ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 147
มูฉิงรู้ว่าถังหยินนั้นห้าวหาญขนาดไหน ไม่ใช่แค่เมืองหลวงของพวกศัตรูเท่านั้นที่เขาจะไป ต่อให้เป็นถ้ำเสือหรือรังมังกรชายผู้นั้นก็คงกล้าที่จะไป !
ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าไม่ฟังใครของอีกฝ่ายแล้ว มูฉิงก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ก่อนให้การต้อนรับไปพอเป็นพิธี
เขาเห็นความสามารถของหยวนยู่ได้จากบนกำแพง และถ้าหากเขาอยากจะปกป้องเมืองนี้เอาไว้ งั้นก็ต้องพึ่งพาคนผู้นี้เท่านั้น
มูฉิงนำพาหยวนยู่กลับเข้าไปในเมืองแล้วนั่งยิ้มไปตลอดทาง ด้วยไม่กล้าทำให้เขาหงุดหงิด เพราะถ้าหากไม่ได้ชายคนนี้ช่วยเอาไว้ พวกเบสซ่าก็คงเข้ามาในเมืองได้แล้วตอนนี้
ระหว่างที่เขากำลังเดินไป ก็มีคนเข้ามาหา และคนคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือหยวนจี้
หยวนยู่เห็นพี่ชายของตัวเองเดินเข้ามา ก็พลันตกตะลึงจนความเย่อหยิ่งบนใบหน้าหายไปจนหมด ก่อนที่เขาจะรีบกระโดดลงมาจากม้าแล้วฝืนยิ้มอย่างเต็มที่ ทำให้มูฉิงแปลกใจที่เห็นแบบนี้
ไม่นานนักเขาก็เข้าใจแล้ว ว่าที่ทำไปเช่นนี้เป็นเพราะหยวนยู่ให้ความเคารพพี่ชายตัวเองมากนั่นเอง
หยวนจี้ไม่ใช่ผู้มีพลังยุทธ์ผิดกับน้องชายทั้งสามของเขา หากแต่พวกเขาก็ยังเคารพรักพี่ชายของตัวเองกันทุกคนไม่เสื่อมคลาย และไม่ว่าจะเป็นอย่างไร หยวนจี้ก็เปรียบเสมือนพี่ชายของพวกเขาตลอดมา
โดยไม่รอช้า หยวนยู่ก็ได้วิ่งออกไปข้างหน้าหยวนจี้แล้วคุกเข่าลง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง ด้วยหลังจากบ้านไปเนิ่นนานก็ได้กลับมาและพบกับพี่ชายของตนเสียที “น้องชายของท่านกลับมาแล้วท่านพี่ !”
น้ำตาของหยวนจี้ไหลออกมา หลังจากที่ได้เห็นน้องชายที่จากบ้านไปหลายปีกลับมาอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะรีบยื่นมือเข้าไปช่วยพยุงให้ลุกขึ้นมาด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย “ดีใจจริง ๆ ที่เจ้ากลับมา !”
ทั้งสองไม่ได้เจอหน้ากันนาน จึงมีคำพูดมากมายที่ต้องว่ากล่าวกัน แต่ทว่ามูฉิงไม่มีเวลาให้พวกเขามากขนาดนั้น
บ้านเมืองในตอนนี้กำลังลุกเป็นไฟจากสงครามที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ และไม่มีทางที่มูฉิงจะปล่อยตัวชายคนนี้ไปได้ง่าย ๆ แน่ เพราะการที่มีหยวนยู่ในเมืองมันก็เท่ากับว่าพวกเขาสามารถปกป้องที่นี่ได้โดยสูญเสียน้อยที่สุด !
แต่ถึงกระนั้นหยวนยู่ก็ดูจะไม่พอใจเท่าไหร่นัก เมื่อได้ฟังคำของมูฉิง “ข้ามันก็แค่คนพเนจร จะให้ข้าเป็นแม่ทัพคุมศึกได้อย่างไร ? ถ้าข้าไม่รู้ว่าเมืองกำลังถูกปิดล้อมพร้อมกับที่พี่ชายของข้าอยู่ภายในนั้น ข้าก็คงไม่มาที่นี่หรอก”
นั่นคือเหตุผลที่แท้จริงที่เขารีบเดินทางกลับมายังเมืองเฮิง ก็เพื่อปกป้องพี่ชายของเขาเอง
มูฉิงลูบมือด้วยความอับอายแล้วหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา ด้วยได้รับรู้แล้วว่า หยวนยู่นั้นเป็นคนที่เย่อหยิ่งยิ่งนัก เขาไม่รับคำสั่งจากใครทั้งนั้นต่อให้จะเป็นเจ้าเมืองหรือว่าแม่ทัพใหญ่แคว้นฟิงเขาก็ไม่คิดฟัง …อาจจะมีก็แต่คำพูดที่ออกมาจากปากของพี่ชายเขาเองเท่านั้นที่ทำได้
หยวนจี้เข้าใจความคิดของมูฉิง แต่เขาเองก็ไม่ใช่พี่ชายที่จะบังคับน้องตัวเองได้ “หยวนยู่ ปิงหยวนคือบ้านของเรา และชาวเมืองแห่งนี้ก็ล้วนแต่เป็นคนที่พี่รู้จัก ดังนั้นแล้วในเวลานี้ที่พวกมันยกทัพเข้ามา 2 แสนนาย พี่ก็คิดว่าพวกเรานั้นควรจะช่วยกันปกป้องบ้านเมืองนะ”
หยวนยู่ยิ้มออกมา “ท่านพี่ อย่าได้ห่วงไปเลย ข้าจะปกป้องทุกคนและกันไม่ให้พวกมันเข้ามาได้ แม้แต่ขาข้างเดียวข้าก็จะไม่ยอมแน่ !”
หยวนจี้เริ่มรู้สึกโล่งอกขึ้นมาบ้าง ตราบเท่าที่น้องชายยอมตกลงช่วยเมือง ไม่ว่าจะยังไงก็ดีทั้งนั้น เพราะต่อให้ไม่เข้าร่วมกับกองทัพ สิ่งที่เขาทำก็ยังมีผลกระทบต่อศึกนี้อยู่ดี
มูฉิงอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เก็บเอาไว้ในใจ เขาหวังว่าหยวนยู่จะเข้าร่วมกองทัพแทนตำแหน่งของจางโจวที่ตายไป ซึ่งถ้าหากว่าชายคนนี้ยอมเข้ามาร่วมจริง ๆ ละก็ ทั้งกองทัพจะยิ่งใหญ่เกรียงไกรอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแน่ !
หยวนยู่กวาดสายตาไปรอบ ๆ เมื่อไม่เห็นน้องชายทั้งสองจึงได้ถาม “แล้วหยวนอู่กับหยวนเปียวเล่า ?”
“พวกเขาตามนายท่านไปโจมตีเมืองหลวงของพวกเบสซ่า”
หยวนยู่ที่ตอนแรกไม่เชื่อคำพูดของมูฉิง แต่ถ้ามันมาจากปากพี่ชายของเขาแบบนี้สุดท้ายก็ยอมเชื่อจนได้ แม้ว่าในใจลึก ๆ จะยังมีคำถามมากมายก็ตาม หากแต่นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาเริ่มสนใจในตัวถังหยินขึ้นมา
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังพูดคำในใจออกมา “ข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอกถ้าเกิดว่าท่านแม่ทัพจะออกไปตายเอง แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับน้องทั้งสองของข้าละก็ ข้าจะไม่ให้อภัยเขาแน่ !”
มูฉิงตัวสั่นที่ได้ยินแบบนี้ หยวนจี้เองก็ไม่ต่างกัน หากแต่เขาก็เลือกที่จะพูดสวนออกมา “หยวนยู่ หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว เจ้าไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ !”
หยวนยู่ยังคงมีสีหน้าตึงเครียดอยู่ แต่สุดท้ายก็ยอมก้มหัวลงให้
เมื่อพวกเขากลับไปถึงเรือนของตระกูลฉางกวง และจัดแจงที่นั่งเรียบร้อยแล้ว หยวนยู่ก็เดินสำรวจเรือนตัวเองที่เปลี่ยนไปเยอะมาก พร้อมทั้งประหลาดใจที่พี่ชายตัวเองนั้นได้เป็นผู้ช่วยว่าราชการเมือง
หยวนยู่ไม่รู้ว่าจะทำสีหน้าแบบไรดี เขาเดินไปทั่วเรือนก่อนส่ายหัวไปเรื่อย ๆ
ไม่นานนักไป่หยง จูนัว กู่เยว่ และ หลีเว่ย ก็เข้ามาพร้อมกับแม่ทัพทั้งหลายที่ยังมีชีวิตอยู่
ทุกครั้งที่เห็นยอดผู้บาดเจ็บของฝั่งตัวเองก็เริ่มสิ้นหวัง โดยเฉพาะวันนี้ที่มียอดผู้เสียชีวิตมากมาย และกำแพงด้านนอกเองก็ถูกยึดไปแล้ว
จากทั้ง 5 กองพัน ในตอนนี้เมื่อนับรวม ๆ กันแล้วก็เหลือทหารแค่เพียง 4 หมื่นนายเท่านั้น ยิ่งพวกเขาต่อสู้กันนานเท่าไหร่ก็ยิ่งเหนื่อยล้าและบาดเจ็บกันมากมาย ดังนั้นแล้วแบบนี้จะให้ไปรบพุ่งกับพวกต่างแดนต่อได้อย่างไรกัน ?
หยวนจี้กล่าว “ถ้ากำลังพลของพวกเราไม่พอ งั้นก็คงต้องเกณฑ์ชาวบ้านมาช่วย”
มูฉิงส่ายหัวทันที “อย่าเลย พวกชาวเมืองไม่ได้รับการฝึกมาเป็นระบบแบบพวกเรา ดีไม่ดีพวกเขาจะเป็นตัวถ่วงในการต่อสู้ จนทำให้ขบวนรบเสียหายมากกว่าเดิม อีกทั้งถ้าเกิดพวกเขาถอยหนีก่อน มันก็จะยิ่งกระทบต่อขวัญกำลังใจของพลทหารด้วย !”
การวิเคราะห์ของเขาถูกต้องแล้ว หยวนจี้เองก็ครุ่นคิดตามก่อนที่จะยอมรับมัน พวกเขาสามารถให้พวกชาวเมืองช่วยการขนส่งเสบียงได้ก็จริงแต่คงจะให้ออกรบไม่ได้
จูนัวที่ได้ยินแบบนั้น ก็พลันพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ถ้าหากพวกเมืองข้างเคียงเราส่งคนมาช่วยบ้างก็คงจะดีกว่านี้นะ เหอะ !”
คำพูดของเขาทำให้ทุกคนเริ่มมีอารมณ์เดือดขึ้นมา ด้วยถ้าหากว่ามีกำลังเสริมสักประมาณ 1 หมื่นนายเข้ามาละก็ อย่างน้อยมันก็คงเสริมกำลังป้องกันได้มากแน่ ๆ
ระหว่างที่ทุกคนกำลังโมโหโกรธา ชิวเจิ้นก็ได้แต่นั่งเงียบยิ้มแห้ง ๆ อยู่คนเดียว ด้วยเขาคือคนที่รู้ความจริงทั้งหมดนี้ “ก็เพราะหยูเฮอมันชั่วร้ายไงเล่า มันคงกำลังรอให้พวกเราส่งเงินทองบรรณาการไปให้ ถึงจะส่งกองทหารกลับมาช่วยเรา !”
“ไอ้ขุนนางละโมบเอ้ย !” จูนัวกำหมัดแล้วทุบโต๊ะ
ตอนนี้เองที่หยวนยู่ได้เดินเข้ามาแล้วพูดขึ้น “ถ้าพวกเราปราบพวกเบสซ่าได้เมื่อไหร่ ข้าจะเดินทางไปตัดหัวเจ้าสารเลวนั่นถึงที่เลย !”
หยวนจี้ส่ายหัว แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไรก็มีคนพูดขึ้น “ใช่แล้วสหายหยวนยู่ พวกเราจะติดตามเจ้าไปฆ่าไอ้ขุนนางสารเลวนั่นด้วย ! เพื่อแม่ทัพจางโจว !”
ภายใต้คำพูดของชิวเจิ้น มันก็ทำให้ทุกคนพุ่งความเกลียดชังไปยังหยูเฮอในทันที และถึงเขาจะไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น แต่ในเมื่อผลลัพธ์เป็นแบบนี้มันก็นับว่าดีในหลาย ๆ ความหมาย
หยวนยู่ดึงเก้าอี้มานั่ง “พวกต่างแดนไม่น่ากลัวหรอก พวกเราก็แค่รอให้มันเข้ามาโจมตี แล้วพรุ่งนี้ข้าจะออกไปปะทะกับพวกมันเอง !”
มูฉิงครุ่นคิดก่อนจะพูดด้วยความกังวล “หยวนยู่ พวกมันมีกันมากมายข้าเกรงว่า…”
“เหอะ ! เจ้าจะกลัวอะไร ? แค่ตวัดดาบครั้งเดียวพวกมันก็ตายกันหมดแล้ว ต่อให้มีกันเป็นร้อยล้านคน ข้าก็แค่ต้องตวัดดาบร้อยล้านทีเพื่อเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นซากศพก็เท่านั้น” หยวนยู่พูดด้วยความมีน้ำโหก่อนจะหยิบดาบขึ้นมา
ด้วยความห้าวหาญในครั้งนี้ มันจะทำให้เขาได้รับเกียรติยศและชื่อเรียกว่า จอมปีศาจ และ แม่ทัพไร้พ่าย จากถังหยิน