ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 119
บทที่ 119
คืนนั้นถังหยินไปที่โรงน้ำชาอีกครั้ง พร้อมกับพาพี่น้องฉางกวงไปด้วย
มีลูกค้าไม่มากในโรงน้ำชานี้ ดังนั้นถังหยินจึงนั่งกลมกลืนไปกับทุกคนแล้วสั่งชามาจิบพร้อมกับดูการแสดงไปด้วย ส่วนสองพี่น้องเองก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เอาแต่หันมองลูกค้าคนอื่นในร้าน
ละครวันนี้เหมือนกับเมื่อ 2 วันก่อนไม่เปลี่ยน เมื่อดูได้สักพักถังหยินก็เริ่มเบื่อและเตรียมกลับบ้าน หากแต่ในจังหวะนั้น หยวนอู่ก็ได้หันมากระซิบบอกเขาว่า “นายท่าน มีผู้ฝึกยุทธ์ในร้านนี้”
ชายหนุ่มที่กำลังจะกลับบ้าน เมื่อได้ยินแบบนี้ก็กลับมานั่งทันที การที่จอมยุทธ์มาปรากฏตัวที่นี่ย่อมเป็นเรื่องที่แปลก “มีกี่คนและเก่งแค่ไหน ?”
พี่น้องฉางกวงเป็นผู้ฝึกยุทธ์แห่งแสง ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถที่จะมองทะลุผู้ฝึกตนต่าง ๆ ได้ ทำให้พวกเขาแยกแยะระหว่างคนธรรมดากับผู้มีพลังได้อย่างง่ายดาย
ในสายตาของคนภายนอก พวกเขาคือคนคุ้มกันถังหยินที่สามารถสอดส่องมองทุกคนได้ทะลุปรุโปร่ง
“มีประมาณ 5 คน ทั้งยังอยู่ในระดับเกินกว่าปราณสู่พิสดารทุกคนด้วย”
ถังหยินสูดหายใจ นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากมากที่จะมีคนไปไกลกว่าระดับนั้นได้ แถมยังโผล่ออกมาพร้อมกัน 5 คนแบบนี้อีก “เป้าหมายของพวกมันคือข้าหรือเปล่า ?”
หยวนอู่ส่ายหัว “บอกไม่ได้ในตอนนี้”
“พวกมันอยู่ไหน ?”
หยวนอู่นั่งหลังตรงแล้วชี้นิ้วจากใต้โต๊ะ “คนที่ใส่ชุดเขียวทางซ้ายมือ กับ ชายที่ดื่มชาใส่หมวกไผ่ แล้วก็มีอีก 3 คนที่นั่งอยู่โต๊ะสอง”
ถังหยินมองตามเรียงคนเพื่อมองสภาพพวกเขาที่ไม่ต่างจากคนธรรมดาสักเท่าไหร่ ชายหนุ่มนั้นไม่สามารถจับจิตสังหารจากตัวคนพวกนั้นได้เลย ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าทั้งห้าไม่ได้มาเอาชีวิตตนแน่นอน
หรือว่าจะมาเพื่อดูการแสดงกัน ? ถังหยินหัวเราะเบาๆ “มีแค่ 5 คนหรือ ?”
“มีแค่นั้น กับคนติดตามของฟานหมิน”
ตระกูลฟานนั้นร่ำรวยมากจึงมีผู้คุ้มกันเป็นเรื่องปกติ
หลังจากจัดการชาในหม้อจนหมดก็ยังไม่ไปไหน เพราะเขาเห็นว่าทั้ง 5 คนยังไม่คิดจะกลับออกไป ดังนั้นถังหยินจึงสั่งชาเพิ่ม
ระหว่างที่เขากำลังรออยู่ เขาก็ได้กลิ่นที่แสนคุ้นเคยพร้อมกับจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากที่ไหนสักแห่งในโรงน้ำชานี้
เขาตะลึง รีบเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนที่จะเห็นเข้ากับฟานหมินที่เอาชามาให้
คนทั้ง 5 นั่นมองหญิงสาวที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ถังหยินอย่างไม่วางตา
ในที่สุดถังหยินก็รู้แล้วว่าพวกเขามาเพื่อเอาชีวิตใคร ที่แท้ก็เป็นฟานหมินนี่เอง !
มันไม่ใช่เรื่องแปลกอยู่แล้วที่จะมีคนคิดร้ายกับคนใหญ่คนโต แต่เมื่อคิดดูแล้วถังหยินก็อยากจะรู้จริงว่าแม่นางคนนี้จะจัดการกับปัญหาที่ว่าอย่างไร
ฟานหมินไม่คิดว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย และไม่รู้ว่าถังหยินคิดอะไรอยู่ ทว่าเมื่อเห็นเขายิ้มออกมา นางก็พลันหน้าแดงแล้วเดินเข้ามาวางถ้วยชา “นายท่าน ท่านว่างหรือถึงได้มาจิบชาในค่ำคืนนี้ได้ ?”
นางอยากจะถามมานานแล้ว และในวันนี้ก็นับเป็นโอกาสอันดี
“รบกวนท่านแล้ว ที่ต้องมาเสิร์ฟชาให้ถึงที่นี่ ข้าสิถึงต้องขอโทษด้วย” ระหว่างที่พูดเขาก็มองไปยังฟานหมิน และเมื่อเห็นว่านางไม่ได้รู้สึกถึงภัยเลย จึงได้แต่ยิ้มออกมา
เขาไม่ชอบขี้หน้านางอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเลือกที่จะนั่งรอดูอะไรสนุก ๆ ดีกว่า
โดยไม่รีรอ ฟานหมินก็นั่งลง “นายท่านคิดว่าโรงน้ำชาของข้าเป็นเช่นไรบ้าง ?”
“เยี่ยมทีเดียว”
หญิงสาวยิ้มออกมา “จริง ๆ แล้วตอนนี้ข้ามีแผนจะเปิดร้านอาหารที่นี่ 2 ร้านและโรงเตี๊ยมอีก 3 ร้าน ซึ่งข้าก็ได้ซื้อที่ดินเอาไว้แล้วเหลือแค่เพียงตกแต่งเท่านั้น”
ชายหนุ่มหัวเราะออกมา ยังไงเสียคนรวยก็รวยล้นฟ้าอยู่แล้ว การที่พวกเขาสามารถทำอะไรแบบนี้ได้จึงเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก
ฟานหมินพูดอย่างมั่นใจ “นอกจากนี้ข้าเองก็คิดว่าจะเปิดโรงจำนำ โรงทอผ้าด้านนอกเมือง กับร้านค้าอื่น ๆ ซึ่งถ้าเกิดว่ามันไปได้สวยละก็ ข้าเองก็คิดว่าจะเปิดร้านเครื่องประดับด้วย นายท่านคิดว่าไงบ้าง ? ด้วยการสนับสนุนของข้า จะทำให้เมืองเฮิงรวมไปถึงทั้งเขตปิงหยวนพุ่งทะยานอย่างแน่นอน !”
ถังหยินพยักหน้าพร้อมตอบคำ “แน่นอน” ถึงเขาไม่อยากจะยอมรับ แต่สิ่งที่นางทำนั้นมันก็นำพามาซึ่งความเจริญจริง ๆ แต่ก็ต้องบอกเลยว่า ลักษณะการพูดการจาของนางทำให้คนอื่นรู้สึกไม่พอใจแบบแปลก ๆ
ชาเองก็อร่อยดี เสียแต่เพียงว่าคนที่มานั่งด้วยไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ถังหยินเริ่มเบื่อแล้ว และตอนนี้มันก็ใกล้เวลาที่โรงน้ำชาจะปิดแล้วด้วย ดังนั้นถังหยินจึงหยิบเหรียญทองแดงออกมาวางไว้บนโต๊ะ “นี่ก็ดึกแล้ว ข้าขอลา”
“ท่านไม่อยู่นานกว่านี้หน่อยหรือ ?” ฟานหมินพยายามเชื้อเชิญ
“ไม่ได้หรอก” ทีแรกเขาก็คิดจะอยู่ที่นี่นานกว่านี้ แต่พอเจอนางพูดจาแบบนี้เข้าไป เป็นใคร ใครก็หนีกันทั้งนั้น “แม่หญิงฟานหมิน ข้าขอเตือนท่านเอาไว้อย่างหนึ่ง เงินทองเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็จงระวังภัยที่จะเข้ามาหาตัวท่านด้วย”
พูดจบถังหยินก็เดินกลับออกไป
ระหว่างทางกลับหยวนอู่ก็ได้ถามออกมา “นายท่านไม่คิดจะอยู่รอดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นหน่อยหรือ ?”
“ข้าว่าฟานหมินผู้ชาญฉลาดจะต้องเอาตัวรอดเองได้แน่นอน” ถังหยินยักไหล่
“แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นล่ะนายท่าน ?”
“ช่างนางสิ”
“แต่ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าตระกูลฟานสำคัญต่อเรามาก ? อีกทั้งตอนนี้เมืองเราก็ต้องพึ่งพาร้านค้าของพวกเขา ถ้าเกิดเรื่องกับนาง ข้าเกรงว่าจะเป็นการเสียผลประโยชน์”
ถังหยินมองหยวนอู่แล้วถาม “ทำไมเจ้าพูดมากจังวันนี้ ?”
หยวนอู่ก้มหัวแล้วพูดเบาๆ “ข้าน้อยแค่ต้องการพูดให้ตรงประเด็น”
ชายหนุ่มเมินเขาแล้วเดินต่อไป จากนั้นก็หยุดแล้วหันกลับมา
หยวนอู่คิดว่าอีกฝ่ายคงจะมาบ่นที่เขาพูดมากเกินไป ดังนั้นจึงรีบพูดออกมาว่า “ข้าพูดมากเกินไป ข้าน้อยผิดไปแล้ว ได้โปรดให้อภัยข้าด้วย”
ถังหยินโบกมือแล้วก้มหัวลง “สิ่งที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล”
ถ้าฟานหมินมีปัญหาในเขตที่เขาดูแล กิจการของตระกูลพวกเขาก็จะต้องหยุดลงทันทีแน่ บางทีอาจจะยกออกไปทั้งหมดเลยก็เป็นได้ จนกลายเป็นผลเสียต่อเขตปิงหยวน
ต่อให้ชายหนุ่มจะเกลียดฟานหมินมากแค่ไหน แต่ตัวตนของนางก็ยังเป็นที่สำคัญอยู่ ถึงจะทำให้เขาปวดหัวไปบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าถ้าจะเก็บนางไว้ “ไปกันเถอะ”
“ไปไหนหรือ ?”
“ไปโรงน้ำชาไง !” ถังหยินแค่นเสียงแล้วเดินกลับไป
สองพี่น้องมองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมา
เมื่อพวกเขาไปถึงร้านก็ปิดแล้ว พวกเสี่ยวเอ้อเองก็กำลังไล่ลูกค้าที่ยังนั่งอยู่ให้ออกไป
ดังนั้นพวกเขาจึงรออยู่ข้างนอกตรงข้ามกับร้าน
หลาย ๆ คนเริ่มที่จะลุกออกไปแล้ว จะมีก็แต่เพียง 5 คนนั่นเท่านั้นที่ยังนั่งอยู่ไม่ไปไหน
ด้วยเวลาหลังปิดร้านเช่นนี้ จึงทำให้พวกเสี่ยวเอ้อทั้งหลายง่วนอยู่กับการเก็บร้านและขัดโต๊ะ
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเหลือแล้ว เสี่ยวเอ้อชราก็เดินเข้าไปหาพวกเขาด้วยรอยยิ้ม “ท่านลูกค้าขอรับ ร้านปิดแล้วขอรับ”
ทั้งห้าทำเป็นไม่ได้ยินและนั่งอยู่แบบนั้น ไม่แม้แต่จะขยับลูกตา
เมื่อเห็นแบบนั้น เสี่ยวเอ้อผู้นั้นก็พลันเร่งเสียงและพูดซ้ำอีกครั้ง …ทว่าอีกฝ่ายก็ยังไม่ขยับร่างอยู่ดี
เมื่อเห็นว่าลูกค้ากำลังทำตัวงี่เง่า เสี่ยวเอ้อก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว ดังนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคือง “ท่านลูกค้าหูหนวกหรือ ? ได้ยินข้าหรือเปล่า ?”
ไม่มีใครตอบเขาเลย ไม่แม้แต่จะมองด้วยซ้ำ
เสี่ยวเอ้อเริ่มกำหมัด เขายื่นมือไปจับไหล่อีกฝ่ายไว้ “เจ้าจะแกล้งทำเป็นหูหนวกไปเพื่ออะไรกัน ?”
ทันทีที่มือของเขาแตะอีกฝ่าย ร่างของเสี่ยวเอ้อผู้นั้นก็พลันถูกช็อตอย่างรุนแรง จากนั้นมือของ 1 ใน 5 คนนั้นก็ได้กระแทกเข้าใส่ร่างของเสี่ยวเอ้อโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว ส่งร่างของเสี่ยวเอ้อชรากระเด็นลอยออกไป