ราชันย์หน่วยรบมังกร - ตอนที่ 63.2
ทันใดนั้น อู๋ห่าวก็พลันพูดขึ้น “ระดับความแข็งแกร่งอย่างน้อยที่สุดของผู้นำจากแก๊งเต่าดำก็น่าจะ B หรือไม่ก็ B+ แถมตอนนี้ความแข็งแกร่งของเราสองก็อยู่ในระดับ C+ ด้วย พูดตามตรงเลยนะ ถ้านายชนะพวกเราไม่ได้ ฉันนี่แหละจะหักกระดูกนายแล้วก็โทรเรียกรถพยาบาลมาเอง เพราะถ้าทำแบบนั้น นายจะได้ไม่ต้องไปขายหน้าให้กับพวกตำรวจในอีกสองวันข้างหน้าว่าตัวเองถูกผู้นำของแก๊งเต่าดำฆ่าตายยังไงล่ะ!”
“ก็ได้ ร้อยเอกทั้งสองคน… พวกคุณก็รู้แล้วสินะว่าเขากำลังจะเป็นตัวแทนของตำรวจทุกคนเพื่อไปต่อสู้กับพวกแก๊งเต่าดำ งั้นก็ช่วยเขาหน่อยก็แล้วกัน” หวังหยิงพลันพูดแทนเสี่ยวเฉิง
ร้อยเอกทั้งสองพลันมองหน้ากัน อู๋ห่าวพลันกล่าวคำพูดขึ้นพร้อมมองไปยังเสี่ยวเฉิง “ไอ้เด็กน้อย เมื่อครู่ฉันได้ยินชิเหวินปินพูดประมาณว่านายสามารถล้มวัวได้ด้วยหมัดเดียวด้วยล่ะ… อันที่จริง ฉันไม่เชื่อหรอกนะ ยังไงก็เถอะ อยากจะดวลกับพวกเราหน่อยไหมล่ะ? แต่ก่อนอื่น นายจะต้องแสดงให้พวกเราทั้งคู่เห็นก่อนว่าตัวเองมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะล้มหัวหน้าแก๊งเต่าดำได้”
ทันใดนั้น เสี่ยวเฉิงก็พลันถามขึ้น “งั้นพวกคุณอยากให้ผมพิสูจน์ยังไงล่ะ?”
“ง่ายมาก ต่อยมาที่ตรงนี้เลย ที่หน้าท้องของฉัน โชว์ของกันหน่อย!” อู๋ห่าวกล่าว
ทันทีที่พูดจบ อู๋ห่าวก็พลันยกเสื้อกล้ามขึ้นจนเผยให้เห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องสุดแน่น
ไม่ใช่แค่เสี่ยวเฉิงเท่านั้น แต่หวังหยิงเองก็พลันรู้สึกลังเล
“อย่าเลยดีกว่า ผมกลัวว่าตัวเองจะคุมความแข็งแกร่งไม่อยู่แล้วทำร้ายคุณเข้า” เสี่ยวเฉิงปฏิเสธอย่างสุภาพ
“ใช่ หมัดของเขารุนแรงมากเลยนะ” หวังหยิงพลันพูดแทรกขึ้น “มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ถ้ามีใครได้รับบาดเจ็บ”
“อันที่จริง ผมกลัวว่ามันอาจจะฆ่าคุณได้เลยต่างหากล่ะ” เสี่ยวเฉิงกล่าวเสริม
อู๋ห่าวพลันจ้องเขม็งและตะโกนออกมาทันใด “ไร้สาระน่า! นายรู้ไหมว่าฉันเคยเป็นแชมป์การแข่งขันต่อสู้ทางทหารแห่งชาติมากี่ครั้งแล้ว?! อยากจะไปดูถ้วยรางวัลในห้องฉันด้วยไหมล่ะ?! หรือจะต้องให้ฉันพาไปที่หอเกียรติยศ? ประสบการณ์การต่อสู้ตลอดหลายปีของฉันถูกมัดรวมเอาไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคาราเต้หรือเทควันโด ข้างนอกยังมีคนอีกมากที่มีพละกำลังมากกว่านาย ฉันเคยเห็นมานับไม่ถ้วนแล้ว! แต่ตอนนี้นายกลับกลัวว่าหมัดของตัวเองจะฆ่าฉันเนี่ยนะ? ฮึ! ถึงแม้ว่าจะต้องเจ็บปวด แต่ก็ทำให้ฉันสัมผัสได้ถึงความสามารถที่แท้จริงของนายหน่อยเถอะ!”
ทั้งนี้ หยานเหว่ยก็ยังคงรู้สึกว่าเสี่ยวเฉิงขี้โม้และโอหังไม่หยุด ไม่นานนัก เขาก็พลันกล่าวคำพูดออกมา “ต้นตระกูลของอู๋ห่าวเป็นถึงนักศิลปะการต่อสู้เชียวนะ เขาฝึกฝนตัวเองมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยก ฉันเคยได้ยินเขาบอกมาว่าตัวเองมีพลังลมปราณ หรือเราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพลังชีวิตอยู่ในร่างกายด้วยล่ะ ยังไงก็เถอะ ภายใต้สถานการณ์ปกติแบบนี้ ไม่มีอะไรสามารถทำร้ายเขาได้หรอก… ถึงอู๋ห่าวจะดูไม่ได้แข็งแรงมากนัก แต่ทั้งการชกและลูกเตะจากพลังลมปราณของเขาก็รุนแรงมากเลยล่ะ”
อู๋ห่าวค่อนข้างภูมิใจกับสิ่งที่หยานเหว่ยเพิ่งพูดออกไป ในตอนนี้ อู๋ห่าวเผยสีหน้าออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่าตัวเองนั้นไม่ได้สนใจคำพูดของเสี่ยวเฉิงหรือหวังหยิงเลยแม้แต่น้อย
ทั้งนี้ หวังหยิงเองก็ยังคงกังวลว่าร้อยเอกทั้งสองอาจจะได้รับบาดเจ็บ นั่นเป็นเพราะเธอเคยเห็นความแข็งแกร่งของเสี่ยวเฉิงด้วยตาตัวเองมาแล้ว ถึงอย่างไร ตัวเลขที่แสดงอยู่บนเครื่องชกนั้นก็ไม่ได้โกหกแน่…
“ก็ได้ ยังไงฉันก็เคยเห็นวิดีโอการต่อสู้ของคุณมาแล้ว บางทีพวกคุณทั้งสองคงจะรู้ว่าตัวเองอยู่ในระดับไหน ยังไงเสีย ความแข็งแกร่งของเสี่ยวเฉิงก็เกินกว่าพวกคุณทั้งคู่จะนึกฝันได้ ฉันว่าไม่ต้องมาเอาแต่เปรียบเทียบความแข็งแกร่งกันแล้วแหละ งั้นมาเริ่มดวลกันเลยดีกว่า”
“ถ้าไม่ยอมซัดหมัดมา ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะว่าหมอนี่อยู่ในระดับไหน? อันที่จริง ฉันก็แค่ขี้เกียจไปเปลี่ยนเสื้อแล้วก็อุ่นเครื่องรอน่ะ แต่ถ้าหมอนี่แสดงให้เราทั้งคู่เห็นว่าหมัดของเขาคู่ควร เราสองก็จะยอมสู้ด้วย พวกเราเองก็มีหน้าที่การงานต้องทำเหมือนกันนะ อย่าลืมสิ… แต่ถ้าเขามีแค่หมัดปวกเปียก เราก็ขอไปกลับไปทำงานเสียยังจะดีกว่า” หยานเหว่ยกล่าว
“ถ้าอย่างนั้น… มาลองซัดหมัดกันหน่อยไหมล่ะ?” เสี่ยวเฉิงพลันลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวคำพูดออกมา ท้ายที่สุดแล้ว เขาเองก็ยังคงรู้สึกสงสัยว่าหมัดของตัวเองนั้นจะทำอะไรปรมาจารย์พลังลมปราณภายในอย่างอู๋ห่าวตามที่เขากล่าวอ้างได้ไหม…
ทันใดนั้น อู๋ห่าวก็พลันตบหน้าท้องของตัวเองและกลั้นลมหายใจพร้อมกับล็อคพลังลมปราณเอาไว้ภายในเส้นเลือดและศูนย์กลางของพลังงานชีวิต ไม่ช้า เขาก็พลันกล่าวคำพูดออกมา “แน่จริงก็เข้ามาเลย!”