ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 121
ปลายนิ้วของเขาตัดผ่านเกราะเข้าไปในร่างของเป้าหมาย
นักฆ่าผู้นั้นพลันกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ด้วยเพราะกระดูกสันหลังของตนถูกจับเอาไว้ด้วยมือของถังหยิน ก่อนที่มันจะถูกหักออกไป
กระดูกสันหลังนั้นเปรียบเสมือนหอสั่งการของมนุษย์ และเมื่อมันพังไปก็เท่ากับว่าคนผู้นั้นได้ตายไปแล้ว ดวงตาของนักฆ่าผู้นั้นกะพริบถี่รัว เม็ดเหงื่อไหลท่วมตัว ปากไม่อาจพูดอะไรได้
ทันใดนั้นร่างของนักฆ่าก็ลุกติดด้วยไฟแห่งความมืด และโดนกลืนกินจนหายไป
“หา ?” นักฆ่าที่เหลือตะลึง ส่วนฟานหมินเองก็ตัวชาและสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม
ในเวลาเดียวกันนั้น ถังหยินก็ได้ดูดกลืนพลังปราณทั้งหมดเข้าไป
พลังของเขาเข้าใกล้ระดับปราณบรรพกาลแล้ว ดังนั้นเมื่อดูดกลืนมันเข้าไปในครั้งนี้ ชายหนุ่มก็พลันเข้าสู่จุดสูงสุดของระดับปราณพิสดารแล้วทะลุเข้าไปสู่อีกระดับหนึ่งที่เหนือกว่าทันที !
ทั้ง 2 ระดับที่กล่าวไปมีความแตกต่างกันมาก ในระดับสู่พิสดารก็อาจบอกได้ว่าเก่งกาจกว่าระดับอื่นแล้ว แต่ถ้าเป็นปราณบรรพกาลก็จะยิ่งเก่งกาจเข้าไปอีก
หลังจากกลืนกินพลังปราณเข้าไป ถังหยินก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างของโลกที่เขากำลังอยู่ในตอนนี้
เขาสามารถเห็นได้แม้กระทั่งแมลงวันที่อยู่ไกลออกไป แสดงให้เห็นว่าประสาทสัมผัสของตนนั้นถูกยกระดับขึ้นอีกขั้น เฉกเช่นเดียวกับจิตที่ว่องไวสอดคล้องไปกับกายเนื้อ
นี่หรือคือพลังระดับปราณบรรพกาล ? มันช่างเป็นความรู้สึกที่น่าหลงใหลยิ่งนัก ชายหนุ่มปลดหมวกตัวเองออก เงยหน้าขึ้น ก่อนจะสูดอากาศเข้าไปจนเต็มปอด
ไม่มีใครรู้ว่าถังหยินกำลังรู้สึกยังไงตอนนี้ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายเปิดช่องว่างขนาดนี้ นักฆ่าทั้ง 4 คนก็ไม่รอช้า ฉวยโอกาสเข้าโจมตีจากรอบทิศทางในทันที !
ชายหนุ่มราวกับไม่รู้เห็นอะไรทั้งนั้น จนกระทั่งคมดาบทั้ง 4 เล่มเสือกแทงเข้าไปอย่างแรง !
ฟานหมินกรีดร้องเสียงดัง รวมไปถึงพี่น้องฉางกวงเองก็ด้วย พวกเขาพยายามจะเข้าไปช่วย หากแต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว “นายท่านระวัง…”
ความเร็วของทั้งสี่เร็วมาก แต่ในสายตาถังหยินทุกอย่างกลับช้ายิ่งนัก
เขาลืมตาขึ้น มองดาบที่กำลังจะแทงเข้ามาในร่าง ก่อนพูดออกมาว่า “ช้าเหลือเกิน” และออกหมัด 4 ครั้งเข้าใส่ศัตรูทั้ง 4 คนเข้าที่หน้าอก ทำให้เกราะของพวกเขาแตกกระจาย ส่งร่างกระเด็นลอยไปติดกำแพง
สองพี่น้องฉางกวงตะลึงงัน พวกเขานั้นรู้ดีว่าถังหยินนั้นเก่งกาจก็จริง หากแต่พวกเขาก็ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะเก่งขนาดที่จะซัดผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพลังขนาดนี้ให้ลอยออกไปได้
ถังหยินเดินเข้าไปแบบสบาย ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงดาบที่ถูกขว้างไปก่อนหน้านี้กลับมา
ทันใดนั้นหนึ่งในนักฆ่าก็พลันพุ่งเข้ามาพร้อมด้วยดาบปราณที่ฟันในแนวกวาดและแนวตั้งพร้อมกับปลดปล่อยคลื่นพลังปราณเข้าใส่ถังหยิน
ชายหนุ่มที่เห็นภาพนี้ เขาก็ได้ใช้วิชาสับเปลี่ยนเงาเข้าไปอยู่ด้านหลังอีกฝ่าย ก่อนตวัดดาบฟันกวาดไป
เมื่อดาบฟันกวาดไป มันก็พลันเกิดเป็นไฟสีดำเผาผลาญร่างของเป้าหมายให้กลายเป็นจุล
ทิ้งให้ดาบเล่มเดิมของเจ้าของเก่าปักลงบนพื้น
เพียงชั่วพริบตา 2 ใน 5 ก็พลันถูกจัดการไปแล้วโดยถังหยิน ทำให้ทั้ง 3 คนที่เหลือหมดกำลังใจจะสู้ต่อ
พวกเขามองหน้ากันแล้ววิ่งหนีไปทันที หากแต่ถังหยินก็ไม่ปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ แน่ เพราะเมื่อลงมือแล้ว ก็ต้องทำให้จบ !
ชายหนุ่มตะโกนบอกสองพี่น้องฉางกวง “อย่าให้ใครหนีไปได้โดยเด็ดขาด” และเมื่อได้ยินคำนั้น พวกเขาก็พลันวิ่งพุ่งออกไปไล่ล่าในทันที !
ชายหนุ่มยกระดับพลังตัวเองได้สูงมากกว่าแต่ก่อนมาก ดังนั้นเขาจึงมีระดับความเร็วที่สูงกว่าเดิม เพียงพริบตาเดียวก็ทะยานเข้าไปถึงร่างของพวกนักฆ่านั้นแล้ว
ทันทีที่พวกเขาไปถึงประตู ถังหยินก็เข้ามาประชิด ก่อนใช้ดาบฟันเข้าใส่
พวกนักฆ่าไม่อาจหลบได้ พวกเขาพยายามเพิ่มความเร็วและกลิ้งหลบเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟัน
อย่างไรก็ตาม พวกเขานั้นประเมินถังหยินต่ำเกินไป จึงทำให้ดาบเล่มนั้นพุ่งเข้าใส่ทันทีโดยไม่อาจหลบเลี่ยง !
ร่างของพวกเขาสลายกลายเป็นฝุ่น ไม่มีแม้แต่ซากหรือแม้แต่หยดเลือดสักหยด ทิ้งไว้แต่เพียงเสื้อผ้าเท่านั้น
ถังหยินดูดกลืนพลังปราณทั้งหมดเข้าไป ก่อนหันกลับไปมองคนที่เหลืออีก 2 คนที่กำลังหนีการไล่ล่าของพวกฉางกวงอยู่ พวกเขาดูตื่นตระหนกและกำลังจะถูกจับตัวได้แล้ว
โดยไม่รีรอให้พวกเขาหนีไป พี่น้องฉางกวงก็ได้เอาดาบวางแนบบนลำคอของพวกเขา
การเคลื่อนไหวที่เหนือกว่า ทำให้ทั้งสองจับกุมนักฆ่าที่เหลือได้ พวกเขาทำการปลดเกราะทั้งสองออก แล้วบังคับให้ดื่มยาบางอย่างเข้าไป
มันคือยาสลายพลังปราณ หากคนธรรมดากินเข้าไปจะไม่มีผล แต่ถ้าหากเป็นผู้ฝึกยุทธ์กินเข้าไปล่ะก็ พลังปราณที่อยู่ภายในร่างก็จะถูกทำให้สลายไปและไม่สามารถรวบรวมใหม่ได้ในระยะเวลาหนึ่ง
หลังจากให้ยานี้ไป ทั้งสองก็เริ่มหมดแรง ไร้การขัดขืนอย่างสิ้นเชิง เช่นเดียวกับเกราะและดาบปราณที่สลายหายไป
สองพี่น้องฉางกวงใช้จังหวะนี้มัดพวกเขาเอาไว้ เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่หนีไปไหน “ก่อนหน้านี้นายท่านให้โอกาสพวกเจ้าหนีไปแล้วแท้ ๆ ทว่าพวกเจ้าเลือกที่จะไม่หนีเอง !”
สองนักฆ่าหลับตานิ่ง ไม่พูดอะไรทั้งนั้นจนกระทั่งถังหยินเดินเข้ามา
สองพี่น้องถาม “นายท่าน เราจะทำยังไงกับพวกมันต่อ ?”
ถังหยินปลดเกราะออกแล้วก้มมองทั้งสอง “พาพวกมันไปขังไว้แล้ว และเรียกหน่วยศรทมิฬให้มารีดเค้นข้อมูล ถามให้หมดว่าใครเป็นคนบงการและมาที่นี่ทำไม !” เขามั่นใจในความสามารถของกลุ่มศรทมิฬมาก ดังนั้นจึงเรียกใช้คนกลุ่มนั้นอีกครั้ง
“ขอรับ !”
ชายหนุ่มมองฟานหมินที่หลบอยู่ตรงหัวมุม ก่อนพูดว่า “ข้าบอกแล้วว่าท่านอาจจะมีปัญหาในภายหลังก็ได้ เหตุใดจึงไม่ระวังเล่า ?”
หญิงสาวตกตะลึงกับภาพตรงหน้าอยู่นาน ก่อนที่จะได้สติเมื่อได้ยินเสียงของเขา
นางรู้ดีว่าถังหยินนั้นเก่งกาจ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเก่งได้ขนาดนี้ เขาโหดร้ายและทารุณ แถมยังมีไฟสีดำที่แสนน่ากลัวนั่นอีก ! เพียงแค่ถูกมันเผาไหม้ ก็จะไม่หลงเหลือเศษซากใด ๆ อยู่อีก ! แค่คิดก็ทำให้ขนหัวลุกแล้ว
หลังจากนั้นสักพักใหญ่ ๆ ฟานหมินก็ได้หันมองตาถังหยิน “ข้า ข้าไม่รู้ว่าพวกมันเป็นใคร…”
ถังหยินยักไหล่ให้ “ข้าว่าวันนี้ท่านโชคดีมากเลยนะที่เจอข้า ไม่งั้นท่านอาจจะตายไปแล้วก็ได้”
ฟานหมินรู้ดีว่าตัวเองนั้นปลอดภัยแล้ว ทว่านางก็ยังอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทา เพราะสิ่งที่ชายหนุ่มนั้นพูดถูกทั้งหมด ถ้าหากว่าเขามาไม่ทันล่ะก็ ป่านนี้นางคงตายไปแล้ว !
หญิงสาวกลืนน้ำลายแล้วถาม “ท่านคิดว่าพวกมันจะมาอีกไหม ?”
ชายหนุ่มหัวเราะ “ข้าไม่ใช่เทพเซียนนะ จะไปรู้ได้ยังไงกัน ? แต่ทว่ามันคงไม่มาอีกแล้วในวันนี้แน่นอน ดังนั้นข้าจะขอนำตัว 2 คนนี้ไปก่อน ไว้ข้าได้ข้อมูลแล้วจะนำมาแจ้งให้ท่านทราบ”
เดี๋ยวก่อน นี่พวกเขาคิดจะไปตอนนี้เลยงั้นหรือ ? ฟานหมินตะลึง