ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 186
ทุกเขตและมณฑลในแคว้นเฟิง ต่างอยู่ฝ่ายของซ่งเทียน มีเพียงถังหยินผู้นำมณฑลเทียนหยวนเท่านั้นที่ต่อต้านเขาอย่างเปิดเผยและยังสังหารพวกทหารที่ส่งไป ซึ่งซ่งเทียนก็จดจำความสูญเสียนี้มาโดยตลอด หากแต่เขาเพิ่งขึ้นเป็นอ๋องได้ ดังนั้นจึงมีหลายสิ่งที่ต้องจัดการ และอีกอย่าง มณฑลเทียนหยวนเองก็อยู่ทางเหนือที่ห่างไกล ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลาจัดการกับถังหยิน
ตอนนี้เมื่อถังหยินได้คว้าไพ่ 3 ใบที่สำคัญที่สุดของเขาไป รวมทั้งคว้าเอา ‘ว่าที่ภรรยา’ ไปด้วย มันก็ทำให้ซ่งเทียนไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป เขาจึงเรียกผู้ช่วยที่ไว้ใจได้เข้ามาพูดคุยเกี่ยวกับการกำจัดถังหยิน
เมื่อได้ยินคำสั่งที่ว่า บรรดาที่ปรึกษาของซ่งเทียนก็ได้ออกมาคัดค้าน ด้วยพวกเขามองว่าสถานการณ์ในปัจจุบันยังไม่มั่นคงมากพอ และการใช้ทหารจำนวนมากโจมตีมณฑลเทียนหยวนที่อยู่ไกลออกไปนั้นมันก็ได้ไม่คุ้มเสีย ! ซึ่งหลังจากซ่งเทียนได้ยินคำพูดเหล่านี้ เขาก็ส่ายหัวไปมา
ยังไงเสียถังหยินก็มีกำลังทหารเพียง 2 แสนนายเท่านั้น ความแตกต่างของความแข็งแกร่งนั้นใหญ่หลวง กองทัพของเขาสามารถกวาดล้างทั้งมณฑลเทียนหยวนได้ในคราวเดียว งั้นแล้วจะไปกังวลทำไมกัน ?
แม้ว่าพวกเขาจะมองเห็นความตั้งใจของซ่งเทียนได้ หากแต่พวกเขาก็ยังพูดตรงชี้ไปยังประเด็นเรื่องความมั่นคง อย่างไรก็ตาม มันก็มีที่ปรึกษาที่คาดเดาความคิดในหัวของซ่งเทียนได้แม่นยำมากผู้หนึ่ง คือโซวชุน ชายที่มากไปด้วยความสามารถในการเยินยอ จนสามารถไต่มาถึงตำแหน่งอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ !
เขามองไปที่คนอื่น ๆ และหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ “ข้านั้นคิดว่าสิ่งที่ทุกท่านพูดมาไม่ถูกต้อง ถ้าเราต้องการกำจัดถังหยิน งั้นเราก็ต้องรีบทำเสียเดี๋ยวนี้ เพราะเมื่อสถานการณ์ในฝั่งของเราคงที่แล้ว ฝ่ายของถังหยินเองก็จะมีแต่เพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน และด้วยความสามารถของเขา แม้ว่าเราจะมีกำลังพลเป็นล้าน เราก็คงไม่สามารถเอาชนะเขาได้”
ซ่งเทียนชอบที่จะได้ยินคำเหล่านี้ เขาพยักหน้าตอบรับ แสดงท่าทีว่าคำพูดของโซวชุนมีเหตุผล
เมื่อเห็นการแสดงออกที่มีความสุขของผู้เป็นอ๋อง โซวชุนก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้นและพูดต่อไปว่า “ท่านอ๋องต้องส่งกำลังทหารออกไปจัดการ ด้วยยังไงถังหยินก็นับได้ว่าเป็นกบฏ และถ้าเช่นนั้น งั้นแล้วก็คงต้องให้หวังฉีฉี๋ไป ถ้าเป็นคนผู้นี้ เขาย่อมจะปราบปรามกองทัพกบฏได้อย่างแน่นอน ! นอกจากนี้ ถ้าท่านอ๋องต้องการความมั่นใจ งั้นแล้วพระองค์ก็สามารถที่จะยืมมือกำลังทหารของแคว้นหนิง เพื่อปิดโอกาสรอดของเจ้าเนื้อร้ายนี่ !”
“ใช่แล้ว !” ซ่งเทียนกล่าวชม “พูดได้ดี !”
หวังฉีฉี๋เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความสามารถด้านการปราบปรามกองทัพกบฏ ดังนั้นหลังจากได้ยินคำพูดของโซวชุน ความมั่นใจของซ่งเทียนก็พลันเพิ่มขึ้น หมายจะทำลายล้างมณฑลเทียนหยวนลงในคราวเดียว !
แต่ก่อนที่กองทัพของเขาจะทำการเคลื่อนไหว จู่ ๆ มันก็มีเรื่องเกิดขึ้นในเมืองหยานเสียก่อน ทำให้แผนการของซ่งเทียนต้องหยุดชะงัก และปัญหาที่ว่า ก็คือจำนวนของทหารหนีทัพที่เพิ่มมากขึ้น !
ซึ่งผิดกับครั้งก่อน ๆ อย่างสิ้นเชิง ด้วยไม่เพียงแต่ทหารเลว เพราะแม้แต่แม่ทัพนายกอง แม่ทัพนายพัน และแม้แต่ผู้บังคับกองทหารเองก็พากันหนีไป !
ปรากฏการณ์การหนีทัพครานี้เป็นดั่งโรคร้ายที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้ มันแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้มีผู้คนจำนวนมากขึ้นที่หนีไป ถึงขั้นที่ว่าทหารทั้งกองพันพร้อมใจกันหนีไปหมดก็มี
เป็นผลให้คำสั่งของซ่งเทียนหยุดชะงักโดยสิ้นเชิง ด้วยทุกคนพากันตื่นตระหนก ทว่ายังโชคดีที่กองกำลังทั้ง 6 ที่อยู่ภายใต้คำสั่งของซ่งเทียนไม่ได้รับผลกระทบเท่าไหร่ และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก ซ่งเทียนก็ได้สั่งให้พวกเขาปิดผนึกเมืองอีกครั้ง และหากพวกเขาค้นพบทหารหนีทัพอีก ก็ให้จับคนเหล่านั้นดำเนินการอย่างเด็ดขาดเสีย !
หลังจากนั้น ซ่งเทียนก็ได้เข้าไปจัดระเบียบกองกำลังที่เคยเป็นของพวกเหลียง อู่และจี้หยางที่เหลืออยู่ใหม่ ด้วยการแทนที่ผู้บัญชาการกองทหารเดิมโดยไม่เปิดโอกาสให้ถามด้วยผู้ช่วยที่ไว้ใจได้ เพื่อเติมเต็มช่องว่างที่ขาดหายไป ซึ่งการลงมือที่เฉียบขาดนี่มันก็ดูจะไม่มีปัญหาใด หากแต่ในความเป็นจริงนั้น การกระทำเช่นนี้มันก็ได้ทิ้งอันตรายซ่อนไว้เบื้องหลัง !
ในบรรดานายทหารระดับสูง 20 คนที่เป็นของตระกูลเหลียง อู่และจี้หยาง มีบางคนที่เป็นผู้บัญชาการกรมทหารและผู้บัญชาการกองพันที่จงรักภักดีต่ออดีตเจ้านายของพวกเขา ด้วยพวกเขาไม่สามารถลืมได้ ซึ่งเมื่อคนพวกนี้ได้รับข้อความ พวกเขาก็พากันส่งคนที่ไว้ใจได้ที่เป็นสมาชิกหลักของพวกเขาให้หนีไปยังมณฑลเทียนหยวนในทันที อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีบางคนที่ไม่แน่ใจหรือไม่มีแผนจะออกไป
ความสัมพันธ์ของพวกเขาพัฒนาขึ้นจากการต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่และผ่านชีวิตและความตายไปด้วยกัน ทว่าซ่งเทียนกลับมาเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการกรมทหารและผู้บัญชาการนับพันคนอย่างกะทันหัน ทว่าถึงจะทำเช่นนั้น หากแต่บรรดาแม่ทัพนายกองที่อยู่ด้านล่างก็ยังคงภักดีต่อเจ้านายคนก่อนของพวกเขา และแม้ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนหัวหน้ากองร้อย หากแต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนทหารและผู้นำทั้งหมดได้
ดังนั้นแทนที่จะหยุดการหนีอย่างมีประสิทธิภาพ ซ่งเทียนกลับทำให้พวกเขาคิดหนีทัพมากขึ้นไปอีก พวกคนที่ไม่พอใจพากันเข้าร่วมกับเจ้านายเก่า และแม้ว่าเมืองจะถูกปิดผนึก หากแต่ก็มีทหารจำนวนมากที่เสี่ยงชีวิตเพื่อกระโดดข้ามกำแพงออกไป ถึงแม้บางคนถูกจับและโดนประหารชีวิต แต่ทว่าก็มีมากกว่านั้นที่ไม่ถูกจับและสามารถหลบหนีไปยังมณฑลเทียนหยวนได้
หลังจากนั้นไม่นาน กองทัพทั้ง 20 เหล่า ก็ได้กลายเป็นเรื่องยุ่งเหยิงโดยสิ้นเชิง พวกเขาเต็มไปด้วยช่องว่างที่ไม่สามารถถมให้เต็มได้ ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงความสามารถที่จะไปสู้รบเลย
นี่ยังไม่ใช่ทั้งหมดเมื่อ เหลียงซิง อู่หยูและจี้หยาง ได้ส่งข้อความออกไปอีกครั้ง ซึ่งมันก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนในส่วนต่าง ๆ ของแคว้นเฟิงทันที ด้วยมีผู้คนนับไม่ถ้วนในแคว้นที่พากันเดินทางไปยังมณฑลเทียนหยวน เพื่อเข้าร่วมกับกองทัพ !
เช่นเดียวกับสิ่งที่จางจี้ได้วิเคราะห์กับถังหยินในตอนนั้น ที่ว่าถึงแม้ซ่งเทียนจะมีกองทัพกว่า 5 แสนนายภายใต้การบังคับบัญชาของเขา หากแต่คนที่ภักดีต่อเขาอย่างแท้จริงมีเพียง 6 กองที่เขาเป็นผู้ควบคุมเท่านั้น !
ซ่งเทียนอาจเป็นรัฐบุรุษและนักวางแผนที่โดดเด่น แต่เขานั้นไม่ใช่คนที่เก่งกาจในเรื่องการจัดการกองทัพ ทำให้ในขณะนี้ซ่งเทียนไม่อาจทำอันใดได้เลย ได้แต่รู้สึกกังวลราวกับมดบนกระทะร้อนเมื่อพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบัน ผิดกับสถานการณ์ของมณฑลเทียนหยวนที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง !!!
เมื่อทั้ง 3 ตระกูล อันได้แก่เหลียง อู่และจี้หยางส่งข้อความออกไป ทหารมากกว่าแสนนาย รวมไปถึงพลเมืองจากทั่วทั้งแคว้นเฟิงอีกนับแสนคนก็พากันไหลทะลักเข้ามาในมณฑลเทียนหยวน เป็นผลให้ในช่วงเวลาสั้น ๆ จำนวนคนในมณฑลเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว !
ซึ่งถังหยินก็ปฏิบัติต่อกองกำลังพวกนี้ด้วยความเคารพและไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เขาทำเพียงแค่ดูดกลืนผู้คนที่เข้ามาอย่างเงียบ ๆ และในขณะเดียวกันชายหนุ่มก็ได้ขยายกองกำลังของเขาให้ใหญ่ขึ้นไปอีก ทำให้กองทัพเทียนหยวนที่จากเดิมมีเพียง 3 คนที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเขาโดยตรง ขยายเพิ่มเป็น 13 คนในชั่วพริบตา !
เมื่อทราบเรื่องที่ถังหยินเปิดรับพลเมืองเข้าร่วมกองทัพ มันก็ทำให้เหลียงซิง อู่หยูและจี้หยางไม่พอใจ ด้วยพวกเขานั้นเคยเข้าไปขออนุญาตชายหนุ่มว่าอยากจะขยายบ้าง หากแต่กลับเจอถังหยินที่ใช้ข้ออ้างว่า กองกำลังของทั้งสามตระกูลยังไม่เสถียร และปฏิเสธที่จะแจกจ่ายใด ๆ ให้กับพวกเขา
ทำให้ในเวลานี้ทั้ง 3 ตระกูลเริ่มไม่พอใจในตัวของถังหยินขึ้นมาบ้างแล้ว
บัดนี้กำลังพลของมณฑลเทียนหยวนได้เพิ่มขึ้นจาก 2 แสนเป็น 4 แสนในพริบตา หากแต่ชายหนุ่มกลับไม่สามารถให้การสนับสนุนทางการเงินแก่พวกเขาได้เลย …แม้แต่เรื่องเสบียงอาหารก็ยังเป็นปัญหา
ในช่วงเวลาเช่นนี้ ถังหยินจึงคิดว่าจะขอความร่วมมือจากมณฑลกวนหนาน ด้วยมณฑลเทียนหยวนไม่สามารถรักษากองทัพได้ถึง 4 แสนคน แต่ถ้าได้รับความช่วยเหลือจากมณฑลกวนหนานละก็ งั้นแล้วมันก็น่าจะพอจัดการได้บ้าง
ว่าแล้วชายหนุ่มก็จัดแจงส่งจดหมายถึงเซ่าฮุย ขอให้เขาช่วยทำการสนับสนุนแก่กองทัพเทียนหยวน โดยใช้ข้ออ้างว่าเพื่อการปราบปรามซ่งเทียนผู้ทรยศ และถึงแม้เนื้อหาในจดหมายนั้นจะสุภาพมาก หากแต่ภายในนั้นก็ได้มีการกล่าวย้ำ ๆ ถึงกองทัพเทียนหยวนที่ถูกขยายออกเป็น 4 แสน ซึ่งมันก็นับได้ว่าเป็นการข่มขู่เซ่าฮุยทางอ้อม ว่าหากเขาไม่ให้ทรัพยากรหรือเงินสนับสนุน กองทัพเทียนหยวนก็พร้อมที่จะบุกเข้าไปแย่งชิงมาด้วยตัวเอง !
แล้วมีหรือที่เซ่าฮุยจะมองไม่เห็นใจความที่แอบซ่อนอยู่ ? ดังนั้นเมื่อเขาอ่านจบ ก็ไม่กล้าที่จะรอช้าและรีบเขียนตอบกลับถังหยินทันที โดยเนื้อความภายในนั้น มันก็ได้เต็มไปด้วยสัญญาว่าจะให้การสนับสนุนมณฑลเทียนหยวนของชายหนุ่มอย่างเต็มที่
ที่จริงเขาเองก็ตั้งใจที่จะทำอยู่แล้ว ด้วยยังไงเงินและอาหารในคลังก็ไม่ใช่ของเขาอยู่แล้ว แล้วอีกอย่าง เขาก็ไม่มีเหตุผลที่มอบให้ซ่งเทียนด้วย !
เมื่อเสบียงอาหารและทรัพยากรอื่น ๆ ถูกส่งมอบให้อย่างต่อเนื่องจากมณฑลกวนหนาน ความกดดันจากมณฑลเทียนหยวนก็พลันลดลงทันที ทำให้ในเวลานี้ ถังหยินมีแผนที่จะส่งทหารไปปราบปรามคนพวกนั้นบ้างแล้ว !
ในวันนี้ ถังหยินได้รวบรวมผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเพื่อประชุม แน่นอนว่าเหลียงซิง อู่หยูและจี้หยางก็ถูกเชิญให้เข้าร่วมด้วย
โดยในระหว่างการประชุม เขาก็ได้ซักถามและวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันอย่างง่าย ๆ ก่อน จากนั้นจึงกลับไปที่หัวข้อหลักโดยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ตอนนี้กองทัพของเรามีกำลังพลจำนวนมากและเสบียงก็ยังเหลือเฟือ งั้นแล้วทำไมเราไม่ส่งกองกำลังไปจัดการซ่งเทียนเล่า พวกท่านคิดว่าอย่างไรกันบ้าง ?”
เมื่อพวกเขาได้ยินว่าถังหยินกำลังจะส่งกองกำลังออกไป เหลียงซิง อู่หยูและจีหยวนก็พากันพูดสนับสนุน “ถึงเวลาอันเหมาะสมแล้วที่จะทำเช่นนั้น ! ยังไงเสียกองทัพของเราก็แข็งแกร่งใช่ย่อย ผิดกับกองทัพของซ่งเทียนที่อ่อนแอลง ดังนั้นพวกเราชนะได้แน่นอน !”
ชิวเจิ้นกระแอมในลำคอ กำมือและพูดว่า “ตอนนี้กองทัพของเรายังคงมีอันตรายซ่อนอยู่ และเราไม่สามารถออกไปรบได้ในขณะนี้”
“มีปัญหาอะไรซ่อนอยู่กัน ?” ทุกคนหันไปมองชิวเจิ้นที่พูด “ถ้าท่านชิวมีอะไรจะพูด พูดออกมาเลย !”
ชิวเจิ้นหัวเราะและพูดว่า “มันเป็นเช่นนี้ แม้ว่ากองทัพของเราจะมีกำลังพล 4 แสนนาย หากแต่ในความเป็นจริงเรามีค่าเพียง 3 แสนเท่านั้น” เมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของทุกคน เขาก็อธิบายต่อไปว่า “ท่านเสนาบดีเหลียง ท่านเสนาบดีอู่ และแม่ทัพใหญ่จี้หยาง ท่านต้องอย่าลืมว่าคนของพวกท่านนั้นเข้ามาเสริมกำลังได้เยอะก็จริง หากแต่นั่นมันก็ทำให้พวกเขาขาดการบังคับบัญชาที่เป็นเอกภาพด้วยเช่นกัน”
แม้ว่าเหลียงซิงจะเป็นท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายและรับผิดชอบงานด้านการทหารกับดูแลกิจการพลเรือนในกองทัพ หากแต่เขาก็ไม่เก่งเรื่องการสั่งการ เช่นเดียวกับอู่หยูที่เป็นนักวิชาการ ที่ยิ่งไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ทำให้หลังจากได้ยินสิ่งที่ชิวเจิ้นพูด ทั้งสองคนก็ไม่รู้ว่าจะตอบสนองอย่างไร
ซึ่งก็เป็นจี้หยางที่ถามออกมา “แล้วท่านชิวคิดจะทำเช่นไรเล่า ?”
“ในความคิดของข้า ทำไมพวกท่านทั้ง 3 ไม่ส่งมอบคำสั่งทั้งหมดให้กับแม่ทัพถังเหล่า ? เพื่อให้ท่านถังควบคุมกองทัพได้อย่างเป็นเอกภาพ”
“หืม ?”
ในสถานการณ์เช่นนี้ ใครจะไม่ต้องหลักประกันกัน ? การมอบกองทหารมันก็เหมือนกับการมอบเลือดหล่อเลี้ยงชีวิตออกไป มีหรือที่เหลียงซิง อู่หยูและจี้หยางจะยอม ?
ในขณะที่บรรยากาศเริ่มตึงเครียด ถังหยินก็หัวเราะออกมาดัง ๆ และกล่าวว่า “ถ้าหมายถึงแค่การออกคำสั่งพวกเขา งั้นแล้วท่านทั้ง 3 ก็ไม่ต้องส่งมอบอำนาจให้ข้าก็ได้นะ”
“หืมม ?” คำพูดเหล่านี้ทำให้วิญญาณชายชราทั้ง 3 กลับเข้าร่างอีกครั้ง พวกเขาพากันถามขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ท่านถัง หมายความว่าอย่างไรกัน ?”
ถังหยินหัวเราะ “ตราบใดที่พวกท่าน 3 คนสามารถเลือกคน 1 คนที่สามารถควบคุมกองทัพทั้ง 3 ตระกูลได้ เพียงเท่านี้ปัญหาก็จบ”