ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 134
“ทำไมล่ะ ?” ทุกคนมองชิวเจิ้นด้วยความสงสัย
เด็กหนุ่มถอนหายใจและพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูประหลาด “การร้องขอกองกำลังเพื่อมาต้านทานกำลังทหาร 2 แสนนายนั้นใช้เวลานาน กว่าที่รายงานจะส่งไปถึงราชสำนัก กว่าที่พวกขุนนางในนั้นจะปรึกษาหารือกัน แล้วไหนจะกว่าที่พวกเขาจะอนุมัติการส่งกำลังเสริม ตระเตรียมเสบียง และจัดการอื่น ๆ เพื่อให้พร้อมสำหรับการรับมือพวกมอร์ฟีสอีก ทั้งหมดที่ว่ามานั้นคงจะกินเวลาร่วมเกือบเดือนทีเดียว”
“ซึ่งนี่ข้าก็ยังไม่นับรวมไปถึงระยะเวลาที่เราต้องร่างรายงานให้พวกเขาอีกนะ ขืนทำแบบนั้น ข้าว่าพวกมอร์ฟีสคงได้เข้ามาฆ่าล้างชาวเมืองของเราจนตายเรียบเสียก่อน !”
หลังจากได้ยินคำพูดของชิวเจิ้น ทุกคนก็พูดไม่ออกเพราะสิ่งที่เขาพูดมันเป็นเรื่องจริง ว่าการกระทำที่ว่ามานั่นเต็มไปด้วยขั้นตอนและต้องใช้เวลาอย่างมาก
ถังหยินครุ่นคิดแล้วจึงถาม “แล้วควรทำเช่นไร ?”
เด็กหนุ่มยังคงสีหน้าดังเดิม “ถ้าพวกเรายังพึ่งพาผู้อื่นอยู่แบบนี้ สักวันหนึ่งเราจะต้องพบกับหายนะแน่ ๆ ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ ในครั้งนี้พวกเราจะต้องเอาชนะกองทัพมหาศาลของพวกมอร์ฟีสให้ได้ด้วยตัวเอง !”
จางโจวขมวดคิ้วจนระบมไปหมดแล้ว ในเวลานี้เขาจึงถามขึ้นด้วยความกังวล “แล้วพวกเราจะต้านทานกองทัพ 2 แสนนายของพวกมันได้อย่างไรกัน ?”
ชิวเจิ้นส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้หรอก แต่ถ้าพวกเราไปขอกำลังเสริม ยังไงเสียพวกเขาก็คงส่งคนมาน้อยแน่ ๆ ยิ่งไปกว่านั้นพวกทหารเมืองหลวงก็ไม่มีประสบการณ์การต่อสู้อีกกับพวกมอร์ฟีสอีก คงมีแต่จะทำให้พวกเราลำบากยิ่งกว่าเดิมเสียเปล่า ๆ”
คำพูดของเขาราวกับเข็มหมุนที่ทิ่มแทงเข้าไปในใจกลางความหวังของทุกคน
จูนัวเบิกตากว้างแล้วตวาดลั่น “ถ้าพวกเราทำตามคำพูดของท่านชิว งั้นแล้วเราจะป้องกันเมืองได้อย่างไร ? จะให้หนีเอาตัวรอดหรือไง ?”
ทุกคนหันมองไปยังถังหยิน ด้วยฐานะของแม่ทัพป้องกันเขตปิงหยวน เขาจึงมีอำนาจในการตัดสินใจสูงสุด
ในหัวของถังหยินไม่เคยมีคำว่าหนีอยู่แล้ว ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ แล้วกล่าว “ข้าจำได้ว่าตอนที่พวกหนิงเข้าโจมตีเรา แม่ทัพซ่งกล่าวไว้ว่าแม่ทัพนั้นไม่ควรหนี หากแต่ควรที่สู้ศึกจนกว่าจะตายไปข้าง ! ถึงข้าจะไม่ใช่คนที่มีตำแหน่งสูงหรือสำคัญมากนัก แต่ข้าก็จะไม่ทอดทิ้งพี่น้องของพวกเราให้ตายในสนามรบแน่ !!!”
คำพูดของถังหยินแสดงออกถึงความมั่นใจและไม่หวาดกลัวแม้แต่ความตาย
พี่น้องฉางกวง จูนัว และทุกคนต่างก็โค้งคำนับให้ “นายท่าน ข้าน้อยขอติดตามท่านไปจนชั่ววินาทีสุดท้ายของชีวิต !”
ถังหยินพยักหน้ายินดีที่ได้ยินแบบนั้น นิ้วของเขาเคาะลงไปบนโต๊ะตามการใช้ความคิด เพื่อหาทางต่อต้านกองทหาร 2 แสนนายที่กำลังจะถาโถมเข้ามา “พวกเราไม่สามารถป้องกันเมืองชายแดนได้อีกแล้ว อพยพกองกำลังทุกอย่างรวมไปถึงประชาชนทุกคนให้ไปรวมกันที่เมืองเฮิง”
ชิวเจิ้นไม่คัดค้าน “นายท่านเข้าใจปัญหาของเรื่องนี้แล้วสินะขอรับ”
ถังหยินกลอกตามองแล้วถามมูฉิง “มูฉิง !”
“ขอรับนายท่าน !” เขาตอบขานตามคำเรียก
“ข้าอยากให้เจ้าดูแลกำลังป้องกันเมืองเฮิง เจ้ายินยอมที่จะรับมันหรือไม่ ?”
ได้ยินแบบนี้ อย่าว่าแต่เจ้าตัวเลย ทุกคนในห้องนี้ต่างก็ตะลึงกันหมด เมืองเฮิงถือเป็นเมืองหลวงของเขตปิงหยวนที่เป็นถึงปราการด่านสุดท้ายของที่นี่ ชีวิตของประชาชนหลายร้อยชีวิตขึ้นอยู่ในกำมือของพวกเขาทั้งหมด ดังนั้นการรับหน้าที่นี้จึงเสมือนการกุมชะตากรรมของเขตปิงหยวนเอาไว้
มูฉิงที่ได้สติกลับมาก็พูดอย่างกระวนกระวาย “นายท่าน… ข้า… ข้าคิดว่านี่เป็นงานที่หนักเกินไป แถมนายท่านก็ยังอยู่ที่นี่ด้วยข้าเกรงว่ามันจะเป็นการข้ามหน้าข้ามตา..”
ถังหยินส่ายหัวขัดคอเขาทันที “ข้าจะไม่อยู่ที่เมืองเฮิง”
“อะไรนะ ?” ทุกคนตกตะลึง
ชายหนุ่มอธิบายให้ทุกคนได้ฟัง “ด้วยกำลังทหาร 2 แสนนาย การตั้งรับพวกมันจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเว้นทางถอยไว้บ้าง ดังนั้นข้าจึงวางแผนที่จะพากองทหารม้าพุ่งตรงเข้าไปยังใจกลางดินแดนของพวกมัน ทะยานไปที่เมืองหลวงแล้วล่อให้พวกมันกลับมาป้องกัน !”
อย่างนี้นี่เอง เมื่อทุกคนได้ยินแบบนี้ก็ถอนหายใจ อย่างไรก็ตามเมื่อครุ่นคิดอีกแล้วก็เกิดความสิ้นหวังอีกครั้ง เพราะว่าเมืองหลวงของพวกเบสซ่านั้นน่าจะมีการป้องกันที่หนาแน่นมาก ขืนไป พวกเขาอาจจะถูกกวาดล้างกันหมดแทนน่ะสิ
แม้แต่ชิวเจิ้นก็เปิดปากถามด้วยความตะลึง “แผนของนายท่านเสี่ยงเกินไป ถ้าเกิดว่าพวกมอร์ฟีสมันมีทหารมากกว่าที่เราคิดเอาไว้ล่ะ ?”
ชายหนุ่มส่ายหัว “หลังจากที่สู้กับพวกมันมานาน จะยังมีอะไรที่ข้าไม่เข้าใจอีก ? ถ้าข้าเดาไม่ผิด การที่มันยกทัพมา 2 แสนนายแบบนี้จะต้องเกณฑ์กองทัพมาจากทุกหัวเมืองแล้วแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันจะต้องไม่คิดว่าข้าจะแอบโจมตีเมืองหลวงลับหลังแบบนี้แน่”
เด็กหนุ่มเริ่มคล้อยตาม และถึงเขาจะเข้าใจดี หากแต่แผนก็ยังเสี่ยงอยู่ มันอาจจะนำชัยชนะมาให้พวกเขาได้ก็จริง แต่ถ้ากลับกันแล้ว การสูญเสียถังหยินไปมันจะไม่จบแค่เพียงเขตปิงหยวนถูกทำลายแน่ เพราะบางทีมันอาจจะหมายถึงการล่มสลายของแคว้นเฟิงเลยก็เป็นได้ !
เมื่อครุ่นคิดดูแล้ว ชิวเจิ้นก็เริ่มมองไม่เห็นทางอื่นและเริ่มยอมรับในแผนอันสุดเสี่ยงนี้
เมื่อเห็นว่าทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน ถังหยินก็พูดขึ้น “พูดอะไรกันหน่อยสิ !”
มูฉิงลองถาม “แล้วถ้าเกิดว่านายท่าน… ตายล่ะ ?”
“พวกเจ้าก็เอากองทหารออกไปล้างแค้นเสียสิ”
“นายท่าน นี่ไม่ใช่เวลาที่ท่านจะมาพูดเล่นนะขอรับ”
“ข้าไม่ได้ล้อเล่น ถ้าข้าตายที่นั่นจริง ๆ ข้าก็อยากจะให้พวกเจ้าล้างแค้นให้กับข้า กลับกัน ถ้าพวกเจ้าตายกันหมด ข้าก็จะอยู่ที่นี่แล้วทำลายล้างพวกมันให้สิ้นเช่นกัน !”
เมื่อเขาพูดจบ จิตใจทุกคนก็ได้รับการเติมเต็มทางจิตวิญญาณอีกครั้ง ทำให้พวกเขามีกำลังใจที่จะต่อสู้อย่างห้าวหาญ ยอมพลีกายเพื่อปกป้องแคว้นและตัวผู้นำเขตอย่างถังหยินอย่างเต็มที่
มูฉิงสูดหายใจแล้วเดินออกมา “นายท่านโปรดวางใจเถิด ข้าน้อยจะป้องกันเมืองอย่างสุดกำลังและรอการกลับมาของท่าน”
ถังหยินมองเขาแล้วตอบกลับ “ข้าเชื่อมั่นว่าเจ้าจะทำตามที่พูดไว้ได้แน่นอน และถ้าข้ากลับมาได้ เจ้าจะได้รับการเลื่อนขั้นให้กลายเป็นแม่ทัพของกองทัพปิงหยวน !”
ราวกับลูกธนูปักเข้ากลางใจของมูฉิง ร่างกายของเขาสั่นและคุกเข่าลง “เป็นพระคุณอย่างยิ่ง !”
แม้ว่ากองทัพปิงหยวนจะมีอยู่ 5 กองพัน แต่ก็มีทหารเพียงแค่ 8 หมื่นเท่านั้น แล้วแบบนี้การที่ได้เป็นผู้บัญชาการทหารนั้นจะไม่ทำให้มูฉิงตื่นเต้นได้อย่างไรกัน ?
ถังหยินมอบการป้องกันเมืองทั้งหมดให้กับมูฉิง ในขณะที่เขานำพากองทหารม้า 4 พันนายบุกเข้าไปในเมืองหลวงของเบสซ่า
ถ้าหากแผนนี้สำเร็จพวกเขาจะป้องกันได้ทั้งเมืองและยังสามารถช่วยชีวิตลูกน้องและประชาชชนได้อย่างมหาศาล แต่ถ้าหากพลาดล่ะก็ถังหยินคงสิ้นชีพและทุกอย่างจะพังทลายยิ่งกว่าเดิม
ชายหนุ่มเรียกหน่วยของหลีเทียนมา ก่อนส่งข้อความไปยังหัวหลีเทียนว่าให้กลับมาที่ปิงหยวนทันที เพราะหากเขาจะลอบเข้าเขตศัตรูก็คงจะต้องมีหลีเทียนคอยนำทาง
2 วันต่อมาหลีเทียนจึงกลับมาที่เมืองเฮิงพร้อม ๆ กับอัยเจีย
ถังหยินอธิบายถึงแผนการนี้ให้ทั้งสองฟัง ในทีแรกหลีเทียนนั้นมัวแต่ตะลึงงัน ก่อนที่ต่อมาเขาจะตั้งสติได้
ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา หลีเทียนอยู่ในเขตพวกมอร์ฟีสมานานมากจนล่วงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมัน และเมื่อได้ยินแผนของถังหยินเขาจึงตอบไปอย่างมั่นใจ “แผนของท่านได้ผลแน่ !”
ถังหยินเริ่มมีกำลังใจขึ้นมาทันที “ทำไมถึงพูดแบบนั้น ?”
“ข้ารู้เส้นทางทุกอย่างในเขตพวกมันไปจนถึงเมืองหลวงเบสซ่า พวกมันไม่มีป้อมปราการใด ๆ ทั้งนั้น แต่ทว่าความยากลำบากของเส้นทางมันก็…”
ชายหนุ่มพลันดีใจขึ้นมา ถ้าหากว่าแผนของเขาสามารถหลบเลี่ยงพวกกองทหารของมอร์ฟีสได้ งั้นแล้วทุกอย่างก็ไม่น่ากังวลอีก “ความยากของเส้นทางไม่ใช่ประเด็นหรอก สิ่งสำคัญคือพวกเราจะไปถึงเมืองเบสซ่าได้อย่างปลอดภัยหรือเปล่า”
เส้นทางที่ว่าเกิดจากคนเลี้ยงสัตว์ของพวกมอร์เฟีส และถึงแม้จะสามารถนำตรงไปสู่เมืองเบสซ่าได้ แต่ถึงกระนั้นมันก็เป็นเส้นทางที่อันตรายและทรหดมาก จนแม้แต่พวกมอร์ฟีสเองก็ยังเลิกใช้มันในการเดินทัพมาแล้ว