ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 185
อู่เหมยระงับความโกรธของนาง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “เพื่อนสนิทอะไรกัน พวกที่คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองเช่นนี้จะเรียกว่าเพื่อนได้อีกหรือ !” อู่เหมยมีความเย่อหยิ่งในฐานะขุนนาง ทำให้นางเหยียดหยามพวกพ่อค้าจากก้นบึ้งของหัวใจ
และยังไม่จบแต่เพียงแค่นั้น เพราะอู่เหมยนั้นได้เงยหน้าขึ้นมองถังหยินก่อนพูดถามเขาไปว่า “ถังหยิน เจ้ามีคู่หมั้นที่น่ากลัวแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้ ?”
“นางน่ะหรือ ?” อันที่จริงถังหยินและฟานหมินเป็นเพียงเพื่อนสนิทเท่านั้น พวกเขาไม่ได้เป็นคู่หมั้นกันแต่อย่างใด หากแต่คำพูดเหล่านี้ยากที่จะพูดออกไปตรง ๆ
เมื่อเห็นชายหนุ่มมีท่าทีกระอักกระอ่วน ดวงตาที่สดใสของอู่เหมยก็กลับคืนมา เช่นเดียวกับรอยยิ้มบนใบหน้าของนางที่กว้างขึ้น ด้วยสีหน้าของถังหยินนั้นราวกับกำลังบอกอะไรบางอย่างกับนาง “ดูเหมือนใครบางคนจะบ้าคลั่งไปแล้ว เอาแต่โหยหาผู้ชายอย่างขาดไม่ได้”
“เจ้า !” ฟานหมินโกรธมากจนใบหน้าของนางเปลี่ยนสี ก่อนที่จะชี้ไปที่จมูกของอู่เหมยและถามด้วยความโกรธ “เจ้าคิดว่าพูดอยู่กับใครห๊ะ ?”
“แล้วในห้องนี้มันมีคนอื่นด้วยงั้นเหรอ ?” อู่เหมยถามด้วยรอยยิ้มที่ยียวนกว่าเก่า
“ถึงข้าจะหน้าด้าน แต่ข้าก็ยังดีกว่าพวกชนชั้นสูงที่ไม่เคยกินองุ่นแต่บอกว่าองุ่นเปรี้ยวแล้วกัน !” ว่าแล้วฟานหมินก็เดินเข้าไปหาอู่เหมย ก้มลงมองนางที่นั่งอยู่อย่างหยิ่งผยอง
“แค่จับผู้ชายคนหนึ่งแล้วบอกว่าเป็นคู่หมั้นโดยไม่ถามไถ่ แบบนี้เรียกว่าหน้าด้านอย่างเดียวคงจะไม่พอแล้วล่ะมั้ง นี่มันไร้ยางอายสุด ๆ เลยไม่ใช่หรือไร !” ในเวลานี้อู่เหม่ยเองก็ลุกขึ้นยืนบางแล้ว ทำให้ใบหน้าของนางกับฟานหมินนั้นใกล้จนแทบจะสัมผัสกัน
พวกเขาสองคนพูดถ้อยคำที่ถากถางสวนกันไปมา ขณะที่ถังหยินยืนอยู่ด้านข้าง จ้องมองทั้งสองสาว แอบถอนหายใจเงียบ ๆ และหัวเราะอย่างขมขื่นก่อนหันจากไป
การยึดติดกับผู้หญิงก็เท่ากับการยึดติดกับปัญหา เพราะปัญหามากมายมักจะเกิดจากผู้หญิงเสียเป็นส่วนใหญ่ และนี่เองก็เป็นสาเหตุที่เขาไม่ต้องการจะเข้าไปยุ่มย่ามกับพวกนาง
หลังจากออกจากห้องของอู่เหมย ชายหนุ่มก็พลันได้ยินเสียงใครบางคนที่อยู่ข้าง ๆ เขากล่าวเยาะเย้ยออกมาว่า “เป็นยังไงบ้าง ! ข้าละชื่นชมเจ้าจริง ๆ ที่สามารถ ‘สนิท’ กับสองสาวที่น่าลำบากใจที่สุดในเมืองหยานเช่นนั้นได้”
ถังหยินตกใจ จึงหันไปมองต้นทาง และพบเข้ากับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากนัก เขาตัวสูง มีกริยาท่าทางสุภาพและสง่างาม ทว่าดวงตาของเขากลับเป็นประกายฉายแววเจ้าเล่ห์จนรู้สึกได้
และด้วยถังหยินไม่รู้จักคน ๆ นี้ จึงทำให้เขาเลิกคิ้วด้วยความสับสนก่อนถามว่า “แล้วเจ้าเป็นใคร ?”
“ข้าคือเหลียงฉี ยินดีที่ได้พบหน้ากันท่านถัง !” ในเวลาเดียวกับที่ชายหนุ่มแนะนำตัว เขาก็ยืดตัวตรงและประสานมือเคารพถังหยิน
โอ้ ! เขาคือเหลียงฉีจริง ๆ ด้วย !
ถังหยินคุ้นเคยกับชื่อของเหลียงฉียิ่งนัก ซึ่งก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อตอนพวกหนิงทำการตอบโต้แคว้นเฟิง ด้วยการบุกโจมตีประตูหน้าด่านตง และก็เป็นเหลียงฉีคนนี้นี่แหละ ที่เป็นกำลังเสริม หากแต่เขานั้นก็ใช้เวลานานเกินไปกว่าจะมาถึง ทำให้กองทัพหนิงจู่โจมประตูหน้าด่านตงเสียก่อน
“พี่เหลียง ! ขออภัยที่ล่วงเกินด้วย !” ถังหยินป้องมือของเขาตอบกลับเป็นมารยาท ด้วยชายหนุ่มนั้นไม่ได้รู้สึกดีกับคนจากตระกูลเหลียงสักเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะสนทนากับเหลียงฉีต่อให้มากความ และตั้งใจที่จะจากไปทันที หากแต่จู่ ๆ เหลียงฉีก็พลันพูดขึ้นว่า “ท่านถังหยินฉลาดมาก !”
ถังหยินหยุดเดินและมองไปที่เขาอย่างว่างเปล่า “ พี่เหลียง นั่นหมายความว่าอย่างไร”
“ท่านถังหยินอนุญาตให้ เหลียง อู่ และจี้หยาง พาผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าของพวกเขามาที่มณฑลเทียนหยวน และยังออกรายงานในนามของทั้ง 3 ตระกูลโดยทำการชักชวนเหล่าทหารและคนธรรมดาทั่วทั้งแคว้นให้เข้าร่วม อาจกล่าวได้ว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ยอดเยี่ยมมากทีเดียว โดยให้ทั้ง 3 ตระกูล เหลียง อู่และจี้หยางออกหน้าเพื่อช่วยเหลือ ในขณะที่ตัวท่านได้รับผลประโยชน์ไปเต็ม ๆ”
ขณะที่เหลียงฉีพูด ดวงตาของเขาก็จ้องตรงไปที่ถังหยิน หากแต่ชายหนุ่มนั้นก็สุขุมกว่าที่เขาคิดไว้มาก ด้วยแม้ว่าจะถูกพูดถึง แต่การแสดงออกของอีกฝ่ายก็ไม่เปลี่ยนไป ทั้งยังกล้าจ้องมองดวงตาของเขากลับโดยไม่หวั่นไหว
แต่ถึงจะแสดงออกแบบนั้น หากแต่ถังหยินก็แอบตกใจอยู่เหมือนกัน สมองของเหลียงฉีคนนี้เกินกว่าใครรอบตัวของเขาไปมากนัก ! เพราะแม้แต่เหลียงซิงก็ไม่สามารถตรวจจับอะไรได้ ! แสดงให้เห็นว่าคน ๆ นี้ไม่สามารถมองข้ามได้เลย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหลียงฉีก็เหลือบมองถังหยิน แล้วจึงเผยรอยยิ้มออกมาและหยุดโต้เถียงกับถังหยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา “ถ้าท่านถังต้องการ ข้าสามารถช่วยหรือสนับสนุนท่านให้ทำสำเร็จได้ ทว่าข้ามีเงื่อนไขหนึ่งข้อ และนั่นก็คืออย่าได้เอาดาบของท่าน มาพาดไว้ที่คนของตระกูลเหลียงอย่างเด็ดขาด !”
ตามความคิดของเหลียงฉี ตั้งแต่วันที่ซ่งเทียนสังหารท่านอ๋องและแย่งชิงบัลลังก์ไป ความรุ่งเรืองของตระกูลเหลียงของเขาก็ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะหลบหนีมายังมณฑลเทียนหยวนและพยายามทำดีกับถังหยิน หากแต่สถานที่แห่งนี้ก็ยังคงเป็นบ้านของอีกฝ่าย ดังนั้นหากมีใครต้องการยึดอำนาจไปจากถังหยิน นั่นก็เท่ากับเป็นการเอาชีวิตของชายคนนี้ด้วยเช่นกัน !
ไม่มีใครยอมสละอำนาจหรอก ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ความฝันอันงดงามของบิดาเขาจะเป็นจริง หากถังหยินถูกบังคับจนมุม นั่นก็ย่อมจะนำไปสู่ความตายของพวกเขาด้วย ซึ่งเหลียงฉีก็พอจะมองเห็นจุดนี้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้บอกพ่อของเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้และเลือกที่จะไปหาถังหยินตรง ๆ
ถังหยินไม่รู้ว่าคำพูดของเหลียงฉีเป็นจริงหรือไม่ เขาจึงพูดหยั่งเชิงอย่างใจเย็น “พี่เหลียงคิดมากเกินไปแล้ว ข้าจะทำร้ายตระกูลเหลียงไปทำไมกัน !” ขณะที่พูด ชายหนุ่มก็ส่ายหัวและตั้งท่าเดินจากไป
เมื่อเห็นเช่นนั้น เหลียงฉีก็รีบตอบกลับไปว่า “ท่านถัง เรื่องที่ท่านคิดบังคับให้ทั้ง 3 ตระกูลส่งมอบกองกำลังของพวกเขามาให้ท่าน มันเป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่ ?”
ถังหยินหันกลับมาจ้องไปที่เหลียงฉีและถามว่า “พี่เหลียง ต้องการอะไร”
เหลียงฉีหัวเราะ แต่ไม่ตอบคำถามนั้น “ท่านยังไม่ตอบคำถามของข้า”
“ตอบคำถามของข้ามาก่อน”
“ข้าแค่ต้องการจะถามท่านว่า ท่านต้องการอำนาจทางทหารหรือไม่เท่านั้น แต่ถึงแม้ว่าข้าจะซื่อสัตย์กับท่านจนถามไปตรง ๆ ก็ตาม ทว่าท่านก็ยังไม่คิดจะบอกความจริงกับข้า !”
ถังหยินมองไปที่เหลียงฉีสักพักจากนั้นก็หัวเราะ เขาคิดไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่าย แต่เลือกที่จะพูดแบบอ้อม ๆ “แน่นอน ใครจะบอกได้กัน”
เหลียงฉีถอนหายใจกับตัวเอง ด้วยเขายังมองไม่เห็นบุคลิกของถังหยิน หากแต่ก็ดูท่าสิ่งที่เขาสงสัยนั้นจะเรื่องจริง !
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมพูดมาตรง ๆ งั้นแล้วก็ต้องเป็นเหลียงฉีที่ต้องเผยความจริงใจก่อน ว่าแล้วเขาก็พูดอย่างจริงจังออกไปว่า “จริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องง่ายนักที่จะให้ทั้ง 3 ตระกูลยอมส่งมอบอำนาจทางการทหารให้ เพียงแค่ทำให้คนของพวกเขากระจัดกระจายไปตามกองทหารต่าง ๆ เพื่อทำให้การรวมเป็นกลุ่มก้อนกลายเป็นเรื่องยาก จนพวกเขาต้องการจะแต่งตั้งแม่ทัพขึ้นมาสักคนหนึ่งเพื่อรวบอำนาจ ท่านถัง ท่านจะให้ข้าเป็นแม่ทัพที่ว่าได้หรือไม่ ?”
ถังหยินที่ได้ยินแบบนั้นก็เลิกคิ้วและมองแปลก ๆ หากแต่ถึงจะเห็นชายหนุ่มทำเช่นนั้น เหลียงฉีก็ยังคงว่าต่อไป “ท่านไม่ต้องกังวล ถ้าข้าได้เป็นแม่ทัพละก็ ตระกูลอู่และจี้หยางก็จะยอมมอบอำนาจทางการทหารให้กับท่านถังแทนที่จะมอบให้ข้าอย่างแน่นอน ทำให้ท่านได้รับกำลังทางทหารของทั้งสองตระกูลได้อย่างง่ายดาย และเมื่อข้ามอบอำนาจทางทหารของตระกูลเหลียงให้ไปอีก ท่านก็จะไม่มีอะไรต้องกังวลอีกต่อไป ! ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ถังหยินก็อดไม่ได้ที่จะสูดอากาศเย็น ๆ เข้าไป ดวงตาของเขาจ้องมองตรงไปที่เหลียงฉี ในขณะที่หัวสมองของเขากำลังทำงานเต็มกำลัง ถ้าเป็นไปตามที่อีกฝ่ายพูดจริง ๆ ก็คงจะดีที่สุด แต่ถ้าเหลียงฉีไม่มอบอำนาจทางการทหารให้ ? งั้นแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเหลียง อู่และจี้หยางตั้งใจที่จะตลบหลังเขา ?
เมื่อนึกถึงมัน เขาก็แอบส่ายหัวและรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ เหมือนอย่างที่เหลียงฉีพูด ตระกูลทั้ง 3 ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้นาน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถร่วมมือกันต่อต้านตนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลอู่ ที่อู่หยูมองว่าเขานั้นเป็นผู้ช่วยที่ไว้ใจได้ งั้นแล้วมีหรือที่ชายชราจะยอมผนึกกำลังเพื่อจัดการกับคนนอกอย่างเขา ซึ่งเป็น ‘คนของเขาเอง’
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถังหยินก็เงยหน้าขึ้นยิ้มและพูดว่า “ถ้าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง งั้นแล้วเรื่องนี่ก็พอจะพูดคุยกันได้ ไม่เพียงแต่ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งกับตระกูลเหลียง แต่ข้าก็จะปล่อยให้เจ้าจัดการด้วยตัวเอง ทั้งยังจะมอบกองกำลัง 5 กองพันให้เจ้าเป็นผู้บังคับบัญชาด้วย”
ร่างกายของเหลียงฉีสั่นสะท้าน สีหน้าประหลาดใจปรากฏออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ด้วยมันน่าแปลกใจยิ่งที่ถังหยินจะปล่อยให้เขาดูแลกำลังทหารตระกูลเหลียงต่อไป และยังมอบกองทหารให้เขาเพิ่มอีก นี่เป็นเรื่องที่นึกไม่ถึงเกินไปแล้ว นี่อีกฝ่ายมั่นใจในตัวเองได้ขนาดนี้เชียวหรือ ? และในทางกลับกัน การกระทำเช่นนี้มันก็ทำให้เหลียงฉีไม่สามารถมองเห็นเจตนาที่แท้จริงของชายหนุ่มได้ !
ในความเป็นจริง ถังหยินมีแผนการของตัวเองแล้ว ด้วยตอนนี้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพชานชุยคือไป๋หยง และหัวหน้ากองร้อยทั้ง 5 เองก็เป็นคนของเขาทั้งหมด ดังนั้นแม้ว่าเขาจะส่งกองทัพชานชุยไปให้เหลียงฉี หากแต่ความจริงก็คือผู้มีอำนาจเหนือกองทัพชานชุยยังคงเป็นเขาอยู่ดี
“ข้าไม่กล้าขอท่านขนาดนั้นหรอก ข้าหวังเพียงว่าท่านจะเชื่อใจข้า !” เหลียฉีไม่หลงไปกับข้อเสนออันหอมหวาน เขาสงบลงอย่างรวดเร็วและพูดอย่างใจเย็น
ถังหยินที่ได้ยินก็พยักหน้ารับ ด้วยหากเหลียงฉีภักดีต่อเขาอย่างใจจริง และเต็มใจที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของเขา มันก็จะเพิ่มกำลังให้กับกองทัพเทียนหยวนอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแค่ว่าคำพูดของอีกฝ่ายดูเกินจริงไปหน่อย ทำให้ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่ามันเป็นความจริงใจหรือแค่เสแสร้ง
เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่เหลียงไม่จำเป็นต้องยื้อต่อไปหรอก ข้าชื่นชมในความสามารถของท่านมาก และข้าก็จะไม่ปฏิบัติต่อใครก็ตามที่ต้องการช่วยเหลือข้าอย่างไม่เป็นธรรมเด็ดขาด”
หัวใจของเหลียงฉีพลันสั่นไหว ด้วยหากถังหยินยอมทิ้งความแค้นในอดีต และมีความทะเยอทะยานที่จะไปไกลกว่านี้ งั้นแล้วเส้นทางที่ตนเลือกในวันนี้ก็นับได้ว่าไม่ใช่ทางเลือกที่เลวร้ายแต่อย่างใด
นี่เป็นครั้งแรกที่ถังหยินและเหลียงฉีมีปฏิสัมพันธ์กัน ซึ่งทั้งสองคนต่างก็มีความประทับใจต่อกันอย่างลึกซึ้ง
วันรุ่งขึ้น เหลียงซิง อู่หยูและจีหยางก็ได้เขียนข้อความถึงคนรู้จักของพวกเขา โดยในเนื้อความนั้นก็ได้อธิบายและชักชวนให้คนเหล่านั้นมาที่แห่งนี้ เพื่อช่วยพวกเขาต่อต้านซ่งเทียนและยังเตือนพวกเขาในนั้นด้วยว่าให้พาทหารมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่หลังจากนั้นทั้งสามจะส่งข้อความที่พวกเขาร่างร่วมกันให้ถังหยิน เพื่อให้ชายหนุ่มแจกจ่ายไปยังเขตต่าง ๆ ของแคว้นเฟิง
เมื่อพวกเขากระจายข้อความนั้นออกไป ซ่งเทียนเองก็ได้รับข่าวเช่นกัน ทำให้ซ่งเทียนมั่นใจแล้วว่าทั้ง 3 ตระกูลนั้นไปถึงมณฑลเทียนหยวนแล้ว ! ซึ่งก็ไม่ต้องเดาเลยว่าใครกันที่อยู่เบื้องหลัง ย่อมต้องเป็น ถังหยินแน่แล้ว !