ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 140
แค่ทหารหลายหมื่นก็นับได้ว่ามากแล้ว ดังนั้นทหาร 2 แสนนายของพวกมอร์ฟีสในครั้งนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง มันคือคลื่นมนุษย์ดี ๆ นี่เอง ซึ่งหลังจากที่มาถึงเมืองเฮิงแล้ว มันก็ไม่สามารถมีอะไรหยุดยั้งพวกเขาได้อีกต่อไป !
ที่บนกำแพงเมืองนั้น ชิวเจิ้น มูฉิงและคนอื่น ๆ เองก็เตรียมพร้อมไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังอดหวาดหวั่นต่อสิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่ได้อยู่ดี
กองทัพปิงหยวนนั้นไม่เคยพบเจอทหารมากมายแบบนี้มาก่อน ทำเอาพวกนายทหารเฝ้ารักษาเมืองหัวใจแทบตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
ตอนนี้พวกทหารแนวหน้าของมอร์ฟีสเริ่มเข้าปะทะแล้ว แต่ด้านรอบข้างกลับยังนิ่งเฉยอยู่
พวกต่างแดนถาโถมเข้ามา จัดตั้งเรียงเป็นแนวยาวพร้อมเสียงกลองชัยลั่นเพื่อประกาศถึงเวลาทำศึก ก่อนที่แม่ทัพมากมายจะขี่ม้าพุ่งกระโจนนำทหารเข้าสู่สนามรบ !
มูฉิงและกองทัพอีก 2 กองคอยปกป้องที่นี่อยู่ ส่วนอีก 3 กองนั้นคอยป้องกันอีก 3 ส่วนที่เหลือของเมืองเฮิง
เมื่อเห็นแม่ทัพของพวกมันวิ่งเข้ามาท้าทายแบบนี้ พวกนายทหารที่อยู่ใต้บัญชาของจางโจวก็กล่าวขึ้น “ให้ข้าไปต่อสู้กับมันเถิดขอรับ !”
ถึงแม้ว่ามูฉิงจะอยู่ในกองทัพ หากแต่เขาก็ไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจขนาดนั้น ทว่าในครั้งนี้มันต่างกันออกไป เพราะเขาคือผู้รับผิดชอบการป้องกันเมืองที่ได้รับมอบหมายจากถังหยินโดยตรง !
เขามองนายทหารคนนั้นแล้วมองออกไปด้านนอก “ไม่ต้องหรอก”
นายทหารมองเขาอย่างงุนงง ในเมื่อพวกมันจัดขบวนทัพพร้อมโจมตีกันขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงไม่ตอบโต้กัน ? แบบนี้พวกมันจะไม่ยิ่งได้ใจและทุ่มกำลังจนเข้าทำลายพวกเราทั้งหมดหรือ ? ทว่าด้วยมูฉิงนั้นเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในครั้งนี้ ดังนั้นการตัดสินใจของเขาคือทุกสิ่ง
อันที่จริงแล้วนั้น เจตนาของมูฉิงก็คือการถ่วงเวลาเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เพื่อให้ถังหยินกลับมาช่วยพวกเขาทันท่วงที
เมื่อเห็นว่าทางศัตรูไม่มีทีท่าว่าจะเล่นด้วย แม่ทัพมอร์ฟีสก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าผู้นำทัพของอีกฝ่ายนั้นขี้ขลาดนัก ! จึงได้กู่ร้องตะโกนเป็นภาษาของพวกเขาอยู่ด้านนอกกำแพง
หลังจากก่นด่ากันอยู่สักพัก กองทัพเฟิงก็ยังคงไม่ตอบโต้อะไร ทำให้พวกต่างแดนเริ่มเงียบลงไป
ไม่นานนักกลองชัยก็เริ่มตีขึ้นอีกครั้ง พร้อมด้วยแตรที่เป่าดังกึกก้องกังวานทั่วสมรภูมิ !
ทันใดนั้นกองทัพ 5 หมื่นของมอร์ฟีสก็พลันเคลื่อนไหวดั่งสายน้ำเข้าสู่กำแพงเมืองเฮิง
ด้วยเห็นว่าได้จังหวะแล้ว มูฉิงจึงเอียงคอแล้วร้องสั่งออกไปว่า “พวกมันเริ่มโจมตีแล้ว พลธนูเตรียมพร้อมเอาไว้ !” เมื่อได้ยินคำสั่ง พวกทหารที่เกี่ยวข้องก็พลันทำตามคำสั่งทันที
พวกต่างแดนวิ่งกันอยู่มากมายเบื้องล่าง และเมื่อแม่ทัพของพวกเขาตะโกนออกมา ทุกคนก็พากันยกอาวุธขึ้นมาแล้วกู่ร้องวิ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างดุเดือด
ถ้ามองจากด้านบน ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนถึงคลื่นมนุษย์ที่พุ่งเข้ามาอย่างน่ากลัว เพียงชั่วพริบตามันก็อยู่ไม่ห่างจากกำแพงเมืองมากแล้ว
มูฉิงสูดลมหายใจแล้วยกมือ “ยิงได้ !”
ลูกศรมากกว่า 3 หมื่นดอกพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนตกลงมาแทงทะลุพวกมอร์ฟีสอย่างน่าสังเวช ทำให้พวกเขาตายลงเป็นใบไม้ร่วง หากแต่ถึงกระนั้น พวกพ้องที่เหลืออยู่ก็ยังคงพร้อมใจกันวิ่งข้ามศพเพื่อไปให้ถึงจุดมุ่งหมาย !
มูฉิงชินชากับความบ้าบิ่นของพวกต่างแดนนี้แล้ว ดังนั้นเมื่อเห็นว่าพวกมันวิ่งมาจนถึงกำแพงเมืองด้านล่าง เขาก็พลันยิ้มออกมา
เขาได้สั่งให้ทหารขุดหลุมคล้ายคูคลองเอาไว้กว้างพอที่จะดักพวกทหารเอาไว้ได้จำนวนมาก และในวินาทีที่พวกศัตรูตกลงไปในนั้น พวกมันก็จะถูกแทงด้วยหนามแหลมที่ได้รับการติดตั้งเอาไว้
โดยไม่ทันรู้ตัว ทหารพวกนั้นก็พากันถูกทับและล้มระเนระนาดตายลงไปในคูนี้นับไม่ถ้วน
เมื่อเห็นความวุ่นวายแบบนี้ มูฉิงจึงได้ออกคำสั่งให้เทน้ำมันเดือดลงไปข้างล่าง
ของเหลวข้นร้อนจำนวนมากถูกเทลงจากด้านบนกำแพงเมือง สังหารศัตรูไปได้นับไม่ถ้วน หากแต่ก็ยังมีบางส่วนเหลือรอด ดังนั้นมูฉิงจึงได้สั่งให้พลธนูยิงต่อไป
เมื่อเจอเข้ากับธนูซ้ำเข้าไปอีก พวกมอร์ฟีสที่กำลังเสียขวัญอยู่ก็พากันวิ่งหนี จนพาลให้แนวขบวนทัพแตกพ่ายในพลัน
กองทัพเฟิงยังคงโถมลูกธนูเข้าใส่อย่างไม่หยุดยั้ง จนมีลูกศรปักอยู่บนพื้นมากมาย
การโจมตีเพิ่งจะเริ่มขึ้น แต่พวกมอร์ฟีสก็ล้มตายไปมากกว่า 3 พันนายแล้ว และด้านล่างก็มีแต่ศพของพวกมันกับอาวุธเต็มไปหมด
หลังจากศึกระลองแรกจบลง กองทัพเฟิงจึงค่อยมีเวลาพักหายใจ ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มการป้องกันครั้งต่อไป ด้วยรับรู้แล้วว่าพวกมอร์ฟีสนั้นทรงพลังและเก่งกาจมากขึ้นทุกครั้งที่เข้าโจมตี
ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น พวกต่างแดนก็ยังคงไม่เริ่มการบุกต่อ ราวกับรออะไรบางอย่าง
เมื่อผ่านไปจนถึงกลางคืน การโจมตีก็ยังไม่เกิดขึ้น ทำให้ขวัญกำลังถดถอยหายไปมาก
ตามปกติแล้วฝ่ายที่บุกโจมตีจะไม่ทำการบุกตอนกลางคืน ด้วยจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากสำหรับฝ่ายรุก ดังนั้นกองทัพเฟิงจึงได้ผ่อนคลายและพูดคุยเล่นถึงเรื่องความบ้าดีเดือดของศัตรู
มูฉิงที่เดินบนกำแพงก็ได้ยินเกี่ยวกับหัวข้อสนทนาหนึ่ง ที่ว่าด้วยการโจมตีเมืองในช่วงกลางคืน ซึ่งหลาย ๆ คนคิดว่าความมืดมันสร้างความเสียเปรียบให้กับผู้รุกราน หากแต่มูฉิงนั้นมองกลับกัน ว่าพวกมันอาจคิดฉวยโอกาสโจมตีตอนกลางคืนเพราะว่าพวกฝั่งป้องกันกำลังหย่อนยานอยู่ !
คิดได้แบบนั้นเขาก็พลันมองไปยังหอพลธนู ก่อนจะพูดถกปัญหานี้กับชิวเจิ้นต่อ
การตัดสินใจของแม่ทัพเพียงคนเดียวก็สามารถพลิกได้ทั้งสมรภูมิ
คืนนั้นเมืองเฮิงเงียบมาก หากแต่ก็ยังเห็นหน่วยสอดแนมของพวกมอร์ฟีสออกมาลาดตระเวนดูบ่อยครั้ง
พวกเขารวดเร็วมากและใช้ความมืดปกปิดตัวเอง ก่อนจะหายไปอย่างเนียน ๆ และมาปรากฏตัวที่ใต้กำแพงเมืองอย่างเงียบเชียบ
ในบรรดาคนกลุ่มนั้น มี 2 คนหยิบเชือกที่มีขอเหล็กเกี่ยวปลายเอาไว้ออกมา ก่อนจะเขวี้ยงมันขึ้นไปบนกำแพงเมือง และเมื่อลองดึงมันดูว่าเชือกแข็งแรงดีแล้ว ก็จึงปีนขึ้นไปในพลัน !
กลุ่มคน 20 คนนี้มีแต่ผู้ฝึกยุทธ์ที่เก่งกาจ พวกเขาใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาถึงบนกำแพงเมืองแล้ว
กองทัพเฟิงดูจะเชื่อว่าช่วงกลางคืนนั้นปลอดภัย จึงไม่ได้ระมัดระวังตัว และเลือกใช้ทหารยามเฝ้าเวรน้อยนัก อีกทั้งคนพวกนี้ยังเลือกที่จะหลับยามอีกด้วย
พวกมอร์ฟีสมองหน้ากันและกัน ก่อนที่จะดึงเชือกให้แน่นขึ้น
การเคลื่อนไหวของพวกเขารวดเร็วมากและเงียบเชียบ พวกเขาสามารถเข้าไปในเมืองโดยที่ไม่ถูกตรวจจับได้เลยด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็ไม่ทำและเลือกที่จะพิงกำแพงเพื่อสังเกตการณ์ต่อไป
ด้วยพวกทหารยามนั้นเฝ้าระวังตั้งแต่เที่ยงวัน จึงทำให้พวกเขาเหนื่อยล้าจนนอนหลับไป
เมื่อเห็นแบบนี้ พวกมอร์ฟีสก็พลันกระโดดออกมาแล้วใช้ดาบตัดหัวพวกที่หลับยามตายคาที่โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันแม้แต่จะส่งเสียงกรีดร้อง
จากนั้นพวกเขาก็วิ่งเข้าไปที่กำแพงเมืองขนาดใหญ่ ทำการเปิดมันออก ก่อนจะส่งสัญญาณให้กับพวกทหารม้าเกราะหนักจำนวน 5 พันนายที่รออยู่ด้านนอกให้วิ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว
ทหารม้าพวกนั้นเตรียมตัวมาก่อนหน้านี้แล้ว จึงได้คลุมตัวม้าด้วยผ้าฝ้าย ทำให้ไม่มีเสียงดังในการเคลื่อนไหว อีกทั้งยังก้มตัวลง เพื่ออาศัยความมืดในการเข้าใกล้กำแพงเมือง
พวกต่างแดนที่อยู่ในค่ายของตัวเองก็เตรียมธนูเอาไว้พร้อม เพื่อรอจังหวะที่พวกทหารม้าก่อความวุ่นวาย จะได้ทำการโจมตีสนับสนุน
แม้ว่าทหารม้าเพียง 5 พันนายจะมีไม่มากนัก แต่ถ้าเกิดว่าพวกเขาสร้างความวุ่นวายข้างในได้เมื่อไหร่ล่ะก็ พวกทหารที่เหลือก็จะทำการวิ่งเข้าใส่เมืองจากทุกทิศทางทันที !
แม่ทัพมอร์ฟีสคาดเดาทุกอย่างเอาไว้หมดสิ้นแล้ว ทว่าพวกเขานั้นไม่รู้เลยว่า ครานี้ได้พวกตนเลือกเดินหมากผิดไปอย่างมหันต์เสียแล้ว !