ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 132
บทที่ 132
ร้านอาหารแห่งนี้ไม่ได้มีดีเพียงแค่ขนาดที่ใหญ่เท่านั้น หากแต่ความสามารถของพ่อครัวที่นี่เองก็ถือได้ว่ายอดเยี่ยม จนได้รับการชื่นชมระดับทองคำจากตระกูลฟานเลยทีเดียว
ทุกครั้งที่พวกเขามาที่นี่ ชิวเจิ้นเองก็รู้สึกสบายใจ
หยวนเปียวพูดเล่น ๆ ออกมา “พวกเราสู้ในสนามรบแทบตาย แต่เงินเดือนยังไม่เท่าพ่อครัวที่นี่เดือนเดียวเลยด้วยซ้ำ ฮ่าฮ่าฮ่า”
ถังหยินยิ้มออกมา ในทุก ๆ วันความสัมพันธ์ของเขาและฟานหมินก็ดูจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หากแต่เขานั้นก็ไม่เคยคิดจะถามเรื่องกิจการครอบครัวของนางเลย
หยวนอู่กลอกตา “ถ้างั้นเจ้าก็ออกจากกองทัพแล้วไปทำธุรกิจเองเสียสิ”
“เรื่องอะไรข้าจะทำแบบนั้นล่ะ ข้าชอบสู้กับคนอื่นมากกว่า ฮ่าฮ่า”
ทั้งสองพี่น้องฝาแฝดหน้าตาเหมือนกันก็จริง แต่นิสัยต่างกันมาก
ไม่นานนัก เสี่ยวเอ้อก็ได้เอาจอกเหล้ามาให้พวกเขาพร้อมกับจานอาหารที่ทำจากหมูป่า ไก่ฟ้า กระต่ายป่า และอื่น ๆ ที่พวกเขาล่ามาได้ ซึ่งเมื่อพวกมันผ่านการปรุงจากฝีมือของพ่อครัวที่นี่ มันก็ดูน่ากินมากทีเดียว
ทุกคนจัดการอาหารบนโต๊ะ และพากันพูดคุยถึงเรื่องที่ได้ทำกันมาในช่วงเช้า รวมไปถึงหารือเรื่องอื่นทั้งในและนอกแคว้นของพวกเขา
ถังหยินไม่ได้พูดอะไรมาก เขาอยากจะฟังความเห็นทุกคนมากกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องราวในจักรวรรดิเฮาเทียน
เมื่อหัวข้อสนทนามาถึงแคว้นหนิง ทุกคนก็มีความเห็นเดียวกัน นั่นก็คือพวกเขาคิดว่าการสงบศึกครั้งนี้ มันก็แค่การซื้อเวลาเอาไว้ให้พวกหนิงคิดการใหญ่กว่านั้น ทว่าชิวเจิ้นนั้นมีความคิดที่ต่างออกไป เขาคิดว่าพวกโมนั้นร้ายกาจใช่ย่อย ดังนั้นแล้วถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันอย่างพวกหนิงบุกมาจริง ๆ คนพวกนั้นก็อาจจะได้เจอเข้ากับการตลบหลังจากพวกโมก็เป็นได้
หัวข้อเหล่านี้พวกเขาทำได้แค่เพียงพูดคุยเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปเปลี่ยนแปลงอะไรเกี่ยวกับมันได้
ทันใดนั้นก็มีเสียงขิมอันแสนไพเราะดังขึ้นจากด้านนอก ทุกคนที่ได้ยินเสียงนี้ต่างก็หันไปมองกันหมด
จางโจวหัวเราะออกมา “นายท่านคิดว่าให้คนที่เล่นขิมข้างนอกนั่นเข้ามาเล่นในร้านดีไหมขอรับ ?”
ทุกคนพยักหน้าให้เป็นเชิงว่าเห็นด้วย ก่อนที่ชิวเจิ้นจะกล่าวต่อ “การจิบเหล้าระหว่างที่ฟังขิมเล่นไปก็บันเทิงใช่เล่นนะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ถังหยินก็พลันตัดสินใจได้แล้ว เขาเงยหน้า “ถ้างั้นก็เรียกเสี่ยวเอ้อเข้ามา”
จางโจวทำตามที่สั่ง ก่อนหยิบเหรียญเงินออกมาให้ “ไปบอกให้คนที่เล่นขิมอยู่นอกร้านเข้ามาเล่นข้างในที”
เสี่ยวเอ้อผู้นั้นรับมันมาแล้วก็พยักหน้าให้
ทุกคนนั่งรอกันสักพัก หากแต่นักดนตรีดังกล่าวก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมา จนในที่สุดก็เป็นเสี่ยวเอ้อคนเดิมก็ได้เข้ามาด้วยสีหน้าอับอายและรอยยิ้มที่รู้สึกผิด “ข้าต้องขออภัยจริง ๆ นายท่าน คือว่ามีคนชวนให้นักดนตรีคนนี้เข้าไปเล่นก่อนแล้ว ดังนั้นข้าเกรงจึงว่าท่านจะต้องรอจนกว่าจะเล่นเพลงจบ”
เมื่อเห็นว่าทำอะไรไม่ได้ ทุกคนก็เลือกที่จะรอ ทว่าหลังจากผ่านไปนานมากแล้วกลับยังไม่เห็นตัว จางโจวจึงบ่นออกมาด้วยความเหลืออด “ทำไมถึงยังไม่มาอีกนะ ?”
“พอดีว่าแขกห้องข้าง ๆ เขาร่ำรวยมาก…” เสี่ยวเอ้อพยายามอธิบาย
จางโจวขมวดคิ้ว “พวกเขาจ่ายเท่าไหร่ ? ข้าจะเพิ่มให้อีก 2 เหรียญเลย”
เสี่ยวเอ้อก้มหน้าแล้วพูด “เขาจ่ายไป 10 เหรียญเงินขอรับ”
จางโจวแทบจะสำลักน้ำทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เขาสามารถจ่าย 10 เหรียญหรือมากกว่านั้นได้ก็จริง แต่ด้วยเงินเดือนของเขาที่มีอยู่ในฐานะของหัวหน้านายกอง มันก็ไม่ได้มากเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงได้แต่นั่งลงอย่างไม่สบอารมณ์
ถังหยินเงยหน้าขึ้นและพูดกับเสี่ยวเอ้อ “ถ้างั้นข้าจ่าย 20 เหรียญเงิน ไปพาตัวเขามา”
“หา ? ด…ดะ…ได้ขอรับนายท่าน” เสี่ยวเอ้อตะลึงงันให้กับคำพูดนี้ เขาไม่เคยคิดว่าจะมีใครยอมควักเงินจ่ายได้ขนาดนี้มาก่อน หากแต่เขาก็ยอมเดินไปตามให้แต่โดยดี
หลังจากที่เสี่ยวเอ้อออกไป ถังหยินก็หันมองจางโจวแล้วชูจอกเหล้า “เอาละ มาดื่มกันต่อเถอะ !”
ชายหนุ่มไม่ใช่คนที่พูดมาก เขาเน้นไปที่การกระทำของตัวเอง ด้วยไม่อยากพูดให้เปลืองน้ำลาย และที่สำคัญคือเขาไม่ยอมให้เพื่อนพ้องหรือลูกน้องต้องมาอับบอายขายขี้หน้าแน่
ซึ่งจางโจวเองก็สัมผัสได้ถึงเจตนาของถังหยิน ดังนั้นเขาจึงยกจอกเหล้าขึ้นแล้วกล่าว “เอ้า ไชโยให้กับนายท่าน !”
ทุกคนในวงสุราต่างก็พูดคำเดียวกันออกมาแล้วชนจอกเหล้าอย่างสนุกสนาน
พวกเขาดื่มกันไปอีกสักพัก หากแต่นักเล่นขิมก็ยังไม่เข้ามาเสียที จนเสี่ยวเอ้อคนเดินเข้ามาพร้อมกับปาดเหงื่อบนหน้าผาก “นายท่าน คือ… เอ่อ… ลูกค้าคนเดิมเขายอมจ่ายเป็น 50 เหรียญเงินน่ะขอรับ…”
ไม่ใช่แค่จางโจวที่สงสัย หากแต่หยวนเปียวถึงขั้นทุบโต๊ะด้วยความโมโห “ไอ้บ้านั่นมันจะขัดขาเราไปถึงไหนกัน ! ข้าจะตามไปเตะก้นมันถึงที่เลย !” เขาพูดจบแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกนอกประตูไปด้วยท่าทีนักเลงหัวไม้
ถังหยินเองก็อยากจะรู้ตัวตนของแขกผู้มั่งคั่งคนนั้นเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เอ่ยห้ามหยวนเปียวจนชิวเจิ้นต้องขึ้นพูดแทน “นายท่านลืมไปแล้วหรือว่าท่านออกกฎห้ามทะเลาะวิวาทกันรุนแรงในเมืองเฮิง !”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ถังหยินที่ลืมตัวไปก็รีบพูดด้วยความอับอาย “เดี๋ยวก่อน ! หยวนเปียว ! กลับมาก่อน !”
“ฮึ่ย !” หยวนเปียวจึงได้แต่หัวฟัดหัวเหวี่ยง เดินกลับมาด้วยความไม่เต็มใจ ก่อนนั่งลงแล้วกอดอกจ้องมองไปยังห้องข้าง ๆ ด้วยความหงุดหงิด
เสี่ยวเอ้อผู้นั้นเห็นท่าไม่ดี เลยไม่กล้าอยู่นานเท่าไหร่ จึงพูดขึ้นเบา ๆ “ข้าน้อยขอตัวก่อน !” แล้ววิ่งออกไป
เมื่อเห็นสีหน้าทุกคนกำลังหงุดหงิด ถังหยินก็รีบพูดขึ้น “เอาน่า ไม่ได้มีแค่พวกเราที่ร่ำรวยเสียหน่อย อย่าคิดมากเลย”
“แต่ไอ้พวกนั้นมันจงใจหาเรื่องเราชัด ๆ ยอมไม่ได้หรอกนายท่าน !” หยวนเปียวยังคงหัวร้อนอยู่
ชายหนุ่มพลันเลิกคิ้วขึ้น ถึงจะไม่ยอมรับว่ามันเป็นความจริง แต่มันก็เป็นอย่างที่หยวนเปียวว่า ดังนั้นเขาจึงมองไปยังเฉิงจินเพื่อส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายไปตรวจสอบคนพวกนั้น
ทว่าไม่ทันจะทำอะไรก็มีคนมาเคาะประตูเสียก่อน
พวกเขาที่คิดว่าน่าจะเป็นเสี่ยวเอ้อคนเดิมก็เลยบอกให้เข้ามาได้เลยโดยไม่คิดอะไร
ทว่าทันทีที่ประตูเปิดออก กลับเป็นชายวัย 30 ที่เดินเข้ามา ทำให้ทุกคนในห้องจ้องมองไปยังเขา
ชายคนนั้นโค้งคำนับให้กับทุกคนแล้วกล่าว “ทุกท่าน ได้โปรดอย่าเข้าใจผิด ข้าคือลูกค้าที่อยู่ห้องข้าง ๆ ท่านเอง และข้ามาเพื่อกล่าวทักทายพวกท่าน”
หยวนเปียวกำลังหาที่ระบายอยู่ และในเมื่อตัวการโผล่เข้ามาแบบนี้แล้วเขาก็ไม่รอช้า “ถ้างั้นเจ้าเองสินะที่เป็นคนจ่ายเงินเพื่อดึงตัวนักดนตรีคนนั้นไป !”
คำพูดที่ถูกพ่นออกมาทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที ยกเว้นแต่ชายคนเดิมที่เขายังคงมองมาที่ถังหยินด้วยความใจเย็น “ท่านคงเป็น ถังหยิน ผู้ปกครองเขตปิงหยวนสินะขอรับ”
ชายหนุ่มประหลาดใจที่ถูกเรียกกันแบบนี้ “แล้วท่านล่ะเป็นใครกัน ?”
“ข้าคือลู่ฟาง ข้ากับสหายก็มาเที่ยวในเมืองเฮิงแห่งนี้เพื่อผ่อนคลาย แต่เมื่อทราบว่านายท่านอยู่ที่นี่ จึงได้มาแวะมาแสดงความเคารพ” ชายร่างใหญ่กล่าวแล้วมองไปรอบ ๆ
ถังหยินและชิวเจิ้นนั้นไม่ได้แสดงท่าทีใด ๆ แต่กับเฉิงจินนั้น เขากลับมองคนตรงหน้าด้วยสายตาแปลก ๆ
เป็นเพราะเฉิงจินเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน และแม้ว่ามันจะไม่ใช่ชื่อของขุนนางหากแต่ก็มีชื่อเสียงพอสมควร ด้วยเป็นชื่อของโรนินที่เดินทางไปทั่วแคว้นเฟิง
โรนินคือนักเดินทางที่ตระเวนไปทั่วโลกและจัดตั้งกลุ่มของตัวเอง พวกเขาขึ้นชื่อในเรื่องของความถูกต้องและเกียรติยศ ทว่าในความเป็นจริงนั้นตรงกันข้าม
เฉิงจินกระซิบให้กับเจ้านาย “นายท่าน เขาคือโรนินของแคว้นเราขอรับ”
โรนิน ? ถังหยินไม่คุ้นหรือแม้แต่รู้จักคำนี้เลยด้วยซ้ำ คงจะเป็นศัพท์ของโลกฝั่งนี้เป็นแน่แท้
บางทีอาจจะเป็นเพราะหยานหลีที่อยู่ในร่างของเขา จึงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกคุ้นตากับชายคนนี้เป็นพิเศษ “ถ้างั้นลู่ฟาง ข้าขอต้อนรับเจ้าสู่เขตปิงหยวนของข้านะ”
ถังหยินใจกว้างกับคนพวกนี้อยู่แล้ว และเมื่อทุกคนได้ยินแบบนั้นก็พากันยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตร
ลู่ฟางเองก็ยิ้มและตอบกลับ “นายท่านก็กล่าวเกินไปแล้ว ถ้าท่านไม่ว่ากระไร ข้าจะขอร่วมดื่มกับท่านเสียหน่อย” ระหว่างที่พูด เขาก็พลันมองแล้วโบกมือให้สหายของตนพานักเล่นขิมมาที่นี่
“ข้าเองก็คิดจะทำแบบนั้นอยู่เหมือนกัน” ถังหยินกล่าวแล้วยกจอกเหล้าขึ้นมา
เมื่อเห็นทั้งสองไม่มีทีท่าจะขัดแย้งกัน เฉิงจินก็โล่งใจ
เขาไม่ได้กลัวลู่ฟางเลย หากแต่หวั่นใจว่าพวกโรนินจะทำให้เกิดความยุ่งยากขึ้น
แท้ที่จริงแล้วโรนินคือพวกนักดาบพเนจรที่ทำทุกอย่างตามใจตนเอง ถ้าหากไปมีเรื่องกับพวกเขา รับรองได้เลยว่าไม่มีทางจบลงได้ง่าย ๆ แน่ เพราะพวกเขานั้นสามารถแพร่กระจายข่าวลือเสีย ๆ หาย ๆ เกี่ยวกับศัตรูที่พวกเขาหมายตาได้อย่างง่ายดาย