ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 170
หญิงสาวชอบของมีค่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และยิ่งเป็นของหายากที่ได้มาจากถังหยินแบบนี้ มันก็ยิ่งทำให้ฟานหมินเก็บมันไว้ด้วยความปลาบปลื้ม นางใช้สองมือถือคริสตัลนั่นเอาไว้ในมืออย่างระมัดระวัง
วันต่อมาถังหยินได้ออกเดินทางไปเมืองหยาน เขาไม่ได้พาคนไปด้วยมากนักเพราะกลัวว่าจะเป็นจุดสนใจ นอกจากสามพี่น้องฉางกวงกับเฉิงจินและก็หน่วยรบของเขาอีกหยิบมือ
พวกเขามีด้วยกันทั้งหมด 30 คน ทั้งหมดต่างแต่งกายเหมือนพ่อค้าและควบม้าไปตลอดทั้งคืน
จากทางผ่านสวรรค์ไปถึงเมืองหยานต้องผ่านมากมายหลายอาณาเขตอันได้แก่ เขตจินกวง เขตหลีฮู่ และมณฑลกวนหนานที่ขึ้นตรงต่อซ่งเทียน ด้วยความที่ว่าพื้นที่เหล่านั้นอยู่ใกล้กับเมืองหลวงมากที่สุด พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกมากนัก แต่ถึงกระนั้น ผู้ดูแลมณฑลของที่แห่งนี้ก็ไม่คิดจะส่งทหารเข้าโจมตีมณฑลเทียนหยวนของถังหยินแต่อย่างใด
หลังจากที่ผ่านกวนหนานมา พวกเขาก็เข้าสู่จินกวงที่ประกาศกฎอัยการศึกและมีการตรวจตราตอนกลางคืนอย่างหนาแน่น ก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปจนถึงเขตหลี่ฮู่
ซึ่งที่เขตหลีฮู่เองก็ไม่ต่างอะไรจากกวนหนานมากนัก ด้วยผู้ดูแลเขตที่นี่ให้ความร่วมมือกับซ่งเทียนเป็นอย่างดีในช่วงก่อกบฏ ดังนั้นเขาจึงเริ่มได้รับความไว้วางใจขึ้นมาบ้าง แต่เมื่อถังหยินประกาศสงครามแบบนี้ มันก็ทำให้ตำแหน่งผู้ดูแลถูกสับเปลี่ยนเป็นคนที่ใกล้ชิดกับซ่งเทียนมากกว่าเดิม และนั่นก็คือแม่ทัพเกิงเฉียง
เกิงเฉียงเป็นแม่ทัพของซ่งเทียน พลังของเขาอยู่ในระดับปราณบรรพกาล เขานั้นเก่งกาจและกล้าหาญเป็นพิเศษ ทว่ากลับไม่เข้าใจเรื่องการบริหารงานบ้านเมืองเลย เหตุผลที่เขาได้เป็นผู้ดูแลเขตนั่นก็เพราะว่าเขาเป็นคนสนิทของซ่งเทียนเท่านั้น
ทันทีที่เกิงเฉียงได้ตำแหน่ง เขาก็ใช้อำนาจทั้งหมดในการควบคุมทุกการเสนอความเห็นและทุกช่องทางการสนทนาของชาวเมืองทั้งหมด แถมยังตั้งสายลับเอาไว้เพื่อหาว่าใครกันที่ไม่ภักดีต่อซ่งเทียนและทำการสังหารเสีย
ทำให้ในเวลานี้ สถานการณ์ที่หลีฮู่ได้เปลี่ยนไปมาก พวกปราชญ์และสามัญชนต่างก็ต้องระมัดระวังคำพูดทุกคำ เพราะหากพูดผิดแม้แต่คำเดียว นั่นก็หมายถึงชีวิตของพวกเขา
ชาวเมืองได้แต่อดทนอดกลั้นมานาน จนพวกเขาพากันก่อตั้งหน่วยลับเอาไว้ต่อต้านซ่งเทียนขึ้นมาแล้ว !
เมื่อคณะของถังหยินมาถึงเมืองหลีฮู่ พวกเขารู้สึกว่าที่นี่เปลี่ยนไปมาก ผู้คนที่นี่พากันเก็บตัว และไม่สุงสิงกับใครอื่นถ้าไม่จำเป็น ผิดกับตอนแรกที่ทั้งเมืองเต็มไปด้วยชาวเมืองมากมาย
เครื่องแบบทหารยามเองก็เปลี่ยนไป ตามปกติแล้วชุดของทหารเฟิงจะเป็นสีดำ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นสีแดง ถังหยินมองพวกเขาอย่างเหยียดหยามในใจ ด้วยชายหนุ่มอยากจัดการมันให้จบ ๆ ไป
ชายหนุ่มและคนอื่น ๆ เข้าไปในเมือง ก่อนพบกับร้านอาหารที่ร้างและไร้คนกับเสี่ยวเอ้อที่นั่งหลับอยู่
ถังหยินมองรอบ ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งในร้าน ส่วนเฉิงจินก็เดินเข้าไปหาเสี่ยวเอ้อแล้วปลุกอีกฝ่าย “ตื่นได้แล้ว”
เขารีบตื่นขึ้นมา ก่อนจะเห็นเข้ากับผู้คนมากมายและรีบร้อนถามออกไป “พวกท่านเป็นใครกัน ?”
“ที่นี่เป็นร้านอาหารไม่ใช่หรือ ? พวกเราก็มากินอาหารกันไง นี่พวกเจ้ายังจะคิดเปิดร้านอยู่ไหมเนี่ย ?”
เสี่ยวเอ้อที่ตั้งสติได้ก็รีบยิ้มตอบ “พ่ะ พวกท่านนั่งก่อนเลยขอรับ ว่าแต่พวกท่านอยากจะสั่งอะไรบ้าง ?”
“เอาหมั่นโถว 100 ก้อน กับเนื้อ 100 ชั่งก็น่าจะพอแล้วล่ะ”
ได้ยินแบบนี้เสี่ยวเอ้อก็พลันยิ้มให้แห้ง ๆ “คือว่าร้านของเราไม่มีเนื้อมากขนาดนั้นขอรับ”
“หา ?” เฉิงจินขมวดคิ้ว เขาต้องการเนื้อแค่ 100 ชั่งเท่านั้นไม่ใช่ 1 พันชั่งสักหน่อย ทำไมร้านใหญ่แบบนี้ถึงไม่มีได้กัน ? “เจ้าคิดว่าพวกเราจะไม่มีจ่ายหรือไง ?”
“ไม่ใช่ขอรับ เพราะว่าไม่ค่อยมีลูกค้ามา ทางร้านจึงไม่ได้เตรียมเนื้อเอาไว้รองรับมากมายขอรับ” เสี่ยวเอ้อกล่าวด้วยหน้าตาตื่นตระหนก
เฉิงจินกระพริบตา มันไม่ปกติเอาเสียเลย ร้านตั้งใหญ่ขนาดนี้แต่กลับไม่มีใครในร้านสักนิด ทั้ง ๆ ที่เป็นเวลาอันสมควรแก่การกินแล้วแท้ ๆ
ถังหยินพูดขึ้นเบา ๆ “ไม่เป็นไรหรอก ทำอะไรมาให้พวกเรากินก็ได้”
เฉิงจินพยักหน้าให้ “ได้ยินแล้วใช่ไหมพ่อหนุ่ม ไปจัดหามาซะ”
“ด่ะ ได้ขอรับ !” เสี่ยวเอ้อรับคำก่อนที่จะวิ่งไปหลังร้าน
เฉิงจินที่นั่งข้าง ๆ ถังหยินได้กระซิบบอกกับเขาว่า “ข้าไม่คิดว่าเพียงไม่กี่เดือนเขตหลีฮู่จะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้”
ถังหยินยักไหล่ให้ด้วยสีหน้าเฉยเมย
ไม่นานนักเสี่ยวเอ้อก็นำอาหารมาจัดวางเอาไว้บนโต๊ะ สภาพของมันดูไม่น่าทานมากคงเพราะเก็บไว้หลายวันแล้ว
ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น ทุกคนต่างก็รีบจัดการอาหารอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะมีพวกทหารพากันเข้ามาในร้าน
พวกเขามากันเป็นกลุ่ม ดูท่าคงจะเป็นพวกทหารยามตรวจตราละมั้ง ?
พวกเฉิงจินตะลึงมาก ก่อนจะรีบเอามือไปจับไว้ที่ด้ามดาบเผื่อมีเหตุร้ายเกิดขึ้น
ถังหยินเป็นคนที่ใจเย็นที่สุด เขาจัดการอาหารต่ออย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
คนที่ดูคล้ายจะเป็นรองหัวหน้าทหารเข้ามาถามพวกเขา “ม้าพวกนั้นเป็นของใครกัน ?”
“ของพวกข้าเอง” เฉิงจินลุกขึ้นตอบด้วยรอยยิ้ม
“งั้นหรือ ? แล้วพวกเจ้านำม้ามาทำไมตั้งมากมาย ?”
“พวกข้าเป็นพ่อค้าที่ขนสินค้ามาขาย”
“สินค้าหรือ ? ข้าไม่เห็นสักชิ้นเลยนะ” รองหัวหน้ามองเฉิงจินตั้งแต่หัวจรดเท้า
“พวกข้าขายหมดแล้ว และกำลังจะเดินทางกลับ”
“น่าสงสัย ! พวกเจ้าวางแผนอะไรอยู่ ?!” รองหัวหน้ากล่าวด้วยความหงุดหงิด ก่อนที่จะเดินเข้ามาหาและทำท่าจะชักดาบออกมาแล้ว
ถังหยินลุกขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ใจเย็น ๆ พี่ชาย พวกเราเป็นพ่อค้าจริง ๆ ดังนั้นข้าหวังว่าพวกเราจะเจรจากันได้นะท่านแม่ทัพ” ไม่ว่าเปล่า เขายื่นเงินออกมาให้พวกทหารด้วย
รองหัวหน้าที่ถูกเยินยอแบบนั้นก็ดีใจมาก แถมยังได้เงินฟรี ๆ แบบนี้อีก ดังนั้นเขาจึงรีบรับมันไว้ก่อนที่จะพูด “ช่วงนี้มันอันตราย ถ้าเป็นไปได้อย่าออกมาเดินเล่นแบบนี้อีก”
“แน่นอน ท่านแม่ทัพพูดถูกต้อง” ถังหยินยิ้มให้
รองหัวหน้าพยักหน้าให้แล้วหันไปบอกกับลูกน้องตัวเอง “ไปเถอะ พวกเขาเป็นแค่พ่อค้าเท่านั้น”
ด้วยอำนาจของเงินตรา จึงทำให้ถังหยินสามารถจัดการวิกฤตนี้มาได้โดยที่ไม่ต้องเสียแรงเลย
และเมื่อได้ยินคำนั้น พวกทหารก็พลันคลายความระมัดระวังตัวทันที
รองหัวหน้าหยิบหมั่นโถวมากัดก่อนที่จะบ้วนมันลงพื้นอย่างรวดเร็ว “อะไรวะเนี่ย ? นี่มันอะไรกัน ?” ระหว่างที่พูดเขาก็เดินเข้าไปหาลูกค้าอีก 2 คน “พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่ ?”
“ข้าน้อยเป็นพ่อค้าขอรับ”
“โทษที แต่ข้าไม่คิดแบบนั้น !” รองหัวหน้ามองพวกเขาตาเขม็ง
สองพ่อค้าไม่มีหนทางเอาตัวรอดได้แบบถังหยิน พวกเขาจึงรีบพูด “นายท่าน พวกเราเป็นพ่อค้าจริง ๆ นะขอรับ” พวกเขากล่าวพลางหยิบสมุดบัญชีขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถรีดไถเงินได้ รองหัวหน้าก็ฉีกสมุดออกแล้วตะโกน “ไร้สาระ จับพวกเขาไปสอบสวน !”
ฉับพลันนั้นเอง พวกทหารก็พากันเข้ามาจับกุมสองคนนี้ไว้แล้วลากพวกเขาออกไป
พี่น้องฉางกวงกับเฉิงจินได้แต่มองพวกเขาถูกลากออกไปด้วยสายตาเวทนา และกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ
ไม่แปลกใจเลยว่าทำเขตหลีฮู่ถึงได้ตกต่ำเพียงนี้ ที่แท้ก็เจอพวกโจรในคราบทหารนี่เอง
ถังหยินนั่งลงพูดอย่างใจเย็น “ทำอะไรไม่ได้หรอก นั่งลงและกินข้าวต่อซะ”