ราชันย์หน่วยรบมังกร - ตอนที่ 31.1
ตอนที่ 31: ความเป็นมาของแก๊งสี่จตุรเทพ
ทันทีที่มาถึงสถานีตำรวจ เสี่ยวเฉิงก็พลันตระหนักได้ทันทีว่าทำไมผู้กองถึงอยากให้เขาเปลี่ยนพื้นที่ลาดตระเวน และในตอนนี้ ดูเหมือนว่าพวกวัยรุ่นจอมอันธพาลรวมถึงนายน้อยหยุนที่ถูกขังอยู่จะได้รับการประกันตัวจากพ่อแม่ของพวกเขาแล้ว
ถึงกระนั้น ผู้บริหารระดับสูงเองก็อาจจะคิดว่าเด็กวัยรุ่นหัวรั้นพวกนี้ได้ถูกกุมขังมาเป็นเวลาสามวันแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็คงจะได้เรียนรู้บทเรียนอะไรกลับไปบ้าง อีกทั้ง มันคงถึงเวลาที่จะต้องปล่อยตัวพวกเขาออกไป
ทันทีที่เสี่ยวเฉิงเดินเข้ามายังสถานีตำรวจ ทนายความกลุ่มเดิมก็กำลังลงนามและเซ็นเอกสารประกันตัวลูกความของตนอยู่
ทั้งนายน้อยหยุนและพรรคพวกที่เดินออกมาจากกรงเหล็กต่างพลันยืดเส้นยืดสาย แต่ทว่า ทันทีที่พวกเขาเห็นเสี่ยวเฉิง ทั้งสิบสองคนก็รีบเดินเข้ามาขวางทางเพื่อไม่ให้เขาเดินไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที
ทันใดนั้น เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการคนหนึ่งก็พลันตะโกนขึ้น “พวกนายคิดจะทำอะไรกัน?”
แน่นอน พวกเด็กวัยรุ่นหัวรั้นทั้งสิบสองคนพยายามที่จะหาเรื่องเสี่ยวเฉิงตอนกลางวันแสกๆ กลางสถานีตำรวจ แต่ทว่า ไม่ว่าพวกเขาอยากจะแก้แค้นเสี่ยวเฉิงมากขนาดไหน ทุกคนก็ทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้ และด้วยเหตุนั้น นายน้อยหยุนจึงกดเสียงเข้มต่ำและจ้องมองไปยังเสี่ยวเฉิง “ฉันหวังว่าแกยังคงมีความกล้าที่จะลาดตระเวนช่วงกะกลางคืนอยู่นะ…”
ถึงกระนั้น เสี่ยวเฉิงเองก็ไม่ได้สนใจในคำพูดของนายน้อยหยุนเลยแม้แต่น้อย “ฉันเองก็หวังว่านายจะแก้สันดานของตัวเองได้เหมือนกัน เพราะถ้ายังมีครั้งต่อไป พวกนายไม่ได้นอนคุกแค่สามวันแบบนี้อีกแน่”
ทันใดนั้น เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งในกลุ่มก็พลันตะโกนขึ้นมา “แกนั้นแหละ! อย่าออกไปเพ่นพ่านข้างนอกเลยจะดีกว่า! ตอนนี้พวกเราถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว คอยดูก็แล้วกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น!”
แต่ทว่า นายน้อยหยุนก็พลันคิดว่าคำขู่แค่นั้นคงไม่พอที่จะทำให้เสี่ยวเฉิงกลัวจนหัวหด เขาจึงตะโกนแทรกขึ้นมา “ได้ยินมาว่าแกจะย้ายไปลาดตระเวนที่เขตตะวันตกแทนใช่ไหม? แบบนั้นก็ดีเลย ระวังไปเจอกันที่นั่นก็แล้วกัน!”
“อ่า พูดเสร็จยัง?” เสี่ยวเฉิงพลันมองไปยังกลุ่มวัยรุ่นและหันหน้าไปยังกลุ่มทนายความ “ดูแลลูกความของพวกนายหน่อยนะ ถ้าพวกเขายังเอาแต่ขู่เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่แบบนี้ ก็อาจจะได้นอนคุกต่อ”
ทนายทั้งสิบสองเผยท่าทีสุดกระอักกระอ่วน จากนั้นไม่นาน พวกเขาก็หันไปมองที่ลูกความของตัวเองทันที
ทว่า ทั้งนายน้อยหยุนและพรรคพวกก็ต่างเผยเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นสถานี หลังจากนั้น พวกเขาทั้งสิบสองก็เดินออกไปจากสถานีพร้อมขึ้นรถสปอร์ตของตนและขับออกไป
ทันทีที่พวกเขาจากไปแล้ว เสี่ยวเฉิงก็เดินเข้าไปยังห้องทำงานของผู้กอง ทันทีที่เห็นเสี่ยวเฉิงเดินเข้ามา ผู้กองก็รีบลุกขึ้นและเดินมาตบไหล่ “เรารู้ว่าเด็กพวกนั้นจะต้องหาทางแก้แค้นนายไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่ เราเองก็กังวลว่าเรื่องนี้จะทำให้นายรู้สึกกดดันมากไป เพราะแบบนั้น เราเลยปล่อยพวกเขาไป ยังไงเสีย เด็กพวกนั้นก็ถูกคุมตัวไว้ตั้งสามวันแล้ว ฉันว่ามันก็น่าจะเพียงพอแล้วแหละสำหรับครั้งแรก อีกอย่าง การที่เราให้นายย้ายไปลาดตระเวนที่เขตตะวันตกไม่ใช่เพราะนายทำหน้าที่ได้ไม่ดีนะ แต่เป็นเพราะเรากังวลเรื่องที่จะเกิดขึ้นกับนายมากกว่า ยังไงก็เถอะ อย่าคิดมากล่ะ”
“ผมเข้าใจเรื่องนั้นดีครับ แต่ว่าทำไมเราต้องไปกลัวเด็กเวรพวกนั้นด้วยล่ะ?” เสี่ยวเฉิงถามขึ้น
ผู้กองพลันถอนหายใจ “คนพวกนี้ไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย แต่พวกแก๊งสี่จตุรเทพนี่สิที่น่ากลัว เราไม่ได้กลัวพวกอาชญากรรายใหญ่ แต่เราแค่ไม่อยากให้คนที่ไม่มีอำนาจอะไรเข้าไปยุ่งด้วย นายไม่อาจรู้ถึงปัญหาที่คนพวกนั้นจะนำมาให้ได้… อีกอย่าง เด็กพวกนั้นก็ไม่ได้ก่อเรื่องที่ร้ายแรงจนเกินไป เพราะแบบนั้น เราจึงคุมตัวพวกเขาไว้เพียงไม่กี่วันเพื่อสั่งสอนแล้วก็ปล่อยตัวไป แต่นายรู้ไหมล่ะว่าหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น? พวกเขาจะจับตาดูนาย ครอบครัวนาย รวมถึงคนที่นายรักในทุก ๆ วัน ทุกอย่างที่นายทำต้องส่งผลกระทบต่อชีวิตตัวเองแน่ ไหนจะพวกแก๊งสี่จตุรเทพอีก พวกเขาอิทธิพลมากเลยล่ะ ยังไงก็เถอะ ภายใต้สถานการณ์ปกติ เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนเช่นเรายังไม่กล้าที่จะไปแตะต้องพวกเขาเลย นายเข้าใจใช่ไหม? สำหรับปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น… พวกกรมตำรวจปราบปรามอาชญากรรมจะเป็นคนจัดการเอง ส่วนเจ้าหน้าที่อย่างเราก็ต้องคอยดูแลความปลอดภัยและชีวิตประจำวันของประชาชน ก็แค่นั้นแหละ หน้าที่ของเราไม่เหมือนกับพวกเขา”
เสี่ยวเฉิงพลันนั่งลงบนโซฟาและถามขึ้นด้วยความสงสัย “แล้วพวกแก๊งสี่จตุรเทพนี่น่ากลัวจริงหรือเปล่าครับ? ทำไมถึงไม่มีใครกล้าแตะต้องหรือกำจัดคนพวกนั้นทิ้งไปเสียล่ะ?”
“คำถามแบบนั้นแสดงให้เห็นว่านายกำลังประเมินพวกแก๊งสี่จตุรเทพต่ำไป…” ผู้กองเผยยิ้มอย่างขมขื่น “พวกเขามีอำนาจมากเลยล่ะ ทุกที่ที่พวกนั้นไปมีแต่ความโหดร้ายและทารุณ แถมแก๊งมังกรฟ้ายังคุมท่าเรือขนส่งสินค้าเอาไว้อีกด้วย อันที่จริง พวกเขายึดท่าเรือขนส่งสินค้าไปก็เพื่อที่จะเปลี่ยนให้เป็นธุรกิจการค้าและการต่อรองที่ชอบด้วยกฎหมาย ถ้าพวกเขาถูกกำจัด แล้วพื้นที่ท่าเรือขนาดใหญ่ไม่มีคนมารับช่วงต่อได้ทัน ทั้งอุตสาหกรรมขนส่งทางการค้าระหว่างประเทศทั้งหมดของเมืองซ่างเฉิงก็จะต้องเผชิญกับปัญหาความซบเซาครั้งใหญ่เป็นแน่ มันจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากเลยล่ะ”