ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 143
เมื่อมูฉิงพูดจบ ทุกคนก็หันมองหน้า 2 คนนั้นที่ถูกระบุชื่อ
จางโจวและไป่หยงตัวสั่น ภารกิจนี้มันไม่ง่ายเลย พวกเขาอาจไม่มีชีวิตกลับมาได้เลยด้วยซ้ำ
ชิวเจิ้นเองก็รู้ว่าพวกเขาสองคนนี้ไม่ไหวแน่ จึงได้พูดไปว่า “มูฉิง คิดใหม่อีกทีดีกว่าไหม ?”
หากแต่เขากลับส่ายหัวแล้วพูดอย่างจริงจังออกมา “พวกเราไม่รู้หรอกว่านายท่านไปถึงไหนแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงลดทอนกำลังพวกมันให้ได้มากที่สุด เพราะยิ่งสู้กันนานเท่าไหร่ก็ยิ่งเสียเปรียบ”
“ในสถานการณ์ที่ศัตรูสามารถเพิ่มกำลังพลและเสบียงได้เรื่อย ๆ แบบนี้ สักวันหนึ่งพวกเราต้องแพ้แน่ ๆ อีกอย่าง ในบรรดาพวกทหารทั้งหมด จางโจวกับไป่หยงก็ถือว่ามีความพร้อมที่สุดแล้ว ดังนั้นข้าจึงคิดฝากความหวังไว้ที่พวกเขา 2 คน”
ว่าแล้วมูฉิงก็โค้งคำนับให้กับทั้งสองคน
เมื่อเป็นแบบนั้น จางโจวกับไป่หยงก็พลันเดินออกมา “ท่านมูฉิงก็พูดเกินไปแล้ว ข้าน้อยมิอาจ”
ด้วยคำพูดของมูฉิงเมื่อครู่นี้ ทั้งสองก็ไม่อาจปฏิเสธคำสั่งนี้ได้อีกต่อไป
คืนนั้นกองทัพเฟิงไม่ได้เคลื่อนไหวใด ๆ หากแต่ไม่กี่ชั่วยามต่อมา ประตูทางใต้ก็ได้เปิดออกอย่างเงียบเชียบ ก่อนที่จะมีหน่วยรบพิเศษวิ่งออกไป
เวลาในขณะนี้อยู่ในช่วงรุ่งสาง เป็นช่วงเหมาะเจาะยิ่งนักสำหรับการลอบโจมตี ด้วยเป็นช่วงที่พวกทหารยามเหนื่อยล้ากันมากที่สุด
และก่อนที่พวกทหารหน่วยพิเศษจะลอบออกไป เฉิงจินก็ได้ล่วงหน้าไปก่อนหน้านี้แล้ว
พวกผู้ใช้ศาสตร์มืดไม่มีวิชาสำหรับทำลายล้างเป็นวงกว้างมากนัก แต่พวกเขานั้นก็โดดเด่นในเรื่องไล่ล่า ลอบเล้นและการดวลเดี่ยวเป็นพิเศษ
ใช่เวลาไม่นานนัก หน่วยของเฉิงจินก็ได้ใช้ความมืดลอบเข้าไปในค่ายของพวกต่างแดนจนสำเร็จ
ทางใต้ของเมืองเฮิงนั้นไม่ใช่เป้าหมายหลักของการโจมตี ทำให้ค่ายทางใต้ไม่ใช่จุดหลักสำหรับการบุกรุก ดังนั้นเฉิงจินจึงสังหารทหารยามไปได้มากมายโดยไม่ยากเย็น ก่อนที่จะส่งสัญญาณกลับไปยังเมือง
เมื่อหน่วยลับนี้กลับมาแล้ว จางโจวกับไป่หยงก็พาทหารจำนวน 1 หมื่นนายบุกออกไปจากเมืองทางใต้ โดยที่พวกเขานั้นแต่งตัวให้กลมกลืนไปกับความมืด และพกอาวุธไว้เท่าที่จำเป็น
ไม่มีใครพูดจาอะไรกันทั้งนั้น มีแค่เสียงเกราะเบากระทบกันดังประปราย
และเพราะหน่วยศรทมิฬจัดการพวกยามไปแล้ว จึงทำให้พวกจางโจวเข้าไปยังค่ายทหารของพวกเบสซ่าได้อย่างง่ายดาย
พวกเฟิงที่ลอบเข้ามาใกล้ ได้ปีนขึ้นไปบนกำแพงค่าย ก่อนที่จางโจวกับไป่หยงจะออกคำสั่งให้พวกทหารตามเขามา
ทหารเฟิงทั้ง 1 หมื่นนายกระโดดเข้ามาอย่างสายฟ้าแลบ ทำให้พวกเบสซ่าไม่ทันระวังตัวใด ๆ ทั้งสิ้น ถึงขนาดที่บางคนยังนอนอยู่ก็ถูกตัดหัวขาดไปเสียอย่างนั้น
มูฉิงและอัยเจียมองไม่ผิดเลย ที่แห่งนี้ก็คือสถานที่ที่พวกต่างแดนเก็บเสบียงทั้งหมดเอาไว้ ไม่ทันไรพวกเขาก็เห็นห้องเก็บอาหาร และเมื่อเปิดดูก็เห็นเข้ากับเสบียงจำนวนมากวางอยู่ข้างใน จึงได้ราดน้ำมันเพื่อจุดไฟเผามันในทันใด !
ราวกับสวรรค์ส่งเสริม จู่ ๆ สายลมจากข้างนอกก็พลันพัดเข้ามา ช่วยเสริมให้กำลังไฟโหมแรงขึ้นไปอีก ทำให้ในตอนนี้ไม่มีใครหยุดทะเลเพลิงนี้ได้แล้ว !
ทั้งค่ายของพวกเบสซ่าตกอยู่ในความวุ่นวาย เกิดเสียงตะโกนมากมายไม่หยุด ทว่าในตอนนั้นพวกเฟิงก็ได้ล่าถอยหนีกันไปหมดแล้ว
ไป่หยงที่วิ่งออกมาจากโรงนอนของพวกต่างแดนหัวเราะร่วมไปกับพวกทหารของตัวเอง ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะง่ายถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่ามูฉิงจะเป็นคนคุมเกมสงครามทั้งหมดในครั้งนี้ได้แล้ว
จางโจวเองก็หัวเราะออกมาด้วยเช่นกัน “พวกมันช่างอ่อนแอยิ่ง ข้าละอยากจะโจมตีพวกมันอีกครั้งจริง ๆ!”
ไป่หยงรีบห้ามเอาไว้ “พวกเราทำภารกิจสำเร็จแล้ว พอแค่นี้เถอะ ข้าว่าเราควรรีบกลับเดี๋ยวนี้ !”
จางโจวพยักหน้าให้อย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนที่จะรีบพาทหารของตัวเองรีบวิ่งออกจากค่ายนี้อย่างไม่คิดชีวิต
แต่ทันใดนั้นทั้งสองก็ต้องตกตะลึง ด้วยไม่คิดว่าพวกเบสซ่าจะรู้ตัวเร็วขนาดนี้ เพราะที่ด้านหลังนั้น มีเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น และเมื่อหันไปก็พบกับทหารม้าที่มีจำนวนมากมายวิ่งไล่ตามมาติด ๆ
“บ้าเอ๊ย ! พวกเราติดกับ !” จางโจวตะโกนร้องบอก
ไม่ว่าพวกมันจะเก่งกาจแค่ไหน หากแต่ก็ไม่น่าจะรวมคนมาโต้กลับได้เร็วขนาดนี้ ดังนั้นแล้วพวกมันจะต้องคิดไว้ก่อนหน้านี้อย่างแน่นอนว่าพวกเขานั้นจะลอบเข้ามาแบบนี้
ทว่าความจริงแล้วหาเป็นแบบนั้นไม่ หากแต่เป็นเพราะแม่ทัพใหญ่เบสซ่านั้นได้จัดวางกองทหารม้าเอาไว้อยู่บริเวณนั้นเป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งเหตุที่พวกทหารม้ารู้ตัวก็เพราะควันไฟพวกนั้น จึงได้จัดขบวนกองทหารม้าได้อย่างทันท่วงทีและไล่ตามมาอย่างที่เห็น !
การที่มีพวกเบสซ่าอยู่ตรงประตูทางออกด้านหน้า และด้านหลังมีทหารม้าที่กำลังไล่ตามมา ทำให้พวกเฟิงนับหมื่นนายถูกขังอยู่ในค่ายของศัตรูอย่างสิ้นหวัง
ไป่หยงตะโกนบอกทหารของเขาอย่างใจเย็น ก่อนจะรีบเร่งให้พวกทหารไปรวมตัวกันที่ประตูทางออกอย่างรวดเร็ว
ทหารปิงหยวนทำตามทันที พวกเขาพากันวิ่งเข้าใส่ประตูอย่างกับคนบ้า
ตอนนี้พวกทหารต่างแดนที่อยู่บริเวณประตูมีมากกว่า 3 พันนายเข้าไปแล้ว และถึงจำนวนพวกเขาจะน้อยกว่า แต่ด้วยกำลังกายที่มาก จึงทำให้พวกเฟิงที่มีจำนวนเยอะกว่าไม่ได้เปรียบเท่าไหร่นัก
ดังนั้นเมื่อทั้งสองปะทะกันจึงเกิดความโกลาหลอย่างรุนแรง
แต่ถึงกระนั้น พวกทหารม้าเกราะหนักก็ยังคงวิ่งเข้ามาหาวงต่อสู้เล็ก ๆ นี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าหากพวกเฟิงไม่หลบออกไปล่ะก็จะต้องกลายเป็นเศษเนื้อแน่ ๆ
ในเวลานี้จางโจวได้รีบวิ่งเข้าไปข้างตัวไป่หยง ก่อนพูด “พวกเราเสียเวลาตรงนี้มากไม่ได้ ! พวกทหารม้ามันใกล้เข้ามาแล้ว ถ้ายังช้าอยู่แบบนี้พวกเราไม่ได้กลับออกไปแน่ เดี๋ยวข้าจะจัดการพวกทหารม้าเอง ส่วนเจ้าไปทะลวงประตูไม้บ้านั่นซะ !”
“แล้วเจ้าจะกลับออกมายังไง ?!” ไป่หยงไม่คิดว่าสหายของเขาจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา ด้วยคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังนั้น น้อยมาก ที่จะรอดกลับมาได้
จางโจวส่ายหัวแล้วตะโกนตอบ “ไม่ต้องห่วงข้า รีบไปซะ !”
“ไม่มีทาง ! เจ้านั่นแหละที่ต้องหนีไป ข้าจะไปหยุดพวกทหารม้าเอง !” ทั้งสองเป็นทหารผ่านศึกที่อยู่ด้วยกันมาเนิ่นนาน และในสถานการณ์เช่นนี้จะให้พวกเขาทิ้งกันไปได้อย่างไร ?
“ไร้สาระ ! นี่ไม่ใช่เวลามาเถียงกัน เจ้าจงไปเสีย และฝากกลับไปบอกนายท่านด้วยว่า ข้าจางโจวผู้นี้คือทหารผู้ทรงเกียรติแห่งกองทัพเฟิง !” จางโจวตบบ่าของสหายแล้วกล่าวออกมาดังก้อง ก่อนจะผลักอีกฝ่ายออกไป
ถ้าหากเป็นสถานการณ์ปกติ จางโจวจะเป็นคนที่ระวังมากที่สุดและเป็นคนที่ขี้ขลาดมากคนหนึ่ง ทว่าในเวลานี้เขากลับเลือกที่จะปกป้องสหายของเขาไว้ด้วยชีวิตของตัวเอง…
ไป่หยงขบริมฝีปากแน่น ก่อนจะหันหน้าวิ่งเข้าใส่ทหารเบสซ่าที่ประตูเมืองอย่างเดือดดาล !
เขาโกรธมาก โกรธทั้งจางโจวและตนเองที่ไม่อาจมีพลังพอจะช่วยพวกพ้องเอาไว้ได้ ! …แต่ถ้าเขาไม่หนีออกมาแบบนี้การเสียสละของจางโจวก็จะสูญเปล่า
ไม่มีใครสามารถทนความเจ็บปวดแบบนี้ได้หรอก มันเหมือนกับต้องใช้ชีวิตโดยที่แบกรับความทุกข์ทรมานเอาไว้ตลอดเวลา
ไป่หยงพาทหารของเขาหนีออกมาได้ ส่วนจางโจวก็พาทหารของเขาเข้าปะทะกับทหารม้าเกราะหนัก
พวกทหารม้าวิ่งเข้ามาโดยที่ไม่เปลี่ยนกลยุทธ์ใด ๆ ทั้งนั้น และเมื่อเข้าใกล้ระยะ จางโจวก็ตะโกนคำสั่งออกมา ให้พวกเขายืนตระหง่านตั้งโล่ขึ้นเตรียมรับมือพวกทหารม้าที่กำลังพุ่งเข้าหา !