด” เพราะความหิวที่ดังมาจากท้องของหลินจื้อซือ
เสี่ยวเฉิงพลันหันไปมองหลินจื้อซือพร้อมเผยท่าทีที่แปลกไป
เธอค่อนข้างรู้สึกแปลกใจว่าทำไมเสี่ยวเฉิงถึงมองมาด้วยสายตาแบบนั้น จากนั้น เสี่ยวเฉิงก็พลันเงยหน้าไปมองจอเหนือประตูลิฟต์ที่ติดหมายเลขชั้นเอาไว้
ทันใดนั้น เขาก็รีบดึงตัวหลินจื้อซือเข้ามาข้างกายพร้อมกับกล่าวคำพูด “ไปซ่อนตัวข้างในซอกนั้นเลย” เสี่ยวเฉิงพลันชี้ไปที่ช่องว่างระหว่างห้องของอาคารในทางเดิน
หลินจื้อซือรู้สึกลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่เนื่องจากเธออยู่ภายใต้ความดูแลของเสี่ยวเฉิง เธอก็ทำได้เพียงแค่รับฟังและเดินไปซ่อนตัวเท่านั้น
ระหว่างที่ลิฟต์กำลังขึ้น เสี่ยวเฉิงก็พลันหันหน้ากลับมาและแสร้งทำเป็นเหมือนว่าเพิ่งจะดึงกุญแจออกมาจากประตูห้อง
ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก ผู้สื่อข่าวทั้งสามคนก็รีบเดินออกมาพร้อมกล้องในมือ พวกเขาสอดส่องทุกช่องทุกมุมและสังเกตเห็นเสี่ยวเฉิงที่เพิ่งจะออกมาจากห้อง
ทว่า ทั้งสามไม่เห็นว่าหลินจื้อซือไปซ่อนตัวอยู่ตรงมุมไหน
ในตอนนั้นเอง หลินจื้อซือพลันตกใจเล็กน้อย
เสี่ยวเฉิงรู้ได้อย่างไรว่าผู้สื่อข่าวกำลังขึ้นลิฟต์มา?
“เอ่อ… ขอโทษครับ คุณเห็นดาราที่ชื่อหลินจื้อซือหรือรู้ไหมว่าเธออยู่ห้องไหน?” ผู้สื่อข่าวพลันเดินเข้ามาถามและยัดเงินสามร้อยหยวนใส่มือของเสี่ยวเฉิง “ถ้ารู้ก็ช่วยบอกเราหน่อยเถอะ”
เสี่ยวเฉิงพลันเผยยิ้มและยัดเงินใส่ประเป๋าของตัวเอง เขาพลันกล่าวคำพูดขึ้นพร้อมชี้นิ้วไปยังห้องสุดท้ายของทางเดิน “ดูเหมือนว่าเมื่อเช้านี้จะมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูห้องนั้นนะ แต่ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะว่าเธอได้เข้าไปในห้องหรือเปล่า…”
ทันใดนั้น ผู้สื่อข่าวทั้งสามก็รีบวิ่งไปทันทีราวกับฉลามที่ได้กลิ่นเลือด
ในตอนนั้นเอง เสี่ยวเฉิงก็รีบหันไปยังหลินจื้อซือ
ทันทีที่ผู้สื่อข่าวทั้งสามวิ่งไปยังห้องที่อยู่สุดของทางเดิน หลินจื้อซือก็พลันเขย่งเท้าเดินไปยังลิฟต์โดยไม่ต้องบอกกล่าว จากนั้นไม่นาน เสี่ยวเฉิงก็รีบวิ่งเข้าลิฟต์เช่นกัน
เสี่ยวเฉิงรีบกดไปที่ชั้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว และในตอนนั้นเอง หลินจื้อซือที่ยืนอยู่ข้างหลังก็พลันพูดขึ้น “ฉันขอส่วนแบ่งสามร้อยหยวนที่นายยัดใส่กระเป๋าไปบ้างสิ”
เสี่ยวเฉิงพลันกรอกตา “กว่าจะออกมาได้ ฉันแถแทบตายเลยนะ เธอยังจะอยากได้ส่วนแบ่งอีกงั้นเหรอ?”
“เดี๋ยวก่อนสิ นายเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า? นักข่าวพวกนั้นให้เงินนายเพราะต้องการข้อมูลของฉันนะ” หลินจื้อซือเผยหน้ามุ่ยและแสร้งทำเป็นโกรธ “พวกเขาจ่ายแค่สามร้อยเพื่อขอข้อมูลของฉัน ทั้งที่จริงมันควรจะต้องให้อย่างน้อยสองแสนหยวนด้วยซ้ำ ไม่คิดเลยว่านายจะกล้าหยิบเงินสามร้อยหยวนจากพวกนักข่าวมา…”
“เงียบก่อน” เสี่ยวเฉิงบอกให้เธอเงียบและพยายามตั้งใจฟังเสียงที่อยู่ชั้นล่าง
แน่นอนว่าเสี่ยวเฉิงได้ยินเสียงดังมาจากชั้นหนึ่ง ทีมจัดการทรัพย์สินอาจจะส่งหน่วยรักษาความปลอดภัยมาเพื่อจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย แต่พวกเขาเองก็คงไม่สามารถไล่พวกนักข่าวและแฟนคลับออกไปได้ ทุกคนดูจะตื่นเต้นและไม่ฟังใครเลยด้วยซ้ำ หากฟังจากเสียงที่ดังมาจากด้านล่างแล้ว เสี่ยวเฉิงก็สามารถบอกได้เลยว่าต้องมีคนอย่างน้อยสามสิบหรือสี่สิบคนแน่
อันที่จริง นี่ก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น
ทว่า ถ้าลงไปถึงชั้นหนึ่ง พวกเขาก็ต้องถูกจับได้แน่
ทันใดนั้นเอง เสี่ยวเฉิงก็รีบกดปุ่มหยุดลิฟต์ไว้ที่ชั้นสองพร้อมคว้ามือของหลินจื้อซือและรีบเดินออกมา
“นายกำลังทำบ้าอะไรกัน? ทำไมไม่ลงไปชั้นหนึ่งเลยล่ะ?” หลินจื้อซือเริ่มไม่เข้าใจสิ่งทีเขากำลังทำและรีบถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“พวกเราช้าไป พวกนักข่าวกับแฟนคลับล้อมที่นี่เอาไว้หมดแล้ว” เสี่ยวเฉิงพลันตอบกลับพร้อมจับมือและพาเธอเดินตรงไปยังบันได
แต่ทว่า เสี่ยวเฉิงก็เริ่มได้ยินเสียงอื่นดังมาจากบันได
“ชั้นล่างมีคนอยู่เยอะเกินไป อีกอย่าง มันคนบอกมาว่าต้องใช่หลินจื้อซือเแน่ ในสถานการณ์แบบนี้ เธอคงไม่ใช้ลิฟต์หรอก เราต้องเฝ้าที่บันไดไปก่อน” เสียงพวกนี้มาจากเด็กผู้หญิงทั้งสามคน แต่เสี่ยวเฉิงเองก็รู้ดีว่าคงไม่ได้มีแค่พวกเธอแน่ที่รออยู่ตรงบันได
ทันใดนั้น เสี่ยวเฉิงพลันหยุดเดินและหันหลังกลับมาพูดกับหลินจื้อซือ “ส่งโทรศัพท์ของเธอมาหน่อย”