ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 146
การที่ใช้กระบวนท่าเดียวจัดการศัตรูได้จำนวนมากแบบนี้ คนผู้นี้จะต้องมีระดับที่สูงกว่าถังหยินเป็นแน่แท้ ไม่งั้นแล้วไหนเลยจะสามารถปลดปล่อยพลังปราณที่แสนบ้าคลั่งออกมาจัดการพวกทหารเบสซ่าได้อย่างง่ายดายด้วย
คนีสและคนอื่น ๆ ต่างก็ตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก ถึงพวกเขาจะอยู่ห่างไกลออกมาจากจุดปะทะ แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังลมที่แรงกล้า
พวกทหารที่เห็นภาพนี้ต่างก็ทำอะไรไม่ได้ พวกเขาแทบลืมหายใจด้วยซ้ำ ทุกคนไม่สามารถขยับไปไหนได้เลยราวกับว่าถูกตรึงเอาไว้
ชายคนนั้นเดินเข้ามาแล้วพวกศัตรูก็ถอยกลับออกไป แต่ด้วยความที่พวกเขามีจำนวนมากเกินไป จึงทำให้เกิดการเบียดเสียดกันมากเหลือเกิน ก่อนที่จะมีแม่ทัพเบสซ่าคนหนึ่งควบม้าพุ่งเข้ามาแล้วตะโกนใส่หน้าชายคนนั้น “เจ้าเป็นใครกัน ?”
ชายขี่ม้าไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไรอยู่ด้วยไม่เข้าใจภาษาต่างชาตินี้ หากแต่เขาก็ยังคงเข้ามาใกล้อย่างต่อเนื่อง
ระยะห่างของทั้งสองเข้าใกล้กันมากขึ้น ทำให้แม่ทัพเบสซ่าผู้นั้นทนไม่ไหว ปลดปล่อยพลังปราณออกมาแล้วเข้าฟาดฟันดาบใส่หน้าอีกฝ่าย
พลังปราณพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนกระจายตัวออกเป็นดาบจำนวน 5 เล่มพุ่งลงมากวาดล้างใส่นายทหารที่ขี่ม้าเข้ามา
อาวุธของเขาคือดาบด้ามยาวสองคมที่สามารถใช้เป็นทั้งหอกและดาบในเวลาเดียวกัน
เมื่อเห็นพลังปราณกำลังพุ่งเข้ามา ชายแปลกหน้าผู้นั้นก็ควบม้าให้หลบมันไปได้อย่างง่ายดาย ก่อนที่จะตวัดดาบกลับไปเพื่อตัดทำลายคลื่นทั้ง 5 ที่ถูกส่งออกมาเมื่อครู่
การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วมากจนมันเกิดขึ้นและเสร็จสิ้นในชั่วพริบตาเท่านั้น
เมื่อเห็นแบบนี้ร่างของแม่ทัพเบสซ่าผู้นั้นก็พลันสั่นเทา และแม้ว่าจะมีเกราะปราณอยู่ แต่มันก็ไม่อาจปกปิดสีหน้าที่บิดเบี้ยวของเขาได้เลย ด้วยวิชาที่เขาใช้ไปนั้นทรงพลังมากเกินกว่าที่จะมีคนธรรมดาใช้การสะบัดดาบแค่นี้ก็จัดการได้ หากทว่าอีกฝ่ายกลับทำมันได้ !
เขาไม่คิดว่าชายขี่ม้าคนนี้จะมองวิชาตนออกได้และทำลายมันทิ้งจริง ๆ “เจ้ากล้าใช้วิชาโง่ ๆ นี้ต่อหน้าข้างั้นหรือ ?” โดยไม่รอช้า ชายผู้นั้นก็พลันควบม้าแล้วพุ่งเข้าใส่แม่ทัพเบสซ่าตรงหน้า
ความเร็วที่ทะยานถึงขีดสุดทำให้แม่ทัพต่างแดนตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่เขาจะถูกดาบปราณนี้สังหาร ได้แต่กรีดร้องอย่างน่าเวทนาก่อนที่จะสิ้นใจ
ชายขี่ม้าไม่ได้หันกลับไปดู แต่กลับกำดาบไว้ในมือข้างเดียวแล้วตะโกนออกมา “ข้าคือ ฉางกวงหยวน ใครก็ตามที่กล้าหือกับข้าจงเข้ามา !”
เสียงนี้ดังก้องราวกับฟ้าผ่า ทำให้สีหน้าของพวกเบสซ่าบิดเบี้ยวไปด้วยความหวาดกลัวพร้อมทั้งค่อย ๆ ถอยกลับไป
ชายคนนี้ชูดาบขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าไปที่ประตูอย่างไม่ลังเล ก่อนที่จะพบว่าเขาถูกล้อมไว้ด้วยพวกทหารต่างแดน
ด้วยพลังที่ฉางกวงหยวนผู้นี้มี เขาจึงสามารถปลดปล่อยมันออกมาเข้าสังหารพวกเบสซ่ารอบทิศทาง เปลี่ยนให้กลายเป็นซากศพไร้วิญญาณขาดครึ่ง !
…ในตอนนี้ไม่มีใครหยุดเขาได้อีกแล้ว !
พวกเบสซ่าที่เห็นก็พากันอกสั่นขวัญแขวน ด้วยพวกเขาไม่อาจต่อกรกับชายคนนี้ได้เลย ชายคนนี้ไม่ใช่มนุษย์แล้วแต่เป็นปีศาจชัด ๆ!
เมื่อฉางกวงหยวนเข้าไปในเมืองได้ เขาก็เห็นเข้ากับทหารปิงหยวนกับทหารศัตรูที่กำลังเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด จึงได้รีบขี่ม้าพุ่งทะยานเข้ามาร่วมด้วยทันที
พวกต่างแดนที่เห็นว่ามีชายขี่ม้าจากไหนไม่รู้เข้ามาจากด้านหลังก็ได้แต่โวยวายด้วยความตกใจ ก่อนที่จะล้มตายลงด้วยคมดาบของเขา ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ที่กล้าขวางทางเขาจะต้องตายทุกราย
กองทัพต่างแดนกำลังปั่นป่วนถึงขีดสุดจากการที่ผู้มาเยือนคนนี้ ที่เข้าทำลายกองทัพจากด้านหลังโดยที่ไม่ทันตั้งตัว ทำให้พวกเบสซ่าที่อยู่แนวหน้าต่างก็หันมาสนใจด้านหลังจนไม่มีสมาธิทำศึก
เปิดโอกาสให้ทหารเฟิงเริ่มผ่อนคลายลงบ้าง ก่อนที่พวกเขาจะฉวยเอาก้อนอิฐหินรอบตัวขึ้นมาขว้างปาใส่พวกศัตรูเสริมเข้าไปอีก
บอกได้เลยว่าการต่อสู้ในครั้งนี้วุ่นวายมากกว่าทุกที เพราะความได้เปรียบของพวกเบสซ่าได้หายไปหมดแล้ว จะมีก็แต่ความโกลาหลที่ยากเกิดควบคุม
ถ้าหากยังบุกต่อไป อาจยึดกำแพงส่วนในได้ก็จริง แต่ทว่าก็อาจจะต้องแลกมาด้วยความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นมากเป็นเท่าตัวด้วยเช่นกัน อีกทั้งตอนนี้ท้องฟ้าก็มืดแล้ว มันไม่ง่ายเลยที่จะเสี่ยงต่อสู้ในความมืดเช่นนี้
ในเวลานี้ คนีสก็แน่ใจแล้วว่ากองทัพเฟิงนั้นไม่สามารถเอาลงได้อีกต่อไป จึงได้แต่นึกเสียดาย ด้วยไม่คิดว่าจะมีแม่ทัพที่เก่งกาจขนาดนี้อยู่ในกองทัพพวกเฟิง
ถ้าหากว่ายังพอมีเสบียงอยู่มากกว่านี้ ก็อาจจะใช้การปิดล้อมเมืองพวกเฟิงให้อดตายได้ แต่ทว่าในตอนนี้มันถูกเผาไหม้ไปหมดแล้ว สถานการณ์มันบีบให้พวกเขาต้องล่าถอยออกไปอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งถ้าเกิดว่าพวกเขาถอยกลับไปมือเปล่าในตอนนี้ ทั้ง ๆ ที่เสียทหารไปมากมายแล้วล่ะก็ จะต้องถูกประณามหรือไม่ก็โดนโทษร้ายแรงแน่ ๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือพี่ชายของเขา ราชาแห่งเบสซ่าจะยอมหรือ ?
เขาไม่รู้จะต้องทำอย่างไรต่อไปดี
โดยไม่รอช้า ชายขี่ม้าคนนี้ก็ควบม้าพุ่งทะยานเข้าไปที่หน้าประตูแล้วตะโกน “เปิดประตูเดี๋ยวนี้ !”
พวกทหารยามนั้นเห็นว่าเขาจัดการพวกเบสซ่าไปเยอะแยะก็จริง แต่การที่จะให้เปิดประตูรับคนแปลกหน้ามันก็กระไรอยู่
ดังนั้นชิวเจิ้นจึงเดินก้าวออกมา ก่อนเอนหน้ามองลงไปแล้วพูดว่า “สหาย ขอข้าถามชื่อของท่านได้หรือไม่ ?” เขาอยู่ในปิงหยวนมานานหลายปีหากแต่ก็ไม่เคยเจอชายคนนี้มาก่อน
ชายคนนี้ถอดชุดเกราะออกแล้วหัวเราะออกมาดังลั่น “ข้าคือหยวนยู่ น้องชายของผู้ดูแลเมืองนี้หยวนจี้นั่นแหละ !”
หยวนยู่ ? ดวงตาของมูฉิงพลันลุกโชนขึ้นด้วยไฟแห่งความดีใจ
สี่พี่น้องฉางกวงนั้นเป็นคนที่เก่งกาจในทุก ๆ ด้าน ทั้งหยวนจี้และหยวนอู่กับหยวนเปียวเองก็อยู่ใต้บัญชาของถังหยินหมดแล้ว ตอนนี้เหลือแค่พี่รองอย่างหยวนยู่คนนี้เท่านั้น
หยวนยู่อยู่ในระดับปราณเทพเจ้าแล้ว ซึ่งหาได้ยากยิ่ง
มูฉิงตื่นเต้นอย่างมาก ก่อนจะรีบส่งคนให้ไปตามหยวนจี้มาที่นี่เพื่อต้อนรับน้องชายของเขา
หยวนยู่อายุประมาณ 30 แต่ร่างกายไม่สูงมากนักแม้จะกำยำล่ำสันไปด้วยกล้ามเนื้อก็ตาม ใบหน้าเองก็คล้ายกับผู้เป็นพี่หยวนจี้ ทั้งยังมีคิ้วที่หนาเตอะและดวงตาที่ใหญ่โต
หลังจากได้พบกัน มูฉิงก็ก้มหัวให้แล้วถาม “เป็นพระคุณอย่างยิ่งที่ท่านหยวนได้มาช่วยเมืองเฮิงของพวกเราเอาไว้”
หยวนยู่มองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วถามขึ้นมา “เจ้าเป็นใคร ?”
“ข้าคือมูฉิง แม่ทัพของเมืองเฮิงคนใหม่” เขาแนะนำตัว
“แม่ทัพงั้นหรือ ? ไม่ใช่ว่าถังหยินคือแม่ทัพของที่นี่หรือ ?”
“ตอนนี้เขาไม่อยู่ที่นี่…”
หยวนยู่รีบพูดต่อ “โอ๊ะ ? ข้ารู้แล้ว ถังหยินเองก็ไม่ต่างจากพวกแม่ทัพคนก่อน ๆ ที่หนีงานไปเหมือนกันสินะ ?!”
มูฉิงส่ายหัวแล้วรีบอธิบาย “นายท่านไม่ได้หนี เขาแค่ไปลอบโจมตีเมืองหลวงของพวกมันเท่านั้นเอง !”
อีกฝ่ายถามด้วยความสงสัย “เจ้าเห็นกับตามาหรือไง ?”
“ไม่…”
“เหอะ ! ถ้างั้นก็ไม่มีข้ออ้างแล้ว ใครมันจะบ้าออกไปบุกเมืองศัตรูด้วยตัวคนเดียวกัน ?”
หยวนยู่เป็นคนที่หยิ่งผยองมาก เขาไม่สนใจใครก็ตามที่มีพลังอ่อนแอกว่าเขาทั้งสิ้น แม้จะบอกว่าถังหยินลอบเข้าไปในเมืองพวกเบสซ่าด้วยตัวคนเดียว แต่เขาก็ไม่เชื่ออยู่ดีถ้าไม่ได้เห็นกับตา