ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 191
ถังหยินตรวจสอบค่ายกองทัพปิงหยวนเป็นที่แรก จากนั้นไปยังอีกค่ายที่นำโดยหลีเว่ยต่อ
และที่ค่ายแห่งนี้ มันก็ต่างกับค่ายก่อนหน้าลิบลับ ด้วยวินัยทหารของกองทัพนี้เข้มงวดมาก จนเป็นเรื่องยากที่จะเห็นทหารพูดคุยและหัวเราะภายในค่าย อีกอย่างทหารส่วนใหญ่หลับไปแล้ว ทำให้ดูเงียบเหงาอย่างมาก
หลีเว่ย หลีเทียน และอัยเจียถือได้ว่าเป็นแม่ทัพกลุ่มเดียวกันที่ติดตามถังหยินมาตั้งแต่แรกและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงเชื่อใจทั้ง 3 คนนี้อย่างหมดใจ และกล้าที่จะร้องขอความช่วยเหลือหน่วยเนตรนภาและเครือข่ายปฐพีให้ช่วยสอดแนมศัตรู
หลังจากวนรอบที่ค่ายแห่งนี้เสร็จ ถังหยิน ชิวเจิ้นและอีกสองคนก็เดินออกจากป่า
ค่ายที่นำโดยหลีเว่ยตั้งอยู่ในส่วนลึกของป่าเพื่อซ่อนร่องรอย ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงต้องเดิน 2 หรือ 3 ลี้เพื่อไปยังถนนสายหลัก
หลังจากถังหยินและคนอื่น ๆ ออกมาจากป่า พวกเขาก็หันไปมองทิวทัศน์รอบด้านที่หนาแน่นไปด้วยต้นไม้ ซึ่งหากไม่เข้าไปลึกกว่านี้ก็จะไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่ามีกองกำลังทหารตั้งค่ายอยู่ในป่า
ถังหยินพยักหน้าในใจ มองไปทางฝั่งตรงข้ามของถนนและพูดว่า “ไปดูค่ายของเหลียงฉีกันต่อ !”
“ได้เลย !” ชิวเจิ้นและเฉิงจินตอบตกลง ขณะที่พวกเขาเดินติดตามถังหยินตรงไปยังค่ายชานชุย
เมื่อผ่านถนนสายหลัก พวกเขาก็เข้าไปในป่าอีกด้านหนึ่ง และก่อนที่พวกเขาจะออกไปไกลกว่านั้น พวกเขาก็พลันได้ยินเสียงใบไม้ดังขึ้นเหนือศีรษะ จากนั้นก็มีร่างมนุษย์หลายคนกระโดดลงมาจากกิ่งไม้ เข้าล้อมเป็นครึ่งวงกลมรอบถังหยินและคนอื่น ๆ
ชิวเจิ้นตกใจมาก ก่อนที่เขาจะได้เห็นใบหน้าของคนตรงหน้า ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่คนพวกนั้นเดินมาหาชายหนุ่มแล้วโค้งคำนับ “โอ้ นายท่านนี่เอง”
ถังหยินหันมองคนเหล่านั้น และเมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งหมดแต่งกายด้วยชุดลำลองจึงถามไปว่า “พวกเจ้า ?”
“รายงานต่อนายท่าน พวกเราคือทหารยามของกองทัพชานชุย”
“โอ้ !” ถังหยินพยักหน้า ก่อนจะโบกมือและพูดว่า “ไปจัดการธุระของพวกเจ้าต่อเถอะ”
“ขอรับ !”
“ตามท่านต้องการขอรับ”
ทหารยามพากันถอยกลับไปที่ต้นไม้ แล้วจึงใช้มือและเท้าปีนกลับขึ้นต้นไม้อย่างรวดเร็วราวกับลิง
ถังหยินและคนที่มาด้วยพากันเดินทางเข้าไปในป่าอีกประมาณ 10 ลี้ ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงค่าย ซึ่งในระหว่างทาง พวกเขาก็ได้พบกับกองทหารชานชุยและหน่วยทหารลับจำนวนนับไม่ถ้วน
และเมื่อพวกเขาไปถึงค่าย คนทั้งหมดก็เห็นเข้ากับรั้วยาวที่บริเวณด้านนอกของค่าย
หลังจากรู้ว่าถังหยินมาแล้ว เหลียงฉีและไป่หยงก็ออกมาต้อนรับเขา ทำให้ชายหนุ่มที่กำลังรู้สึกสับสนถามออกไป “พวกเจ้าสร้างรั้วกับเนินดินเอาไว้ทำไม ?”
เป็นเหลียงฉีที่กล่าวออกมาว่า “ตราบใดที่ประจำการเกิน 3 ชั่วยาม งั้นแล้วก็จำต้องสร้างกำแพงป้องกัน อีกอย่างกองทัพของพวกเราก็ยังต้องประจำการที่นี่อีก 2-3 วัน”
ถังหยินมองไปที่เขา ก่อนจะส่ายหัวเพื่อบ่งบอกว่าตนไม่เข้าใจ “พวกทหารเหนื่อยล้าจากการเดินทางในยามค่ำคืน แล้วยังต้องมาสร้างรั้วอะไรนี่อีก มันจะไม่ทำให้พวกเขาบ่นพวกเจ้ากันหรือยังไง ?”
เหลียงฉียิ้มอย่างเฉยเมยและกล่าวว่า “กองทัพไม่ใช่สถานที่สำหรับเที่ยวเล่น เพราะเราเลือกที่จะเข้าร่วมกองทัพ ดังนั้นเราจึงต้องเตรียมความพร้อมสำหรับความยากลำบากในการรบ ถ้าอยากสบายงั้นแล้วก็กลับบ้านไปหาลูกเมียซะยังจะดีกว่า !”
แม้ว่าเหลียงฉีจะไม่ได้พูดถึงถังหยิน หากแต่เมื่อได้ยินมันก็ทำให้ชายหนุ่มถึงกับหน้าแดง ก่อนที่เขาจะพยักหน้าอย่างเชื่องช้าและหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา “คำพูดของเจ้าก็มีเหตุผล”
นับได้ว่าเหลียงฉีแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับถังหยินที่ตามใจพวกทหารจนเลยเถิด ข้อกำหนดของเขาเข้มงวดมากและกฎทางทหารที่เขากำหนดก็หนักมากเช่นกัน ด้วยเขามักให้รางวัลแก่ผู้ที่ทำตามคำสั่งและลงโทษผู้กระทำผิดอย่างรุนแรง
ในความคิดของเขา นี่เป็นวิธีเดียวที่กองทัพทั้งหมดสามารถอยู่ร่วมกันและมีชีวิตรอดในสนามรบได้ เพื่อให้ทหารมีชีวิตอยู่ และออกจากสนามรบได้อย่างปลอดภัย นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้วสำหรับพวกเขา
จากความแตกต่างของแต่ละค่าย ทำให้เห็นความแตกต่างในบุคลิกของแม่ทัพแต่ละคนได้เป็นอย่างดี
มูฉิงคล่องแคล่ว หลีเว่ยเฉียบคมและเข้มงวดต่อทหารใต้บังคับบัญชา ส่วนกู่เยว่ก็นับได้ว่าเป็นผู้นำคนหนึ่งที่พอใช้ได้ แต่ด้วยเพราะกำลังทหารใต้บังคับบัญชาโดยตรงของเขานั้นอยู่ใต้จมูกของชายหนุ่ม จึงทำให้ถังหยินต้องเข้าไปแทรกแซงเป็นครั้งคราว
นับได้ว่ากองทัพปิงหยวน กองทัพฉีเฟิง และกองทัพชานชุยต่างก็มีลักษณะเฉพาะของตนเอง ส่วนใครดีใครเลวใครแข็งแกร่งใครอ่อนแอนั่นเป็นสิ่งที่เห็นได้จากการฝึกฝนในสนามรบเท่านั้น
2 วันต่อมา ทั้งเนตรนภาและเครือข่ายปฐพีก็ได้ส่งข่าวกลับมา ว่ากองทัพของซ่งเทียนได้เข้าสู่มณฑลกวนหนานและกำลังเดินทางไปยังเมืองชางซุย โดยมีแม่ทัพนามเสี่ยวกุ่ย ที่เป็นหนึ่งในผู้ช่วยที่ไว้ใจได้ของซ่งเทียนเป็นผู้นำทัพ
เสี่ยวกุ่ยเกิดมาเพื่อเป็นแม่ทัพอย่างแท้จริง เขานั้นเป็นที่รู้จักในเรื่องความกล้าหาญในการต่อสู้ ทำให้เขาได้รับการต้อนรับจากซ่งเทียนเป็นอย่างดี และในการเดินทางครั้งนี้ ซ่งเทียนก็ไว้ใจเขามากเสียจนมอบอำนาจสั่งการกองกำลังจำนวน 2 แสนนายให้กับเขาโดยไม่ลังเล ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญและไว้วางใจอีกฝ่ายมากเพียงใด
ในใจของเสี่ยวกุ่ย เขานั้นไม่ได้ให้ค่าถังหยินอย่างจริงจังนัก ด้วยเขารู้สึกว่าสาเหตุที่ถังหยินสามารถบรรลุความสำเร็จได้นั้น มันก็เป็นเพราะอีกฝ่ายได้รับปลูกฝังและการส่งเสริมจากตระกูลอู่ !
ซึ่งทุกคนต่างก็รู้กันดีว่า ถังหยินได้ยึดเอาอำนาจทางการทหารจากตระกูลอู่กับอีก 2 ตระกูลมาเป็นของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นมีหรือที่พวกเขาจะไม่เกิดปัญหาภายในกัน ?
คราวนี้เขาได้รับคำสั่งจากซ่งเวินให้เป็นแม่ทัพแนวหน้า ดังนั้นเสี่ยวกุ่ยจึงคิดใช้โอกาสนี้เข้าปะทะกับถังหยิน ด้วยถ้าเขาได้ชัยกลับมา งั้นแล้วเมื่อกลับไปที่เมืองหลวงเขาก็ไม่เพียงแต่จะได้รับรางวัลเท่านั้น หากแต่ตำแหน่งเองก็อาจจะได้รับการเลื่อนขั้นด้วยเช่นกัน !
ด้วยความคิดนี้ เสี่ยวกุ่ยจึงกระตุ้นให้พวกเขาเพิ่มความเร็วในการเดินทัพซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยจะเป็นการดีที่สุดหากพวกเขาสามารถสลัดกองทัพภาคพื้นดินที่ซ่งเวินนำทัพ แล้วคว้าผลงานนี้เป็นของตัวเอง !
ซึ่งความคิดที่ว่าจะมีการซุ่มโจมตีในมณฑลกวนหนานนั้นไม่มีอยู่ในหัวของเขาเลย
มันเป็นเวลาเพียง 1 วันเท่านั้น หากแต่กองกำลังจำนวน 2 แสนนายก็ได้มาถึงเมืองชางซุยแล้ว
ในเวลานี้เมืองชางซุยเงียบเป็นป่าช้า
เสี่ยวกุ่ยขี่ม้าและเดินไปที่ด้านหน้าของกลุ่ม เมื่อเห็นเมืองชางซุยอันเงียบสงบจากระยะไกลเขาก็ขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ ด้วยพวกเขาเดินจากเมืองหยานมาจนถึงที่นี่แล้ว ทว่าทั้งเมืองต่างเงียบสนิท ราวกับไม่มีความตั้งใจที่จะต้อนรับพวกเขาแม้แต่น้อย
ดังนั้นเขาจึงหันไปถามรองแม่ทัพที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยความเย็นชา “ผู้ว่าเมืองชางซุยไม่รู้หรือว่าเราจะมาแล้ว ทำไมพวกเจ้าไม่ออกมาต้อนรับข้าผู้นี้กัน !”
“สำหรับเรื่องนี้ ?” รองแม่ทัพแอบ พร้อมกับแลบลิ้นออกมาแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันขอรับ !”
เสี่ยวกุ่ยกลอกตามองไปที่รองแม่ทัพและเร่งม้าไปข้างหน้า ในเวลาเดียวกันเขาก็ตะคอกคำสั่ง “เดินทัพ ! เข้าเมือง !” หลังจากพูดแบบนั้นเขาก็พึมพำกับตัวเองว่า “มันจะดีที่สุด ถ้าผู้ว่าเมืองชางซุยให้คำอธิบายที่ดีแก่ข้า ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้ข้าเองก็คงจะปล่อยไปเฉย ๆ ไม่ได้ !”
“ใช่ ใช่ ใช่ ! ผู้ว่าคนนี้ชักจะหยิ่งเกินไปหน่อยแล้ว ! “ เมื่อเขาเห็นโอกาสจึงรีบผสมโรง
ทว่าเมื่อเสี่ยวกุ่ยเป็นผู้นำทัพเข้าสู่เมืองชางซุย พวกเขาก็ต้องสงสัย ด้วยอย่าว่าแต่ผู้ว่าที่ไม่ออกมารับเลย เพราะแม้แต่ทหารเฝ้ายามก็ไม่มี ทำให้ชาวเมืองเดินเข้าออกอย่างอิสระ
เมื่อเห็นเช่นนั้นเสี่ยวกุ่ยก็ยิ่งโกรธ ด้วยแม้ว่าเมืองชางซุยจะไม่ใช่แนวหน้า หากแต่เขาไม่สามารถผ่อนปรนได้ ดูเหมือนผู้ว่าคนนี้จะไม่อยากมีหัววางบนบ่าซะแล้ว !
“ข้าอยากที่จะรู้เหลือเกินว่าผู้ว่าหายไปไหน ไปค้นจวนมัน !!” เสี่ยวกุ่ยสั่งให้รองแม่ทัพที่อยู่ข้าง ๆ ไปที่จวนผู้ว่า
รองแม่ทัพทำตามสั่งและเดินนำคนของเขาจากไปทันที
ก่อนที่ไม่นานนัก รองแม่ทัพก็พาคนของเขากลับมา ซึ่งเมื่อเสี่ยวกุ่ยมองไปรอบ ๆ และไม่เห็นใคร เขาก็ขมวดคิ้วและถามไปว่า “คนเล่า อยู่ที่ไหน ?”
รองแม่ทัพส่ายหัวและพูดว่า “ไม่พบใครเลยขอรับ”
“ไม่อยู่ที่นี่ ? งั้นแล้วพวกเขาจะไปไหนได้กัน ?”
คนรับใช้ของผู้ว่าบอกว่านายท่านของตนจากไปเมื่อเช้าวานนี้ หากแต่ไม่ได้อธิบายเหตุผลว่าทำไม
นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน !
มาตอนนี้มันก็จวนจะใกล้ค่ำแล้ว และวันนี้พวกเขาก็คงไม่สามารถเดินขบวนต่อไปได้ ดังนั้นเขาจึงหันไปพูดกับนายทหารทั้งซ้ายและขวาว่า “เรียกคนอื่น ๆ มา ข้าจะให้ทหารทั้งหมดเข้าเมืองเพื่อพักผ่อน แล้วเราจึงเดินทางต่อในเช้าวันพรุ่งนี้”
“ท่านแม่ทัพ เมืองชางซุยนี้เล็กเกินไป ข้าเกรงว่ามันจะไม่สามารถรองรับทหารจำนวนมากของเราได้” ทหารระดับสูงนายหนึ่งกล่าวด้วยความลำบากใจ
“งั้นก็ตั้งค่ายมันที่นอกเมืองสิวะ ! เรื่องแบบนี้ยังจะต้องให้ข้าสั่งอีกอย่างนั้นเหรอ ?” เสี่ยวกุ่ยกลอกตามองไปที่นายทหารระดับสูงคนนั้น
ใบหน้าของนายทหารระดับสูงเปลี่ยนเป็นสีแดงจากการถูกตำหนิ ก่อนที่เขาจะประสานมือเข้าหากันและถอยกลับโดยไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม
เสี่ยวกุ่ยไม่สนใจคนผู้นั้นอีกต่อไป นำผู้ใต้บังคับบัญชาที่เชื่อถือได้และทหารอีกกว่าร้อยนายเข้าไปในจวนผู้ว่าทันที
เนื่องจากผู้ว่าไม่อยู่รอบ ๆ งั้นแล้วจวนแห่งนี้ก็จะกลายเป็นที่พำนักของเขาภายในเมืองชางซุย
ตามคำสั่งของเสี่ยวกุ่ย ทหารส่วนหนึ่งในกองทัพก็พลันถูกส่งไปประจำการในเมือง ส่วนอีกกลุ่มก็พากันออกไปตั้งค่ายอยู่นอกเมือง
ขวัญกำลังใจของพวกทหารอยู่ในระดับต่ำ และพวกเขาก็เร่งรีบกันมาตลอดทางเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงเหนื่อยอ่อน และไม่คิดทำการป้องกันใด ๆ ทั้งสิ้น และเมื่อพวกเขาพากันพักผ่อน เวรยามป้องกันก็ดูจะหละหลวมเป็นอย่างมาก มีแม้กระทั่งทหารเฝ้าเวรยามบางคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนพื้นพร้อมกับหอกในมือ
ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ทหารรักษาการณ์ค่อย ๆ ตื่นขึ้นจากการหลับใหล ดวงตาของเขามัวหมอง จึงมองออกไปนอกตัวเมืองไม่ค่อยชัดเจนนัก หากแต่หลังจากยืดตัวและหาวออกมา สติของเขาก็พลันกลับมาพร้อม ๆ กับร่างกายที่สั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม มือของเขาขยี้ตาอีกครั้ง พิงกำแพงค่ายและมองออกไปอย่างไม่เชื่อสายตา
กองทัพครึ่งหนึ่งนั้นอยู่ในเมือง ส่วนอีกครึ่งก็ตั้งค่ายกันที่นอกเมืองไม่ห่างไปไกลนัก ทว่าตอนนี้นั้น ภายนอกที่ไม่ไกลออกไปสักเท่าไหร่ มันก็ได้มีคนกลุ่มใหญ่เข้าล้อมเมืองด้วยค่ายในลักษณะ 3 ชั้น ทำให้ยากแก่การตีฝ่าออกไป
ธงที่คนพวกนี้ชูพากันปลิวล้อไปตามสายลม และสีที่อยู่บนธงพื้นนั้น ก็คือสีดำสนิท…
เพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย ! หรือว่าข้ายังไม่ตื่นจากฝันร้ายหรือไงกัน !!!